เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่ธอร์ฟินกับเอนาร์บุกเดี่ยวไปเจรจากับคนุต (พระเจ้าคนุตมหาราช) ให้ยอมถอนทหารกลับไปจากฟาร์มเคทิลแต่โดยดี แต่คนุตไม่ยอมตาม แถมยังโบกมือเรียกทหารมาล้อมพวกธอร์ฟินไว้กันธอร์ฟินใช้กำลังเพราะเห็นว่าเจรจาไม่ได้ผลอีก
เรียกว่าสถานการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานเลยทีเดียว
โดนล้อมไม่พอ ยังมีเตี่ยของคนุต (ที่เหลือแต่หัว) มาบำเพ็ญตนเป็นสันนิบาตลูกบ่างคอยยุให้คนุตกำจัดธอร์ฟินซะ โดยอ้างว่าคนดื้อดึงไม่ยอมสยบให้อำนาจของราชาอย่างธอร์ฟินปล่อยไว้จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติในภายภาคหน้า ให้เร่งกำจัดเสียในขณะที่มีโอกาสจะดีกว่า
อนึ่ง ถึงจะเหม็นขี้หน้าหัวของเตี่ยนี่แค่ไหนก็เหอะ แต่ยอมรับนะว่าในตอนนี้มันเปรียบเปรยได้ดีจริงๆ ที่เปรียบเปรยว่าราชาคือคนเลี้ยงแกะ ส่วนประชาชนคือฝูงแกะนั่น มันสะท้อนถึงความต้องการของคนุตที่จะสร้าง
"สวนสวรรค์บนโลกนี้" ได้ดีจริงๆ (ท่านใดพอมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์หรือคัมภีร์ไบเบิลมาบ้างน่าจะพอรู้อยู่ว่าในคัมภีร์ไบเบิลจะเปรียบเทียบมนุษย์เป็นฝูงแกะ ส่วนพระเจ้าเป็นคนเลี้ยงแกะ)
ทว่า สิ่งที่หลุดจากปากธอร์ฟินผู้โดนทหารของคนุตเอาหอกชี้หน้าชี้หลังอยู่นั้น กลับเป็นคำพูดง่ายๆ ว่า
"ถ้าเอ็งยังคิดจะยึดฟาร์มนี้ ข้าก็แค่ 'วิ่งป่าราบ' เท่านั้นเอง"
คำกล่าวของธอร์ฟินทำเอาคนุตกับทหารถึงกับใบ้- แม้แต่เอนาร์ยังพลอยอึ้งไปด้วย
ธอร์ฟินก็อธิบายต่อว่า อำนาจในฐานะราชาของคนุตคืออำนาจที่ช่วยเหลือคนส่วนใหญ่แต่ก็ทกดขี่ข่มเห่งคนส่วนน้อยในขณะเดียวกัน (อย่างที่พี่แกคิดจะบุกฟาร์มยึดทรัพย์มาเลี้ยงทหารนั่นแล) ตัวเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่คนุตทำเป็นเรื่องถูกหรือผิด เพราะงั้นคงไม่มีสิทธิ์ไปนั่งด่าคนุตว่าทำชั่วได้หรอก ทำได้อย่างเก่งก็แค่หนีไปยังที่ที่อำนาจของคนุตยังไปไม่ถึงเท่านั้น
คนุตก็อึ้ง ถามย้ำอีกครั้งว่าธอร์ฟินยอมโดนต่อยหน้าซะเละตุ้มเป๊ะขนาดนั้นแค่เพราะอยากเจรจากับราชาอย่างตัวเองแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ อดีตนักรบฝีมือระดับธอร์ฟินน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้นนี่นา ธอร์ฟินก็ยืนยันว่าตัวเองหมายความตามที่พูดทุกคำ
และปฏิกิริยาที่คนุตมีต่อคำตอบของธอร์ฟินในครั้งนี้ก็คือ...เงิบจนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
คนุตบอกว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นราชามา ตัวเองก็เจอกับคนมาแล้วมากมายหลายประเภท ทั้งคนที่มาเพื่อเจรจาในเรื่องต่างๆ และคนที่มาด้วยเจตนาประสงค์ร้าย แต่ไม่เคยเจอใครเดินเทิ่งๆ เข้ามาขอเจรจาดื้อๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรเก็บไว้แบบธอร์ฟินมาก่อนเลย
เงิบเสร็จ คนุตก็ถามธอร์ฟินว่า แล้วตั้งใจจะไปที่ไหน ต่อให้ไปในที่ที่อำนาจของเขาตามไปไม่ถึงจริง แต่อาณาจักรของเขาก็กำลังขยายตัวอยู่ เพราะงั้นไม่ช้าอำนาจของเขาต้องตามไปถึงที่นั่นแน่เหมือนกัน ธอร์ฟินก็ตอบไปว่า ถ้าโดนแบบนั้นอีก เขาก็จะหนีอีก จะหนีต่อไปเรื่อยๆ จนหลังชนฝาไม่มีที่ให้หนีแล้วจริงๆ นั่นแหละถึงจะยอมลุกขึ้นสู้ และบอกกับคนุตว่า เขาจะสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นในที่ที่อำนาจของคนุตตามไปไม่ถึง และจะสร้างด้วยวิธีที่แตกต่างจากวิธีการของคนุต เพื่อให้คนที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มธงของคนุตได้มีชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสงบสุข ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขากับคนเหล่านั้นเท่านั้น แต่เพื่อตัวคนุตเองด้วย
ว่าถึงตรงนี้ ธอร์ฟินก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายบอกคนุตว่าให้ร่วมมือด้วยดีๆ เหอะน่า พยายามอย่าทำร้ายคนให้มากนักเลย เพราะขืนคนุตไม่ยอมให้ความร่วมมือ ยังทำร้ายคนต่อไปมากมายแบบนี้ละก็ งานของเขา (ที่จะต้องช่วยเหลือคนที่อยู่ในอาณาจักรของคนุตไม่ได้) มีหวังสุมหัวเพิ่มอีกแหงๆ และบอกว่าอำนาจของคนุตนั้นเหนือวกว่าเขามากมายหลายเท่า เพราะงั้นขืนคนุตทำร้ายคนมากเกินไป ต่อให้เขาอยากช่วยคนเยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางช่วยได้หมดแน่
และด้วยข้อเจรจาข้อนี้เอง ที่ทำให้คนุตถูกใจจนยอมถอนทหารกลับไปในที่สุด พร้อมกับสั่งยกเลิกแผนยึดฟาร์มที่อื่นที่เคยวางไว้ทั้งหมดอีกด้วย เพราะไม่อยากให้
"เพื่อน" ของตนต้องมาหัวปั่นวุ่นวาย
แล้วสถานการณ์วิกฤตแทบจะเรียกได้ว่าหมดทางแก้ไข ก็คลี่คลายลงได้ง่ายๆ ด้วยประการฉะนี้
ทิ้งให้อีตาลูกชายบ้าสงครามของเคทิลยืนเงิบอยู่คนเดียวที่ริมทะเลซะงั้น (ประมาณว่าขนอีหอกอีดาบมาจะแก้มือเต็มที่ แม่มขึ้นเรือกลับบ้านกันไปหมดเพราะทาสคนเดียวมาเจรจาซะเฉยๆ

)
ใครอ่านตอนนี้จบแล้วคงเงิบกันเป็นแถบๆ ว่า
"ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ" เลย แต่ถ้านึกย้อนดูดีๆ ผมคิดว่านั่นเป็นแผนการที่ดีที่สุดเท่าที่ขอบเขตอำนาจของธอร์ฟินจะทำได้แล้ว (นอกจาก
"วิ่งป่าราบ" ตามที่บอกไปในการเจรจา) เพราะลำพังตัวธอร์ฟินเองไม่มีทางจัดการกับคนุตที่อยู่ท่ามกลางทหารองครักษ์มากมายขนาดนั้นได้แน่ๆ จะหวังพึ่งคนของเคทิลในการล้อมปราบล้อมจับคนุตก็ไม่ได้อีก เพราะจากการรบครั้งที่ผ่านมาก็เห็นชัดแล้วว่าคนของทั้งสองฝ่ายฝีมือต่างกันขนาดไหน และต่อให้โชคดีกำจัดคนุตกับทหารทั้งหมดที่นี่ได้จริง ทางเสนาฯ คนอื่นก็อาจอาศัยข้ออ้างนี้ส่งทัพใหญ่มารุกรานได้อีกเหมือนกัน เรียกว่าถ้าซัดกันด้วยกำลังนี่ไม่มีทางที่พวกธอร์ฟินจะเอาชนะได้เลย (ถึงธอร์ฟินมันจะไม่คิดใช้กำลังอยู่แล้วก็เถอะ) ดังนั้น จะใช้วิธีเสี่ยงบุกเดี่ยวเจรจาแบบนี้ผมว่าก็ตัดสินใจได้ดีแล้วนั่นแหละ และเอาจริงๆ ก็ถือว่าไม่ใช่การตัดสินใจแบบไม่ได้คิดอะไรด้วย เพราะตัวธอร์ฟินก็รู้จักกับคนุตมานานรู้นิสัยใจคออีกฝ่ายอยู่พอสมควร (ถึงต่างฝ่ายจะเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมากแล้วก็เถอะ) ดังนั้นถ้าได้คุยกันก็ย่อมมีโอกาสเจรจาสำเร็จมากกว่าอยู่แล้ว (อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงแม่ทัพกัวจื่ออี๋ (หรือกวัวจื่อหยีในหนังสือจอมยุทธ์มังกรเหลือง) ตอนบุกเดี่ยวเจรจาขอเมืองหลวงคืนกับหัวหน้าเผ่านอกด่านที่รวมตัวกันมายึดอำนาจในเมืองจีนสมัยราชวงศ์ถังเลยแฮะ)
ที่เหลือคงต้องดูละครับ ว่าหลังจากนี้ขนุนคุงจะแก้ปัญหาเรื่องปากท้องทหารต่อไปยังไง เล่นล้มแผนฮุบเงินชาวบ้านมาเลี้ยงทหารแบบนี้ แล้วยังเรื่องของธอร์ฟินอีกว่าหลังจากนี้จะทำยังไง จะไปวินแลนด์กันต่อเลยมั้ย หรือจะมีเรื่องอะไรมาอีก
[Spoil] Vinland Saga #98 - แผนบุกเดี่ยวเจรจาสุดเงิบของธอร์ฟิน
เรียกว่าสถานการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานเลยทีเดียว
โดนล้อมไม่พอ ยังมีเตี่ยของคนุต (ที่เหลือแต่หัว) มาบำเพ็ญตนเป็นสันนิบาตลูกบ่างคอยยุให้คนุตกำจัดธอร์ฟินซะ โดยอ้างว่าคนดื้อดึงไม่ยอมสยบให้อำนาจของราชาอย่างธอร์ฟินปล่อยไว้จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติในภายภาคหน้า ให้เร่งกำจัดเสียในขณะที่มีโอกาสจะดีกว่า
อนึ่ง ถึงจะเหม็นขี้หน้าหัวของเตี่ยนี่แค่ไหนก็เหอะ แต่ยอมรับนะว่าในตอนนี้มันเปรียบเปรยได้ดีจริงๆ ที่เปรียบเปรยว่าราชาคือคนเลี้ยงแกะ ส่วนประชาชนคือฝูงแกะนั่น มันสะท้อนถึงความต้องการของคนุตที่จะสร้าง "สวนสวรรค์บนโลกนี้" ได้ดีจริงๆ (ท่านใดพอมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์หรือคัมภีร์ไบเบิลมาบ้างน่าจะพอรู้อยู่ว่าในคัมภีร์ไบเบิลจะเปรียบเทียบมนุษย์เป็นฝูงแกะ ส่วนพระเจ้าเป็นคนเลี้ยงแกะ)
ทว่า สิ่งที่หลุดจากปากธอร์ฟินผู้โดนทหารของคนุตเอาหอกชี้หน้าชี้หลังอยู่นั้น กลับเป็นคำพูดง่ายๆ ว่า
"ถ้าเอ็งยังคิดจะยึดฟาร์มนี้ ข้าก็แค่ 'วิ่งป่าราบ' เท่านั้นเอง"
คำกล่าวของธอร์ฟินทำเอาคนุตกับทหารถึงกับใบ้- แม้แต่เอนาร์ยังพลอยอึ้งไปด้วย
ธอร์ฟินก็อธิบายต่อว่า อำนาจในฐานะราชาของคนุตคืออำนาจที่ช่วยเหลือคนส่วนใหญ่แต่ก็ทกดขี่ข่มเห่งคนส่วนน้อยในขณะเดียวกัน (อย่างที่พี่แกคิดจะบุกฟาร์มยึดทรัพย์มาเลี้ยงทหารนั่นแล) ตัวเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่คนุตทำเป็นเรื่องถูกหรือผิด เพราะงั้นคงไม่มีสิทธิ์ไปนั่งด่าคนุตว่าทำชั่วได้หรอก ทำได้อย่างเก่งก็แค่หนีไปยังที่ที่อำนาจของคนุตยังไปไม่ถึงเท่านั้น
คนุตก็อึ้ง ถามย้ำอีกครั้งว่าธอร์ฟินยอมโดนต่อยหน้าซะเละตุ้มเป๊ะขนาดนั้นแค่เพราะอยากเจรจากับราชาอย่างตัวเองแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ อดีตนักรบฝีมือระดับธอร์ฟินน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้นนี่นา ธอร์ฟินก็ยืนยันว่าตัวเองหมายความตามที่พูดทุกคำ
และปฏิกิริยาที่คนุตมีต่อคำตอบของธอร์ฟินในครั้งนี้ก็คือ...เงิบจนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
คนุตบอกว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นราชามา ตัวเองก็เจอกับคนมาแล้วมากมายหลายประเภท ทั้งคนที่มาเพื่อเจรจาในเรื่องต่างๆ และคนที่มาด้วยเจตนาประสงค์ร้าย แต่ไม่เคยเจอใครเดินเทิ่งๆ เข้ามาขอเจรจาดื้อๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรเก็บไว้แบบธอร์ฟินมาก่อนเลย
เงิบเสร็จ คนุตก็ถามธอร์ฟินว่า แล้วตั้งใจจะไปที่ไหน ต่อให้ไปในที่ที่อำนาจของเขาตามไปไม่ถึงจริง แต่อาณาจักรของเขาก็กำลังขยายตัวอยู่ เพราะงั้นไม่ช้าอำนาจของเขาต้องตามไปถึงที่นั่นแน่เหมือนกัน ธอร์ฟินก็ตอบไปว่า ถ้าโดนแบบนั้นอีก เขาก็จะหนีอีก จะหนีต่อไปเรื่อยๆ จนหลังชนฝาไม่มีที่ให้หนีแล้วจริงๆ นั่นแหละถึงจะยอมลุกขึ้นสู้ และบอกกับคนุตว่า เขาจะสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นในที่ที่อำนาจของคนุตตามไปไม่ถึง และจะสร้างด้วยวิธีที่แตกต่างจากวิธีการของคนุต เพื่อให้คนที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มธงของคนุตได้มีชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสงบสุข ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขากับคนเหล่านั้นเท่านั้น แต่เพื่อตัวคนุตเองด้วย
ว่าถึงตรงนี้ ธอร์ฟินก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายบอกคนุตว่าให้ร่วมมือด้วยดีๆ เหอะน่า พยายามอย่าทำร้ายคนให้มากนักเลย เพราะขืนคนุตไม่ยอมให้ความร่วมมือ ยังทำร้ายคนต่อไปมากมายแบบนี้ละก็ งานของเขา (ที่จะต้องช่วยเหลือคนที่อยู่ในอาณาจักรของคนุตไม่ได้) มีหวังสุมหัวเพิ่มอีกแหงๆ และบอกว่าอำนาจของคนุตนั้นเหนือวกว่าเขามากมายหลายเท่า เพราะงั้นขืนคนุตทำร้ายคนมากเกินไป ต่อให้เขาอยากช่วยคนเยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางช่วยได้หมดแน่
และด้วยข้อเจรจาข้อนี้เอง ที่ทำให้คนุตถูกใจจนยอมถอนทหารกลับไปในที่สุด พร้อมกับสั่งยกเลิกแผนยึดฟาร์มที่อื่นที่เคยวางไว้ทั้งหมดอีกด้วย เพราะไม่อยากให้ "เพื่อน" ของตนต้องมาหัวปั่นวุ่นวาย
แล้วสถานการณ์วิกฤตแทบจะเรียกได้ว่าหมดทางแก้ไข ก็คลี่คลายลงได้ง่ายๆ ด้วยประการฉะนี้
ทิ้งให้อีตาลูกชายบ้าสงครามของเคทิลยืนเงิบอยู่คนเดียวที่ริมทะเลซะงั้น (ประมาณว่าขนอีหอกอีดาบมาจะแก้มือเต็มที่ แม่มขึ้นเรือกลับบ้านกันไปหมดเพราะทาสคนเดียวมาเจรจาซะเฉยๆ
ใครอ่านตอนนี้จบแล้วคงเงิบกันเป็นแถบๆ ว่า "ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ" เลย แต่ถ้านึกย้อนดูดีๆ ผมคิดว่านั่นเป็นแผนการที่ดีที่สุดเท่าที่ขอบเขตอำนาจของธอร์ฟินจะทำได้แล้ว (นอกจาก "วิ่งป่าราบ" ตามที่บอกไปในการเจรจา) เพราะลำพังตัวธอร์ฟินเองไม่มีทางจัดการกับคนุตที่อยู่ท่ามกลางทหารองครักษ์มากมายขนาดนั้นได้แน่ๆ จะหวังพึ่งคนของเคทิลในการล้อมปราบล้อมจับคนุตก็ไม่ได้อีก เพราะจากการรบครั้งที่ผ่านมาก็เห็นชัดแล้วว่าคนของทั้งสองฝ่ายฝีมือต่างกันขนาดไหน และต่อให้โชคดีกำจัดคนุตกับทหารทั้งหมดที่นี่ได้จริง ทางเสนาฯ คนอื่นก็อาจอาศัยข้ออ้างนี้ส่งทัพใหญ่มารุกรานได้อีกเหมือนกัน เรียกว่าถ้าซัดกันด้วยกำลังนี่ไม่มีทางที่พวกธอร์ฟินจะเอาชนะได้เลย (ถึงธอร์ฟินมันจะไม่คิดใช้กำลังอยู่แล้วก็เถอะ) ดังนั้น จะใช้วิธีเสี่ยงบุกเดี่ยวเจรจาแบบนี้ผมว่าก็ตัดสินใจได้ดีแล้วนั่นแหละ และเอาจริงๆ ก็ถือว่าไม่ใช่การตัดสินใจแบบไม่ได้คิดอะไรด้วย เพราะตัวธอร์ฟินก็รู้จักกับคนุตมานานรู้นิสัยใจคออีกฝ่ายอยู่พอสมควร (ถึงต่างฝ่ายจะเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมากแล้วก็เถอะ) ดังนั้นถ้าได้คุยกันก็ย่อมมีโอกาสเจรจาสำเร็จมากกว่าอยู่แล้ว (อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงแม่ทัพกัวจื่ออี๋ (หรือกวัวจื่อหยีในหนังสือจอมยุทธ์มังกรเหลือง) ตอนบุกเดี่ยวเจรจาขอเมืองหลวงคืนกับหัวหน้าเผ่านอกด่านที่รวมตัวกันมายึดอำนาจในเมืองจีนสมัยราชวงศ์ถังเลยแฮะ)
ที่เหลือคงต้องดูละครับ ว่าหลังจากนี้ขนุนคุงจะแก้ปัญหาเรื่องปากท้องทหารต่อไปยังไง เล่นล้มแผนฮุบเงินชาวบ้านมาเลี้ยงทหารแบบนี้ แล้วยังเรื่องของธอร์ฟินอีกว่าหลังจากนี้จะทำยังไง จะไปวินแลนด์กันต่อเลยมั้ย หรือจะมีเรื่องอะไรมาอีก