เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ
แ่ค่เกมการเมืองเรื่องโค่นกันเท่านั้นเอง
ไม่แค่มาตรา 190 หรอกครับ
มาตรา 68 ก็ต้องแก้ มาตรา 309 ก็ต้องแก้
และทาง ปชป. และ ส.ว. สรรหา ก็ต้องค้าน
มันเป็นมาตราที่เล่นงานรัฐบาลเพื่อไทยได้ตลอดเวลาครับ
เผลอเมื่อไรเป็นเสร็จ
มาตรา 190 นี่ มันมีตัวอย่างมาแล้ว
ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้การวินิจฉับแบบ "หาเรื่อง" เอาผิดนายนพดล ปัทมะ กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย -กัมพูชา เมื่อปี 2551
เป็นการตีความอย่างเกินเลยเพื่อเอาผิดอย่างเจตนาทำผิดรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ
ด้วยการใช้คำวินิจฉัยแบบเพ้อฝันว่า
"อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communique
ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่
อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ
ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง" (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2551)
ด้วยการที่ศาลรัฐธรรมนูญเล่นบทขี้ฉ้อด้วยการใช้ถ้อยคำ
อาจ อันไม่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
เพื่อเจตนาจงใจหาเรื่องเอาผิดนายนพดลให้ได้
รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า (ไม่มีคำว่า
อาจ )
รัฐบาลเพื่อไทยจึงจำเป็นต้อแก้ไขมาตรา 190 นี้ครับ
ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณอย่างที่ ปชป. แอนด์เดอะแก๊งค์ใส่ร้ายกล่าวหาหรอก
แต่เพื่อความสะดวกในการบริหารงานราชการแผ่นดิน
และเพื่อความปลอดภัยของรัฐบาลเอง เพราะหากเผลอไปทำอะไรที่มันไม่เข้าข่าย ม.190
แต่ศาลรัฐธรรมนูญว่าเข้าข่าย รัฐบาลก็เสร็จเอาง่าย ๆ
เรื่องพลังงานในอ่าวไทย ที่ไทยกับเขมรยังตกลงกันไม่ได้นั้น ที่ ปชป.และพวก พยายามใส่ร้ายนั้น
มันแค่เรื่องสัมปทานครับ
ไม่ว่าเขมรหรือไทย หากจะเอาพลังงานในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ก็ต้องให้สัมปทานเอกชน
ซึ่งตอนนั้น หากนักลงทุนคนใดบริษัทไหนมีความสามารถพอก็ได้สัมปทานไป
มันห่างไกลเหลือเกินกับเรื่องมาตรา 190 ที่ไทยเราจะไปทำสัญญาใด ๆ กับเขมรเพื่อให้ทักษิณได้ประโยชน์
อย่างเรื่องยกดินแดนให้เขมรนั่นแหละครับ
ใส่ร้ายมาห้าหกปีแล้ว ผลที่เห็นก็มีอยู่เรื่องเดียว คือคนไทยไปติดคุกเขมรซะสองคน หลุดมาหนึ่งยังเหลืออีกหนึ่ง
ปชป. แอนด์เดอะแก๊งค์จึงต้องปกป้องรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างเต็มที่ครับ
เพราะมีหลายมาตราที่ซ่อนดาบไว้
สู้ทางสนามเลือกตั้งไม่ได้ ก็ต้องอาศัยศาลและองค์กรอิสระช่วย
มาตรา 190 นี่ ว่าแล้วก็เป็นปัญหาในการทำงานของฝ่ายบริหารจริง ๆ ครับ
เพราะต้องมาผ่านรัฐสภา มาผ่านความเห็นจากประชาชน ไม่ทันครับ
ตามสุภาษิตไทยที่ว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้
ไปพูดคุยกับต่างชาติ แทนที่จะได้ข้อตกลง ได้ลงนามในเรื่องที่ก่อประโยชน์ให้บ้านเมือง ก็ทำไม่ได้ ต้องรอ
หากคู่สัญญาเขาไม่รอ เขารู้ว่ากับไทยนี่ต้องเสียเวลา เขาก็ไม่อยากทำการใด ๆ ด้วยเท่าไรหรอกครับ
แต่ก่อน ไม่มีมาตรา 190 ก็ไม่เห็นบ้านเมืองเป็นอะไร
แ่ต่เพราะเผด็จการต้องการใช้รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเครื่องมือในการกุมสภาพทางอำนาจ
จึงร่างหลาย ๆ มาตราเอาไว้เพื่อใช้ควบคุมและจัดการ
มันก็เท่านั้นเอง
ทักษิณไม่ใช่ "ขี้ขำ" หรอกครับ
แต่ผมว่า อำนาจนอกระบบ และลิ่วล้ออย่าง ปชป. ส.ว.สรรหา ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ต่างหากครับ
ที่คือ "ขี้ขำ" ของบ้านเมือง
ภาษาเหนือนั้น
เมาค้างเขาบอกว่า "ขำเหล้า"
ผมอยู่เหนือนาน ตอนนี้ชักจะ "ขำหล่อ" หล่อวันหล่อคืนไปทุกที
นอนดีกั่วคับ
ทำไมรัฐบาลเพื่อไทยต้องแก้มาตรา 190 และทำไม ปชป. และ ส.ว. สรรหา ถึงได้ค้านสุดตัว
แ่ค่เกมการเมืองเรื่องโค่นกันเท่านั้นเอง
ไม่แค่มาตรา 190 หรอกครับ
มาตรา 68 ก็ต้องแก้ มาตรา 309 ก็ต้องแก้
และทาง ปชป. และ ส.ว. สรรหา ก็ต้องค้าน
มันเป็นมาตราที่เล่นงานรัฐบาลเพื่อไทยได้ตลอดเวลาครับ
เผลอเมื่อไรเป็นเสร็จ
มาตรา 190 นี่ มันมีตัวอย่างมาแล้ว
ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้การวินิจฉับแบบ "หาเรื่อง" เอาผิดนายนพดล ปัทมะ กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย -กัมพูชา เมื่อปี 2551
เป็นการตีความอย่างเกินเลยเพื่อเอาผิดอย่างเจตนาทำผิดรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ
ด้วยการใช้คำวินิจฉัยแบบเพ้อฝันว่า
"อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communique
ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ
ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง" (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2551)
ด้วยการที่ศาลรัฐธรรมนูญเล่นบทขี้ฉ้อด้วยการใช้ถ้อยคำ อาจ อันไม่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
เพื่อเจตนาจงใจหาเรื่องเอาผิดนายนพดลให้ได้
รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า (ไม่มีคำว่า อาจ )
รัฐบาลเพื่อไทยจึงจำเป็นต้อแก้ไขมาตรา 190 นี้ครับ
ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณอย่างที่ ปชป. แอนด์เดอะแก๊งค์ใส่ร้ายกล่าวหาหรอก
แต่เพื่อความสะดวกในการบริหารงานราชการแผ่นดิน
และเพื่อความปลอดภัยของรัฐบาลเอง เพราะหากเผลอไปทำอะไรที่มันไม่เข้าข่าย ม.190
แต่ศาลรัฐธรรมนูญว่าเข้าข่าย รัฐบาลก็เสร็จเอาง่าย ๆ
เรื่องพลังงานในอ่าวไทย ที่ไทยกับเขมรยังตกลงกันไม่ได้นั้น ที่ ปชป.และพวก พยายามใส่ร้ายนั้น
มันแค่เรื่องสัมปทานครับ
ไม่ว่าเขมรหรือไทย หากจะเอาพลังงานในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ก็ต้องให้สัมปทานเอกชน
ซึ่งตอนนั้น หากนักลงทุนคนใดบริษัทไหนมีความสามารถพอก็ได้สัมปทานไป
มันห่างไกลเหลือเกินกับเรื่องมาตรา 190 ที่ไทยเราจะไปทำสัญญาใด ๆ กับเขมรเพื่อให้ทักษิณได้ประโยชน์
อย่างเรื่องยกดินแดนให้เขมรนั่นแหละครับ
ใส่ร้ายมาห้าหกปีแล้ว ผลที่เห็นก็มีอยู่เรื่องเดียว คือคนไทยไปติดคุกเขมรซะสองคน หลุดมาหนึ่งยังเหลืออีกหนึ่ง
ปชป. แอนด์เดอะแก๊งค์จึงต้องปกป้องรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างเต็มที่ครับ
เพราะมีหลายมาตราที่ซ่อนดาบไว้
สู้ทางสนามเลือกตั้งไม่ได้ ก็ต้องอาศัยศาลและองค์กรอิสระช่วย
มาตรา 190 นี่ ว่าแล้วก็เป็นปัญหาในการทำงานของฝ่ายบริหารจริง ๆ ครับ
เพราะต้องมาผ่านรัฐสภา มาผ่านความเห็นจากประชาชน ไม่ทันครับ
ตามสุภาษิตไทยที่ว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้
ไปพูดคุยกับต่างชาติ แทนที่จะได้ข้อตกลง ได้ลงนามในเรื่องที่ก่อประโยชน์ให้บ้านเมือง ก็ทำไม่ได้ ต้องรอ
หากคู่สัญญาเขาไม่รอ เขารู้ว่ากับไทยนี่ต้องเสียเวลา เขาก็ไม่อยากทำการใด ๆ ด้วยเท่าไรหรอกครับ
แต่ก่อน ไม่มีมาตรา 190 ก็ไม่เห็นบ้านเมืองเป็นอะไร
แ่ต่เพราะเผด็จการต้องการใช้รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเครื่องมือในการกุมสภาพทางอำนาจ
จึงร่างหลาย ๆ มาตราเอาไว้เพื่อใช้ควบคุมและจัดการ
มันก็เท่านั้นเอง
ทักษิณไม่ใช่ "ขี้ขำ" หรอกครับ
แต่ผมว่า อำนาจนอกระบบ และลิ่วล้ออย่าง ปชป. ส.ว.สรรหา ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ต่างหากครับ
ที่คือ "ขี้ขำ" ของบ้านเมือง
ภาษาเหนือนั้น
เมาค้างเขาบอกว่า "ขำเหล้า"
ผมอยู่เหนือนาน ตอนนี้ชักจะ "ขำหล่อ" หล่อวันหล่อคืนไปทุกที
นอนดีกั่วคับ