อยากจะเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆที่เป็นโรคนี้ หรือ มีญาติที่เป็นโรคนี้อยู่ รับมือกับมันให้ได้ค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า วันนึงเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คุณพ่อได้ปีนขึ้นไปซ่อมเครื่องปั้มน้ำที่บ้าน ปีนขึ้นปีนลงอยู่หลายรอบทั้งวัน
วันรุ่งขึ้น พ่อบอกว่า ปัสสาวะขัดๆ แสบๆ แล้วก็มีเลือดออกมาตอนปัสสาวะ จึงไปหาหมอตรวจ
หมอก็วินิจฉัยตามอาการว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และให้ยามากิน หลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้จะดีขึ้น
ในขณะที่กินยา ก็ดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่ดีสะทีเดียว ตอนปัสสาวะก็ยังแสบๆ และยังมีเลือดออกอยู่บางครั้ง
พ่อก็พยายามเปลี่ยนที่ หาหมอไปเรื่อยๆ เพราะไม่หาย ส่องกล้องหาสาเหตุอื่นก็แล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
สรุปก็ยังไม่มีที่ไหนรักษาให้หายดีขึ้นได้ และก็ยังเชื่อว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบต่อไป
จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี อาการก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ พ่อก็ไปหาหมออีก หมอก็ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จิงได้ว่าทำไมยังปัสสาวะเป็นเลือดอยู่
ทั้งที่พอส่องกล้องแล้วกระเพาะปัสสาวะก็ดูปกติ คราวนี้หมอจึงวินิจฉัยว่า เป็นอัณฑะอักเสบ อายุมากขึ้นก็อาจจะเป็นได้
และก็ยังคงจ่ายยามาให้กินตามปกติ หลังๆเริ่มปัสสาวะเป็นเลือดแทบทุกวัน เวลาปัสสาวะก็แสบ พ่อจึงตะเวนหาทุก รพ
จนไป รพ ขอเอยชื่อนะค่ะ รพ สมุทรปราการ รพ นี้พ่อมีบัตร 30 บาทอยู่ คุณหมอท่านนี้เป็นคนมีจรรยาบรรณมาก
หมอตรวจอย่างละเอียดก็ไม่พบ จึงบอกกับพ่อโดยตรงว่า เค้าไม่พบจิงๆ แล้วถ้าลุงรักษาตาม รพ เอกชนก็จะเสียค่าใช้จ่ายบานปลายมาก
เอางี้ หมอจะส่งตัวให้ลุงไปรักษาที่ รพ รามา จะส่งให้หมอที่เป็นอาจารย์ของหมอเอง(หมอใหญ่) จะได้ให้ท่านช่วยรักษา และ จะได้ใช้บัตร 30 บาทได้ เพราะพ่อไม่มีประกันอะไรเลย เป็นคนค้าขาย เวลารักษาต้องจ่ายเงินเองหมด
ณ รพ รามา หมอก็ได้เอาผลตรวจเก่าๆมาอ่าน เลยนัดส่องกล้อง ก็ยังไม่พบ จึงให้พ่อ ตรวจผลต่างๆใหม่หมด
เจาะเลือด แสกน อะไรต่างๆ เหมือนเริ่มต้นรักษาใหม่หมด หลังจากได้ผลตรวจ หมอจึงขอส่องกล้องอีกรอบนึง
(ทุกครั้งที่ส่องกล้องพ่อจะมาเล่าให้ฟังว่ามันเจ็บแค่ไหน พ่อบอกว่าหมอต้องทายาชาก่อน ถึงจะสอดเข้าไปได้
ลองคิดดูสิค่ะ ช่องปัสสาวะชาย รูนิดเดียวเอง เค้าต้องเอากล้องสอดเข้าไปทางนั้น คิดแล้วเจ็บแทน)
แต่การส่องกล้องครั้งนี้ หมอได้ตรวจละเอียดจนพบก้อนเนื้อขนาด 1cm โดยมีเนื้อที่พับทับปิดบังไว้อยู่
บริเวณข้อพับแถวขาและหน้าท้อง อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่หมอบอกว่าเป็นเพราะมันเป็นตรงข้อพับ
เวลาส่องธรรมดาจึงไม่พบ ต้องควานหา หลังจากนั้นหมอก็นัดวันผ่าตัดก้อนเนื้อชิ้นนี้ออก
พอถึงวันผ่าตัด รพ รามา ต้องมีญาติมาคอยตลอดคอยซื้อยาเพิ่มตามหมอสั่งให้หมอใช้ในห้องผ่าตัด
เราเลยอาสาไปรอ พ่อเปลี่ยนชุดนอนบนเตียง พยาบาลเรียกให้เราไปซื้อยาเพิ่ม ยาอะไรไม่รู้มีใบแจ้งให้
ลงไปชั้นล่างไปยื่น จ่ายตัง ได้ยาก็ขึ้นเอามาให้พยาบาล การผ่าตัดครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 3 ชม
ตอนพยาบาลเข็นเตียงพ่อออกมาจากห้องผ่าตัด มาพักฟื้นอีกห้อง เราเห็นหน้าพ่อมีน้ำตาคลอ
หลังจากย้ายพ่อไปห้องพัก พ่อได้เล่าให้ฟังว่า เค้ากัวหมอวางยาสลบแล้วเค้าจะไม่ฟื้นอีก
พ่อบอกหมอว่าไม่วางยาสลบได้ไหม หมออธิบายว่า หมอจะไม่วางยาสลบ หมอจะใช้วิธีการบล๊อกหลัง
เหมือนเวลาคนคลอดลูกเอา ฉะนั้น พ่อจะรู้สึกตัวตลอดเวลาในขณะผ่าตัด
พ่อเล่าว่า ตอนส่องกล้องเข้าไปแล้วเจอก้อนเนื้อ หมอยังหันกล้องมาให้ดู และพูดว่า ลุง หมอจะตัดให้หมดเลยนะ ไม่ต้องกัว
หมอใช้วิธีใส่อุปกรณ์เล็กๆลงไปในช่องทางเดินปัสสาวะ แล้วจี้ก้อนเนื้อ ออกมา
หมอบอกว่าจะเอาก้อนเนื้อไปเพาะดูว่าเป็นเนื้อธรรมดาหรือเนื้อร้าย อีก 2 อาทิตย์ผลจึงจะออก
และแล้ว 2 อาทิตย์ก็ผ่านไป หมอแจ้งว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 1 โชคดีที่เจอและรักษาทัน เป็นมะเร็งชนิดไม่รุกราม
คือตัดรักษาก็หาย คำพูดของหมอทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมาก โดยเฉพาะพ่อ
พ่อเป็นนักเดินทาง ชอบท่องเที่ยวไปทั่ว เป็นคนชอบลุย ถึงไหนถึงกัน พ่อเป็นคนแข็งแรง กระฉับกระเฉง
ชอบออกกำลังกาย เดินเก่งมาก เดินเก่งจนคนหนุ่มๆอายเลยทีเดียว และก็เป็นคนชอบกิน สรรหาของอร่อยกินไปเรื่อย
และที่สำคัญพ่อเป็นคนชอบกินเนื้อมาก ตั้งแต่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ทุกคนก็พยายามบอกให้พอหยุดกินเนื้อ
แต่ด้วยความที่พวกเราชะล่าใจ เห็นว่าตัดแล้ว หมอก็บอกว่าเป็นมะเร็งชนิดไม่รุกราม เราก็ไม่ได้ห้ามมาก
พ่อก็ยังคงกินอาหารตามใจ ทุกอย่างดูเป็นปกติ ชีวิตมีความสุข จนเราเรียนจบมหาลัย มาเรียนต่อที่เมืองนอก
ด้วยความที่พ่อชอบเที่ยวและก็ห่วงลูกสาว เลยอาสามาส่งถึงที่แล้วอยู่เป็นเพื่อนเดือนกว่า
จนทุกอย่างเข้าที่ พ่อถึงกลับไป เราสนิดกับพ่อมาก เพราะตั้งแต่เรียนมหาลัยพ่อจะคอยขับรถไปส่งตลอด
และ ยิ่งตอนอยู่ด้วยกันตอนไปเรียนต่อพ่อจะเห็นว่าเราเรียนหนัก เหงา อยู่คนเดียวพ่อจะยิ่งเห็นใจมาก
หลังจากที่พ่อกลับเมืองไทย แม่กับพี่เล่าว่า พ่อจะเล่าเรื่องที่นู้นซ้ำไปซ้ำมา พอเล่าเรื่องเราพ่อก็จะเงียบดูซึมๆ
พี่แซวว่าสงสัยคงจะคิดถึง ทุกอาทิตย์เราจะโทกลับบ้านถามสารทุกข์สุขดิบกัน จน 1 ปี ผ่านไป
พ่อไปตรวจ หมอพบว่ามะเร็งกลับมาอีกครั้ง
จากครั้งแรกที่ผ่าตัดมาถึงตอนนี้ก็ 4 ปีได้ มะเร็งกลับมาเป็นอีกครั้งที่กระเพาะปัสสาวะที่เดิม แต่คราวนี้
หมอพบว่ามันลามไปโดนต่อมน้ำเหลืองต่อมนึงตรงใกล้ๆกันแล้ว หมอตรวจพบว่ามะเร็งกลายพันธุ์เป็นสายพันธ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
คณะแพทย์รวมตัวกัน พ่อกลายเป็นเคสศึกษาทันที เพราะพอเป็นมะเร็งสายพันธุ์ใหม่ จึงยังไม่มีการบันทึกว่า จะใช้ยาตัวไหนรักษาให้ได้ผลบ้าง
และจากการที่พบว่ามันลามไปบางส่วน หมอจึงกัวว่าอาจจะลามไปที่บริเวณอื่นแล้วหรือไม่ก็ได้ เพราะฉะนั้นการผ่าตัดครั้งนี้
หมอต้องนัดหมอท่านอื่นให้ stand by ไว้ ในกรณีฉุกเฉินที่พบว่ามันลามไปส่วนอื่นจะเรียกหมอท่านอื่นที่ชำนาญแต่ละด้านไปช่วยผ่าตัด
รวมถึงเป็นเคสศึกษา จึงมีนักศึกษาแพทย์เข้าไปดูการผ่าตัดครั้งนี้ด้วย หมอบอกว่าต้องตัดกระเพาะปัสสาวะทิ้ง
ตอนแรกที่บ้านตกใจมาก คิดไปต่างนาๆว่า ถ้าตัดทิ้งแล้วทำไง ต้องห้อยถุงไว้ที่หน้าท้องหรอ แล้วจะไปไหนก็ไม่สะดวก
พ่อต้องทรมาน อึดอัดแน่ๆ แต่ด้วยความที่การแพทย์ไปไกล หมอเก่ง หมอเจาะหน้าท้องพ่อแค่ 2 ที่ แต่ละที่แผลยาว 1cm
ใส่อุปกรณ์ผ่าตัดส่องเข้าไปตัดกระเพาะปัสสาวะทิ้ง ต่อมน้ำเหลืองที่มะเร็งมันลาม และก็เอาลำไส้เล็กบางส่วนมาทำเป็นกระเพาะปัสสาวะแทน
ผลที่ได้คือ ภายนอกแทบจะไม่เห็นแผลผ่าตัดเลย ทั้งที่นี้คือการผ่าตัดใหญ่มาก พ่อเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 6 โมงเช้า
กว่าจะเสรจก็ 5 โมงเย็น ครั้งนี้พ่อโดนวางยานอนหลับไป
พ่อสามารถปัสสาวะได้ทางเดิมตามปกติ เพียงแค่จะกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ ต้องฝึกกลั้นปัสสาวะใหม่ และก็จะปวดปัสสาวะบ่อย
เพราะถุงปัสสาวะเทียมที่ทำจากลำไส้เล็กมีขนาดไม่ใหญ่เท่าของเดิม จึงทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย และเวลาไปไหนไกลๆ
พ่อก็ต้องใช้กางเกงผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ครั้งนี้หมอนัดมาทำคีโมตามคอสร์ให้ครบ ตอนแรกพวกเราเป็นกังวลว่าทำคีโมแล้วผมจะล่วงไหม
จะมีอาการแทรกซ้อนไรบ้าง แต่โชคดีที่พ่อไม่มีอาการแทรกซ้อนจากการทำคีโมเยอะ ผมก็ไม่ล่วง
แค่ 1-2 วันหลังทำคีโม ร่างกายจะเพลียๆ คลื่นไส้ ไม่ค่อยอยากอาหาร แต่หลังจากนั้นก็ปกติ แม่ก็พยายามลดเนื้อสัตว์
ให้พ่อกินผักเยอะๆ ทำผักทุกมื้อ ด้วยความที่พ่อเป็นคนชอบกินเนื้อ แถมเวลาทำคีโมจะไม่อยากอาหารอยู่แล้ว
ยิ่งเจออาหารมีแต่ผัก ทำให้หงุดหงิด และ บ่นว่ากินไม่ลง หลังๆแม่เลยต้องยอมให้กินเนื้อ ตามที่พ่อชอบแทน
เวลาผ่านไป พ่อพูดตลอด เราก็เคยคิดว่า พูดให้กำลังตัวเองและทุกคนหรือป่าว พ่อจะบอกว่า เค้าไม่เป็นไรหรอก
ไม่ตายง่ายๆหรอก สบาย เค้าแข็งแรงจะตายดูสิ ก็จิง พ่อดูแข็งแรง กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม พ่อไปตามที่หมอนัดตรวจทำคีโมทุกครั้ง
จนหมดโดสตามสั่ง คราวนี้ก็เป็นการติดตามอาการปกติ จากแรกๆนัด เดือนละครั้ง พอเห็นว่าปกติ ก็ 3 เดือนครั้ง
จนหลังๆ พ่อเห็นว่าปกติ ก็ละเลย ผลัดวันบ้าง เลยนัดไปบ้าง เพราะมั่นใจว่าตัวเองแข็งแรง เวลาผ่านไป ทุกอย่างปกติ
พ่อเลยขาดการไปหาหมอ เกือบปี น่าจะประมาณ 10 เดือนได้ พ่อเห็นว่ามันยังไม่กลับมาหรอก
เพราะจากครั้งแรกถึงครั้งที่สอง ใช้เวลา 4 ปีกว่า ถึงจะเป็นอีก นี้ยังไม่ 2 ปีเลย มันยังไม่มาหรอก เพิ่งตัดไป แต่ที่ไหนได้
(อยากจะฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า อย่างชะล่าใจกับโรคนี้ และยิ่งถ้าเป็นรอบสอง ให้ระมัดระวังไว้เลยว่า
มันจะมาและลามไปเร็วกว่าเดิมหลายเท่า)
2 ปีหลังจากผ่าตัดใหญ่ พ่อบ่นกับพี่ว่าปวดหลังๆ มาเป็นอาทิตย์ นับวันยิ่งปวดถึงขั้นเอาถุงร้อนๆนาบ
พี่สังเกตุว่ามันมีเนื้อปุดๆขึ้นมา เห็นท่าไม่ดี เลยบอกพ่อว่า ไม่น่าปวดหลังธรรมดาละ ไปหาหมอตรวจเถอะว่าเป็นอะไร
พ่อเลยตัดสินใจไป รพ ตรวจ หมอบอกว่า เจอมะเร็ง พ่อเลยไป รพ รามา หาหมอคนเดิม โดนหมอดุไปที
ว่าหายไปไหน ผลจากการตรวจทำให้ทั้งบ้านช๊อกมาก หมอบอกอาการภาพรวมให้พ่อฟัง แต่บอกพี่ละเอียดกว่านั้น
ตอนนั้นเรายังอยู่เมืองนอก ยังจำได้ว่าตอนที่พี่โทรมา กำลังไปงานเลี้ยง เรียนจบปริญญาเอกของพี่อีกคน
พอพี่โทรมาเราก็เอ๊ะใจ เพราะปกติ เราจะเป็นคนโทรกลับบ้าน ถ้าไม่ด่วนคงไม่โทรมา พี่บอกว่าหมอตรวจพบมะเร็งอีกแล้ว
ตอนนี้มันลามไปถึงตับแล้ว หมอบอกเป็นมะเร็งระยะที่ 4 คือระยะสุดท้าย ไม่สามารถผ่าตัดได้แล้ว ตอนนี้มันลามไปตับ 70%
ไม่สามารถตอบได้ว่าคีโมจะช่วยแค่ไหน และ พ่ออาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี เท่านั้นแหละ น้ำตาไหล สมองเบลอ มันว่างเปล่า
เหมือนเวลามันหยุดนิ่งไป
ประสบการณ์จากคุณพ่อเป็นมะเร็ง
เรื่องมีอยู่ว่า วันนึงเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คุณพ่อได้ปีนขึ้นไปซ่อมเครื่องปั้มน้ำที่บ้าน ปีนขึ้นปีนลงอยู่หลายรอบทั้งวัน
วันรุ่งขึ้น พ่อบอกว่า ปัสสาวะขัดๆ แสบๆ แล้วก็มีเลือดออกมาตอนปัสสาวะ จึงไปหาหมอตรวจ
หมอก็วินิจฉัยตามอาการว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และให้ยามากิน หลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้จะดีขึ้น
ในขณะที่กินยา ก็ดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่ดีสะทีเดียว ตอนปัสสาวะก็ยังแสบๆ และยังมีเลือดออกอยู่บางครั้ง
พ่อก็พยายามเปลี่ยนที่ หาหมอไปเรื่อยๆ เพราะไม่หาย ส่องกล้องหาสาเหตุอื่นก็แล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
สรุปก็ยังไม่มีที่ไหนรักษาให้หายดีขึ้นได้ และก็ยังเชื่อว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบต่อไป
จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี อาการก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ พ่อก็ไปหาหมออีก หมอก็ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จิงได้ว่าทำไมยังปัสสาวะเป็นเลือดอยู่
ทั้งที่พอส่องกล้องแล้วกระเพาะปัสสาวะก็ดูปกติ คราวนี้หมอจึงวินิจฉัยว่า เป็นอัณฑะอักเสบ อายุมากขึ้นก็อาจจะเป็นได้
และก็ยังคงจ่ายยามาให้กินตามปกติ หลังๆเริ่มปัสสาวะเป็นเลือดแทบทุกวัน เวลาปัสสาวะก็แสบ พ่อจึงตะเวนหาทุก รพ
จนไป รพ ขอเอยชื่อนะค่ะ รพ สมุทรปราการ รพ นี้พ่อมีบัตร 30 บาทอยู่ คุณหมอท่านนี้เป็นคนมีจรรยาบรรณมาก
หมอตรวจอย่างละเอียดก็ไม่พบ จึงบอกกับพ่อโดยตรงว่า เค้าไม่พบจิงๆ แล้วถ้าลุงรักษาตาม รพ เอกชนก็จะเสียค่าใช้จ่ายบานปลายมาก
เอางี้ หมอจะส่งตัวให้ลุงไปรักษาที่ รพ รามา จะส่งให้หมอที่เป็นอาจารย์ของหมอเอง(หมอใหญ่) จะได้ให้ท่านช่วยรักษา และ จะได้ใช้บัตร 30 บาทได้ เพราะพ่อไม่มีประกันอะไรเลย เป็นคนค้าขาย เวลารักษาต้องจ่ายเงินเองหมด
ณ รพ รามา หมอก็ได้เอาผลตรวจเก่าๆมาอ่าน เลยนัดส่องกล้อง ก็ยังไม่พบ จึงให้พ่อ ตรวจผลต่างๆใหม่หมด
เจาะเลือด แสกน อะไรต่างๆ เหมือนเริ่มต้นรักษาใหม่หมด หลังจากได้ผลตรวจ หมอจึงขอส่องกล้องอีกรอบนึง
(ทุกครั้งที่ส่องกล้องพ่อจะมาเล่าให้ฟังว่ามันเจ็บแค่ไหน พ่อบอกว่าหมอต้องทายาชาก่อน ถึงจะสอดเข้าไปได้
ลองคิดดูสิค่ะ ช่องปัสสาวะชาย รูนิดเดียวเอง เค้าต้องเอากล้องสอดเข้าไปทางนั้น คิดแล้วเจ็บแทน)
แต่การส่องกล้องครั้งนี้ หมอได้ตรวจละเอียดจนพบก้อนเนื้อขนาด 1cm โดยมีเนื้อที่พับทับปิดบังไว้อยู่
บริเวณข้อพับแถวขาและหน้าท้อง อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่หมอบอกว่าเป็นเพราะมันเป็นตรงข้อพับ
เวลาส่องธรรมดาจึงไม่พบ ต้องควานหา หลังจากนั้นหมอก็นัดวันผ่าตัดก้อนเนื้อชิ้นนี้ออก
พอถึงวันผ่าตัด รพ รามา ต้องมีญาติมาคอยตลอดคอยซื้อยาเพิ่มตามหมอสั่งให้หมอใช้ในห้องผ่าตัด
เราเลยอาสาไปรอ พ่อเปลี่ยนชุดนอนบนเตียง พยาบาลเรียกให้เราไปซื้อยาเพิ่ม ยาอะไรไม่รู้มีใบแจ้งให้
ลงไปชั้นล่างไปยื่น จ่ายตัง ได้ยาก็ขึ้นเอามาให้พยาบาล การผ่าตัดครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 3 ชม
ตอนพยาบาลเข็นเตียงพ่อออกมาจากห้องผ่าตัด มาพักฟื้นอีกห้อง เราเห็นหน้าพ่อมีน้ำตาคลอ
หลังจากย้ายพ่อไปห้องพัก พ่อได้เล่าให้ฟังว่า เค้ากัวหมอวางยาสลบแล้วเค้าจะไม่ฟื้นอีก
พ่อบอกหมอว่าไม่วางยาสลบได้ไหม หมออธิบายว่า หมอจะไม่วางยาสลบ หมอจะใช้วิธีการบล๊อกหลัง
เหมือนเวลาคนคลอดลูกเอา ฉะนั้น พ่อจะรู้สึกตัวตลอดเวลาในขณะผ่าตัด
พ่อเล่าว่า ตอนส่องกล้องเข้าไปแล้วเจอก้อนเนื้อ หมอยังหันกล้องมาให้ดู และพูดว่า ลุง หมอจะตัดให้หมดเลยนะ ไม่ต้องกัว
หมอใช้วิธีใส่อุปกรณ์เล็กๆลงไปในช่องทางเดินปัสสาวะ แล้วจี้ก้อนเนื้อ ออกมา
หมอบอกว่าจะเอาก้อนเนื้อไปเพาะดูว่าเป็นเนื้อธรรมดาหรือเนื้อร้าย อีก 2 อาทิตย์ผลจึงจะออก
และแล้ว 2 อาทิตย์ก็ผ่านไป หมอแจ้งว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 1 โชคดีที่เจอและรักษาทัน เป็นมะเร็งชนิดไม่รุกราม
คือตัดรักษาก็หาย คำพูดของหมอทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมาก โดยเฉพาะพ่อ
พ่อเป็นนักเดินทาง ชอบท่องเที่ยวไปทั่ว เป็นคนชอบลุย ถึงไหนถึงกัน พ่อเป็นคนแข็งแรง กระฉับกระเฉง
ชอบออกกำลังกาย เดินเก่งมาก เดินเก่งจนคนหนุ่มๆอายเลยทีเดียว และก็เป็นคนชอบกิน สรรหาของอร่อยกินไปเรื่อย
และที่สำคัญพ่อเป็นคนชอบกินเนื้อมาก ตั้งแต่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ทุกคนก็พยายามบอกให้พอหยุดกินเนื้อ
แต่ด้วยความที่พวกเราชะล่าใจ เห็นว่าตัดแล้ว หมอก็บอกว่าเป็นมะเร็งชนิดไม่รุกราม เราก็ไม่ได้ห้ามมาก
พ่อก็ยังคงกินอาหารตามใจ ทุกอย่างดูเป็นปกติ ชีวิตมีความสุข จนเราเรียนจบมหาลัย มาเรียนต่อที่เมืองนอก
ด้วยความที่พ่อชอบเที่ยวและก็ห่วงลูกสาว เลยอาสามาส่งถึงที่แล้วอยู่เป็นเพื่อนเดือนกว่า
จนทุกอย่างเข้าที่ พ่อถึงกลับไป เราสนิดกับพ่อมาก เพราะตั้งแต่เรียนมหาลัยพ่อจะคอยขับรถไปส่งตลอด
และ ยิ่งตอนอยู่ด้วยกันตอนไปเรียนต่อพ่อจะเห็นว่าเราเรียนหนัก เหงา อยู่คนเดียวพ่อจะยิ่งเห็นใจมาก
หลังจากที่พ่อกลับเมืองไทย แม่กับพี่เล่าว่า พ่อจะเล่าเรื่องที่นู้นซ้ำไปซ้ำมา พอเล่าเรื่องเราพ่อก็จะเงียบดูซึมๆ
พี่แซวว่าสงสัยคงจะคิดถึง ทุกอาทิตย์เราจะโทกลับบ้านถามสารทุกข์สุขดิบกัน จน 1 ปี ผ่านไป
พ่อไปตรวจ หมอพบว่ามะเร็งกลับมาอีกครั้ง
จากครั้งแรกที่ผ่าตัดมาถึงตอนนี้ก็ 4 ปีได้ มะเร็งกลับมาเป็นอีกครั้งที่กระเพาะปัสสาวะที่เดิม แต่คราวนี้
หมอพบว่ามันลามไปโดนต่อมน้ำเหลืองต่อมนึงตรงใกล้ๆกันแล้ว หมอตรวจพบว่ามะเร็งกลายพันธุ์เป็นสายพันธ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
คณะแพทย์รวมตัวกัน พ่อกลายเป็นเคสศึกษาทันที เพราะพอเป็นมะเร็งสายพันธุ์ใหม่ จึงยังไม่มีการบันทึกว่า จะใช้ยาตัวไหนรักษาให้ได้ผลบ้าง
และจากการที่พบว่ามันลามไปบางส่วน หมอจึงกัวว่าอาจจะลามไปที่บริเวณอื่นแล้วหรือไม่ก็ได้ เพราะฉะนั้นการผ่าตัดครั้งนี้
หมอต้องนัดหมอท่านอื่นให้ stand by ไว้ ในกรณีฉุกเฉินที่พบว่ามันลามไปส่วนอื่นจะเรียกหมอท่านอื่นที่ชำนาญแต่ละด้านไปช่วยผ่าตัด
รวมถึงเป็นเคสศึกษา จึงมีนักศึกษาแพทย์เข้าไปดูการผ่าตัดครั้งนี้ด้วย หมอบอกว่าต้องตัดกระเพาะปัสสาวะทิ้ง
ตอนแรกที่บ้านตกใจมาก คิดไปต่างนาๆว่า ถ้าตัดทิ้งแล้วทำไง ต้องห้อยถุงไว้ที่หน้าท้องหรอ แล้วจะไปไหนก็ไม่สะดวก
พ่อต้องทรมาน อึดอัดแน่ๆ แต่ด้วยความที่การแพทย์ไปไกล หมอเก่ง หมอเจาะหน้าท้องพ่อแค่ 2 ที่ แต่ละที่แผลยาว 1cm
ใส่อุปกรณ์ผ่าตัดส่องเข้าไปตัดกระเพาะปัสสาวะทิ้ง ต่อมน้ำเหลืองที่มะเร็งมันลาม และก็เอาลำไส้เล็กบางส่วนมาทำเป็นกระเพาะปัสสาวะแทน
ผลที่ได้คือ ภายนอกแทบจะไม่เห็นแผลผ่าตัดเลย ทั้งที่นี้คือการผ่าตัดใหญ่มาก พ่อเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 6 โมงเช้า
กว่าจะเสรจก็ 5 โมงเย็น ครั้งนี้พ่อโดนวางยานอนหลับไป
พ่อสามารถปัสสาวะได้ทางเดิมตามปกติ เพียงแค่จะกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ ต้องฝึกกลั้นปัสสาวะใหม่ และก็จะปวดปัสสาวะบ่อย
เพราะถุงปัสสาวะเทียมที่ทำจากลำไส้เล็กมีขนาดไม่ใหญ่เท่าของเดิม จึงทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย และเวลาไปไหนไกลๆ
พ่อก็ต้องใช้กางเกงผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ครั้งนี้หมอนัดมาทำคีโมตามคอสร์ให้ครบ ตอนแรกพวกเราเป็นกังวลว่าทำคีโมแล้วผมจะล่วงไหม
จะมีอาการแทรกซ้อนไรบ้าง แต่โชคดีที่พ่อไม่มีอาการแทรกซ้อนจากการทำคีโมเยอะ ผมก็ไม่ล่วง
แค่ 1-2 วันหลังทำคีโม ร่างกายจะเพลียๆ คลื่นไส้ ไม่ค่อยอยากอาหาร แต่หลังจากนั้นก็ปกติ แม่ก็พยายามลดเนื้อสัตว์
ให้พ่อกินผักเยอะๆ ทำผักทุกมื้อ ด้วยความที่พ่อเป็นคนชอบกินเนื้อ แถมเวลาทำคีโมจะไม่อยากอาหารอยู่แล้ว
ยิ่งเจออาหารมีแต่ผัก ทำให้หงุดหงิด และ บ่นว่ากินไม่ลง หลังๆแม่เลยต้องยอมให้กินเนื้อ ตามที่พ่อชอบแทน
เวลาผ่านไป พ่อพูดตลอด เราก็เคยคิดว่า พูดให้กำลังตัวเองและทุกคนหรือป่าว พ่อจะบอกว่า เค้าไม่เป็นไรหรอก
ไม่ตายง่ายๆหรอก สบาย เค้าแข็งแรงจะตายดูสิ ก็จิง พ่อดูแข็งแรง กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม พ่อไปตามที่หมอนัดตรวจทำคีโมทุกครั้ง
จนหมดโดสตามสั่ง คราวนี้ก็เป็นการติดตามอาการปกติ จากแรกๆนัด เดือนละครั้ง พอเห็นว่าปกติ ก็ 3 เดือนครั้ง
จนหลังๆ พ่อเห็นว่าปกติ ก็ละเลย ผลัดวันบ้าง เลยนัดไปบ้าง เพราะมั่นใจว่าตัวเองแข็งแรง เวลาผ่านไป ทุกอย่างปกติ
พ่อเลยขาดการไปหาหมอ เกือบปี น่าจะประมาณ 10 เดือนได้ พ่อเห็นว่ามันยังไม่กลับมาหรอก
เพราะจากครั้งแรกถึงครั้งที่สอง ใช้เวลา 4 ปีกว่า ถึงจะเป็นอีก นี้ยังไม่ 2 ปีเลย มันยังไม่มาหรอก เพิ่งตัดไป แต่ที่ไหนได้
(อยากจะฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า อย่างชะล่าใจกับโรคนี้ และยิ่งถ้าเป็นรอบสอง ให้ระมัดระวังไว้เลยว่า
มันจะมาและลามไปเร็วกว่าเดิมหลายเท่า)
2 ปีหลังจากผ่าตัดใหญ่ พ่อบ่นกับพี่ว่าปวดหลังๆ มาเป็นอาทิตย์ นับวันยิ่งปวดถึงขั้นเอาถุงร้อนๆนาบ
พี่สังเกตุว่ามันมีเนื้อปุดๆขึ้นมา เห็นท่าไม่ดี เลยบอกพ่อว่า ไม่น่าปวดหลังธรรมดาละ ไปหาหมอตรวจเถอะว่าเป็นอะไร
พ่อเลยตัดสินใจไป รพ ตรวจ หมอบอกว่า เจอมะเร็ง พ่อเลยไป รพ รามา หาหมอคนเดิม โดนหมอดุไปที
ว่าหายไปไหน ผลจากการตรวจทำให้ทั้งบ้านช๊อกมาก หมอบอกอาการภาพรวมให้พ่อฟัง แต่บอกพี่ละเอียดกว่านั้น
ตอนนั้นเรายังอยู่เมืองนอก ยังจำได้ว่าตอนที่พี่โทรมา กำลังไปงานเลี้ยง เรียนจบปริญญาเอกของพี่อีกคน
พอพี่โทรมาเราก็เอ๊ะใจ เพราะปกติ เราจะเป็นคนโทรกลับบ้าน ถ้าไม่ด่วนคงไม่โทรมา พี่บอกว่าหมอตรวจพบมะเร็งอีกแล้ว
ตอนนี้มันลามไปถึงตับแล้ว หมอบอกเป็นมะเร็งระยะที่ 4 คือระยะสุดท้าย ไม่สามารถผ่าตัดได้แล้ว ตอนนี้มันลามไปตับ 70%
ไม่สามารถตอบได้ว่าคีโมจะช่วยแค่ไหน และ พ่ออาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี เท่านั้นแหละ น้ำตาไหล สมองเบลอ มันว่างเปล่า
เหมือนเวลามันหยุดนิ่งไป