ที่มาของกระทู้ : ก่อนหน้านี้ได้อ่านความเห็นหลายๆ ความเห็น ว่าพวกนักลงทุนที่พอร์ต ร้อยล้าน พันล้าน ที่เริ่มต้นจากเงินแค่หลักล้านนั้น ต้องซื้อตอนที่ SET Index ต่ำ เช่นเมื่อ 12 ปีก่อน หรือตอนปี 2551 ที่ SET Index อยู่ที่ 300 กว่าจุดเท่านั้น ซึ่งทำนองว่าอาศัยโชค หรือวิกฤตเท่านั้นจึงจะทำได้
วันนี้ว่างๆ เลยอย่างจะนำเสนออะไรบางอย่าง พอดีนึกถึง ROE เลยเอา ROE ละกันครับ
เพื่อความสะดวกในการนำเสนอ ผมจึงต้องกำหนดให้ตัวแปรหลายๆ ตัวคงที่ เช่น หนี้บริษัท อัตราการเติบโต PE นโยบายเงินปันผล เงินปันผลที่ได้รับไม่นำกลับมาลงทุนอีก และอื่นๆ
เริ่มเลยละกันครับ
ผมทำตัวอย่าง โดยแยกออกเป็น 4 บริษัท ได้แก่ A B C และ D
Equity ของ A ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 1357.95 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 10 % ต่อปี
Equity ของ B ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 2,517.88 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 15 % ต่อปี
เปรียบเทียบระหว่าง A และ B จะเห็นว่าหากลงด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน คือ 1,000 บาท ณ ปีที่ 10
ส่วนของผู้ถือหุ้นของ B จะเพิ่มขึ้นมากกว่า A เป็นจำนวนเงิน 1,159.93 บาท
Equity ของ C ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 4159.78 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 20 % ต่อปี
Equity ของ D ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 9604.50 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 30 % ต่อปี
เปรียบเทียบระหว่าง C และ D จะเห็นว่าหากลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากัน คือ 1,000 บาท ณ ปีที่ 10
ส่วนของผู้ถือหุ้นของ D จะเพิ่มขึ้นมากกว่า C เป็นจำนวนเงิน 5444.72 บาท
เมื่อเอา A B C และ D มาเปรียบเที่ยบกัน ณ ปีที่ 10 D ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้ ROE สูงสุด
และไม่จ่ายเงินปันผลเลย หรือนำเงินกำไรทั้งหมดไปลงทุน จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นโตมากที่สุด
คราวนี้มาดูว่ามันเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นอย่างไร
สมมติ ให้ทุกบริษัทมีจำนวนหุ้นสามัญเท่ากันหมดที่บริษัทละ 1,000 หุ้น
เริ่มปีแรก เข้าซื้อหุ้นที่ PE Ratio 10 เท่า
A และ C ราคาซื้อ 2 บาท
B และ D ราคาซื้อ 3 บาท
ปีที่ 10 แต่ละบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นดังนี้
A = 0.47 บาท
B = 1.06 บาท
C = 1.03 บาท
D = 3.18 บาท
จากสมมติที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ราคาหุ้นของทุกบริษัทเทรดที่ PE Ratio 10 เท่า
A ราคาหุ้นจะเท่ากับ 4.70 บาท
B ราคาหุ้นจะเท่ากับ 10.06 บาท
C ราคาหุ้นจะเท่ากับ 10.03 บาท
D ราคาหุ้นจะเท่ากับ 31.80 บาท
ผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะได้รับทั้งหมด
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 4,700 บาท + เงินปันผลทั้งหมดที่ถือหุ้นมา 10 ปี 1,594 บาท เท่ากับ 6,294 บาท
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 10,060 บาท + เงินปันผลทั้งหมดที่ถือหุ้นมา 10 ปี 1,759 บาท เท่ากับ 11,819 บาท
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 10,030 บาท + ไม่มีเงินปันผล เท่ากับ 10,030 บาท
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 31,800 บาท + ไม่มีเงินปันผล เท่ากับ 31,800 บาท
จากทั้งหมดนี้ สื่อให้เห็นอะไรบ้าง ?
ระยะเวลาเป็นตัวลดความเสี่ยง
การซื้อหุ้นในราคาที่สมเหตุสมผลตั้งแต่เริ่มต้น มีผลต่อผลตอบแทนในอนาคต เช่น ถ้า นาย ก เริ่มต้นซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท (PE 50 เท่า) นาย ก ถือหุ้นผ่านไปจนถึงปีที่ 10 นาย ก ขาดทุน แต่ถ้านาย ก ซื้อหุ้น A ที่ราคา 2 บาท (PE 10 เท่า) นาย ก จะได้ผลตอบแทนทั้งหมด 214 %
หาก นาย ก ลงทุน หุ้น D ที่ PE 10 เท่า ก็คือ 3 บาท ณ ปีที่ 10 นาย กจะได้ผลตอบแทน 960%
ผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด คิดว่าคนที่สร้างผลตอบแทนในการลงทุนได้มากกว่า 10,000 % เพราะซื้อหุ้นตอน SET Index อยู่ที่ 300 จุด ตรงนี้คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจากที่ผมเห็นคนรู้จักลงทุนตั้งแต่ 300 กว่าจุดเมื่อ 12 ปีก่อน แต่ปัจจุบันยังขาดทุนก็มีครับ
SET Index จาก 300 จุด มาเป็น 1,500 จุด มันก็เพิ่มขึ้นแค่ 400% ถ้าคนลงทุน 1 บาท ก็จะกลายเป็น 5 บาท เท่านั้น หรืออย่าง ดร.นิเวศน์ที่มีคนประเมินว่าท่านลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท ถ้าราคาหุ้นขึ้นเท่ากับ SET Index พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ก็จะมีมูลค่าแค่ 50 ล้านบาท ไม่ใช่ประมาณ 4 พันล้านบาทแบบในปัจจุบันครับ
พอร์ตจาก 10 ล้าน กลายเป็น 4 พันล้านบาท พอร์ตเติบโตถึง 40,000 % ครับ
ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ ไม่จำเป็นต้องลงทุนที่ตอน SET Index ต่ำๆ แต่ต้องลงทุนในหุ้นตอนที่ราคาต่ำมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในอนาคตครับ
สุดท้าย ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สร้างผลตอบแทนได้มหาศาล คือ ผลตอบแทนแบบทบต้น (Compounding) เป็นตัวสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลระหว่างนักลงทุนที่ชักเงินกำไร และเงินปันผลออก กับนักลงทุนนำเงินกำไร และเงินปันผลกลับเข้าไปลงทุนต่อ
ROE เครื่องมือตัวหนึ่งในการวิเคราะห์หุ้น
วันนี้ว่างๆ เลยอย่างจะนำเสนออะไรบางอย่าง พอดีนึกถึง ROE เลยเอา ROE ละกันครับ
เพื่อความสะดวกในการนำเสนอ ผมจึงต้องกำหนดให้ตัวแปรหลายๆ ตัวคงที่ เช่น หนี้บริษัท อัตราการเติบโต PE นโยบายเงินปันผล เงินปันผลที่ได้รับไม่นำกลับมาลงทุนอีก และอื่นๆ
เริ่มเลยละกันครับ
ผมทำตัวอย่าง โดยแยกออกเป็น 4 บริษัท ได้แก่ A B C และ D
Equity ของ A ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 1357.95 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 10 % ต่อปี
Equity ของ B ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 2,517.88 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 15 % ต่อปี
เปรียบเทียบระหว่าง A และ B จะเห็นว่าหากลงด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน คือ 1,000 บาท ณ ปีที่ 10
ส่วนของผู้ถือหุ้นของ B จะเพิ่มขึ้นมากกว่า A เป็นจำนวนเงิน 1,159.93 บาท
Equity ของ C ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 4159.78 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 20 % ต่อปี
Equity ของ D ในปีที่ 10 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 9604.50 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 30 % ต่อปี
เปรียบเทียบระหว่าง C และ D จะเห็นว่าหากลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากัน คือ 1,000 บาท ณ ปีที่ 10
ส่วนของผู้ถือหุ้นของ D จะเพิ่มขึ้นมากกว่า C เป็นจำนวนเงิน 5444.72 บาท
เมื่อเอา A B C และ D มาเปรียบเที่ยบกัน ณ ปีที่ 10 D ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้ ROE สูงสุด
และไม่จ่ายเงินปันผลเลย หรือนำเงินกำไรทั้งหมดไปลงทุน จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นโตมากที่สุด
คราวนี้มาดูว่ามันเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นอย่างไร
สมมติ ให้ทุกบริษัทมีจำนวนหุ้นสามัญเท่ากันหมดที่บริษัทละ 1,000 หุ้น
เริ่มปีแรก เข้าซื้อหุ้นที่ PE Ratio 10 เท่า
A และ C ราคาซื้อ 2 บาท
B และ D ราคาซื้อ 3 บาท
ปีที่ 10 แต่ละบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นดังนี้
A = 0.47 บาท
B = 1.06 บาท
C = 1.03 บาท
D = 3.18 บาท
จากสมมติที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ราคาหุ้นของทุกบริษัทเทรดที่ PE Ratio 10 เท่า
A ราคาหุ้นจะเท่ากับ 4.70 บาท
B ราคาหุ้นจะเท่ากับ 10.06 บาท
C ราคาหุ้นจะเท่ากับ 10.03 บาท
D ราคาหุ้นจะเท่ากับ 31.80 บาท
ผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะได้รับทั้งหมด
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 4,700 บาท + เงินปันผลทั้งหมดที่ถือหุ้นมา 10 ปี 1,594 บาท เท่ากับ 6,294 บาท
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 10,060 บาท + เงินปันผลทั้งหมดที่ถือหุ้นมา 10 ปี 1,759 บาท เท่ากับ 11,819 บาท
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 10,030 บาท + ไม่มีเงินปันผล เท่ากับ 10,030 บาท
A มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด 31,800 บาท + ไม่มีเงินปันผล เท่ากับ 31,800 บาท
จากทั้งหมดนี้ สื่อให้เห็นอะไรบ้าง ?
ระยะเวลาเป็นตัวลดความเสี่ยง
การซื้อหุ้นในราคาที่สมเหตุสมผลตั้งแต่เริ่มต้น มีผลต่อผลตอบแทนในอนาคต เช่น ถ้า นาย ก เริ่มต้นซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท (PE 50 เท่า) นาย ก ถือหุ้นผ่านไปจนถึงปีที่ 10 นาย ก ขาดทุน แต่ถ้านาย ก ซื้อหุ้น A ที่ราคา 2 บาท (PE 10 เท่า) นาย ก จะได้ผลตอบแทนทั้งหมด 214 %
หาก นาย ก ลงทุน หุ้น D ที่ PE 10 เท่า ก็คือ 3 บาท ณ ปีที่ 10 นาย กจะได้ผลตอบแทน 960%
ผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด คิดว่าคนที่สร้างผลตอบแทนในการลงทุนได้มากกว่า 10,000 % เพราะซื้อหุ้นตอน SET Index อยู่ที่ 300 จุด ตรงนี้คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจากที่ผมเห็นคนรู้จักลงทุนตั้งแต่ 300 กว่าจุดเมื่อ 12 ปีก่อน แต่ปัจจุบันยังขาดทุนก็มีครับ
SET Index จาก 300 จุด มาเป็น 1,500 จุด มันก็เพิ่มขึ้นแค่ 400% ถ้าคนลงทุน 1 บาท ก็จะกลายเป็น 5 บาท เท่านั้น หรืออย่าง ดร.นิเวศน์ที่มีคนประเมินว่าท่านลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท ถ้าราคาหุ้นขึ้นเท่ากับ SET Index พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ก็จะมีมูลค่าแค่ 50 ล้านบาท ไม่ใช่ประมาณ 4 พันล้านบาทแบบในปัจจุบันครับ
พอร์ตจาก 10 ล้าน กลายเป็น 4 พันล้านบาท พอร์ตเติบโตถึง 40,000 % ครับ
ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ ไม่จำเป็นต้องลงทุนที่ตอน SET Index ต่ำๆ แต่ต้องลงทุนในหุ้นตอนที่ราคาต่ำมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในอนาคตครับ
สุดท้าย ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สร้างผลตอบแทนได้มหาศาล คือ ผลตอบแทนแบบทบต้น (Compounding) เป็นตัวสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลระหว่างนักลงทุนที่ชักเงินกำไร และเงินปันผลออก กับนักลงทุนนำเงินกำไร และเงินปันผลกลับเข้าไปลงทุนต่อ