จากหนังสือชื่อ พุทธปรัชญาเถรวาท : อ.วศิน อินทสระ
เรื่องนี้นักปราชญ์หลายฝ่ายยังถกเถียงกันอยู่ บางกลุ่มเห็นว่าปฏิจจสมุปบาททั้ง ๑๒ ช่วงสำเร็จได้ มีได้ในชาติเดียวไม่จำเป็นต้องอธิบายข้ามภพข้ามชาติ
--->
คำว่า ชาติ = ความเกิด ไม่ได้หมายถึงความเกิดจากท้องแม่ แต่หมายถึงความเกิดขึ้นของกิเลส หรือ อหังการ มมังการ (ความสำคัญมั่นหมายว่า “เรา” ว่า “ของเรา”) ด้วยอำนาจตัณหา อุปาทานนั่นเอง ส่วนชรามรณะนั้นหมายเอาความรู้สึกว่าตัวตนถูกคุกคามด้วยความสูญสิ้นสลาย หรือความต้องพลัดพรากจากภาวะชีวิต อันเป็นที่ปรารถนาที่ต้องการ
โดยนัยนี้ วงจรของปฏิจจสมุปบาทในการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ จึงเป็นเรื่องของชีวิตในปัจจุบันนี้เอง ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวถึงชาติก่อนและชาติหน้า
กลุ่มที่มีความเห็นอย่างนี้ ก็มีหลักฐานอ้างอิงจากพระไตรปิฎกอยู่พอสมควรเหมือนกัน เช่นจาก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ม.ม. ๑๓/๓๕๔ ข้อ ๓๗๑) , สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค (๑๘/๔๐๓ ข้อ ๖๒๗) เป็นต้น ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทให้เห็นในชีวิตปัจจุบัน
--->
ส่วนกลุ่มที่แบ่งปฏิจจสมุปบาทเป็น ๓ ชาติ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น แบ่ง อวิชชา และสังขาร เป็นส่วนอดีตชาติ และชรามรณะ เป็นส่วนของชาติหน้า นอกจากนั้นอีก ๘ ช่วง เป็นส่วนปัจจุบันชาติ
กลุ่มหลังนี้มีข้ออ้างอิงทางตำราเหมือนกันเพราะถือว่าถ้าเรายอมรับเรื่องสังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ชาติ คือความเกิด ก็ควรจะหมายถึงความเกิดจากครรภ์มารดา หรือความเกิดแบบใดแบบหนึ่งใน ๔ แบบ (กำเนิด ๔)
อนึ่ง ในนิทเทสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเองก็อธิบาย ชาติ = ความเกิดว่า การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ (ขนฺธานํ ปาตุภาโว) การกลับได้ซึ่งอายตนะ (อายตนานํ ปฏิลาโภ) ส่วนชราก็อธิบายในแนวความคร่ำคร่าทรุดโทรมของขันธ์ มรณะก็อธิบายไปในทางความแตกทำลายแห่งขันธ์ การต้องทอดทิ้งร่างกาย และความขาดชีวิตินทรีย์ เป็นต้น (ขนฺธานํ เภโท กเฬวรสฺส นิกฺเขโป ชีวิตินฺทริยสฺส อุปจฺเฉโท)
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธพจน์หลายแห่งที่แสดงว่า เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดหรือไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี้เอง สัตว์ทั้งหลายจึงยุ่งเหยิง เหมือนกลุ่มเส้นด้ายที่ยุ่งขอดกันเป็นปม และจะไม่สามารถล่วงพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏ(การเวียนว่ายตายเกิด)
(ดู ที. มหา. ๑๐/๖๕ ข้อ ๕๗ , สํ.นิ. ๑๖/๑๐๐-๑ ข้อ๒๒๔-๕)
หนังสือพระพุทธศาสนาที่ชาวต่างประเทศเขียนที่แบ่ง ปฏิจจสมุปบาทเป็น ๓ ชาติก็มี เช่นหนังสือเรื่อง A critical survey of Indian philosophy หน้า ๗๔ ของท่าน Chandradhar Sharma ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายในหมู่นักศึกษาปรัชญา
สำหรับผู้เขียน
(วศิน อินทสระ)มีความเห็นแบบประนีประนอม คือ เห็นว่าปฏิจจสมุปบาทนั้น จะอธิบายในช่วงสั้นหรือช่วงยาวก็ได้ จะอธิบายวงจรของปฏิจจสมุปบาททั้งหมดโดยขณะจิตเดียว (ตามแนวพระอภิธรรม) ก็ได้ จะอธิบายปฏิจจสมุปบาทในชาติเดียว ไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติก็ได้ และจะอธิบายในช่วงยาวติดต่อกันหลายร้อยชาติก็ได้เช่นกัน เพราะกิเลสอันก่อให้เกิดกรรมและวิบาก เช่น อวิชชา ตัณหา อุปาทานนั้น ย่อมอธิบายให้เห็นได้ทั้งในขณะจิตเดียว ชาติเดียว และติดต่อกันหลายร้อยชาติก็ได้
ทำนองเดียวกับหลักกรรมจะอธิบายในสายสั้นเพียงชาติเดียว หรือสายยาวหลายๆ ชาติก็ได้ เพราะความต่อเนื่องกันแห่งกรรมเก่ากับกรรมใหม่ย่อมมีอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ ในตำราปรัชญาฝ่ายตะวันออกเมื่อกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าก็มักกล่าวว่า
ปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้ามองจากทรรศนะสัมพันธภาพ(Relativity) ก็เป็นสังสารวัฏ แต่ถ้ามองจากทรรศนะสัจจภาพ (Reality) ก็เป็นนิพพาน หมายความว่ามันเป็นความจริงอันเดียวกันที่มี ๒ ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นสังสารวัฏ (สมุทัยวาร) อีกด้านหนึ่งเป็นนิพพาน (นิโรธวาร)
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด (ทุกข์) เป็นสังสารวัฏ ส่วนปฏิจจสมุปบาทสายดับ(ทุกข์) เป็นนิพพาน
กล่าวอีกทีหนึ่ง มีความจริงหรือสิ่งที่เป็นจริงอยู่ ๒ แบบ หรือ ๒ ด้าน คือ ความจริงแบบสัมพัทธ์ (Relative Truth) กับความจริงแบบสมบูรณ์ สัมบูรณภาพ (Absolute Truth)
เมื่อมองในแง่ความจริงแบบสมบูรณ์ ปฏิจจสมุปบาทเป็นนิพพาน สายนิโรธวารเป็นนิพพาน
พูดย้ำอีกทีหนึ่งว่า สายสมุทัยวารเป็นสังสารวัฏ สายนิโรธวารเป็นนิพพาน
ในทำนองเดียวกันนี้ อริยสัจ ๒ สาย คือสายเกิดทุกข์ (ทุกข์ , สมุทัย) เป็นสังสารวัฏ สายดับทุกข์ (นิโรธ) ซึ่งมีมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางดำเนินเป็นนิพพาน
รวมความว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นสัมพันธภาพ เป็นเหตุเป็นผลหรือเป็นเหตุต่อเนื่องกัน อาศัยเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน และมันก็เป็นสมบูรณภาพ (Absolute) ด้วยเหมือนกัน
ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน มีเหตุปัจจัยอาศัยซึ่งกันและกัน ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความเกิดความตาย มันจึงไม่เที่ยงแท้ถาวร มันไม่ใช่มีอยู่จริงอย่างเด็ดขาด และไม่ใช่ไม่จริงอย่างเด็ดขาด ดังนั้นปรากฏการณ์ต่างๆ จึงแขวนอยู่ท่ามกลาง ระหว่างความมีอยู่จริงอย่างเด็ดขาด กับความไม่มีอะไรเลย (Nothingness)
แต่ยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดก็ย่อมเกิด เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ดับก็ย่อมดับ หลักปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้า จึงเข้ากลางระหว่างทิฐิทั้งสอง คือ อัตถิตา = ความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่และมีอยู่อย่างถาวร (Eternalism) และ นัตถิตา = ความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอยู่จริง (Nihilism)
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ฝ่ายแรกเป็นสัสสตวาทะ ฝ่ายหลังเป็นอุจเฉทวาทะ
ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมัชฌิมาปฏิปทา
เพื่อให้เรื่องดังกล่าวมาข้างบนนี้แจ่มแจ้ง เห็นควรอ้างพระสูตรบางสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ มัชเฌนธรรมเทศนา คือเข้ากลางระหว่างทิฐิเอียงสุดไปข้างใดข้างหนึ่ง
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ” พระกัจจานะทูลถาม
“ที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ” นั้น อย่างไร
เรียกว่า สัมมาทิฐิ ?”
“กัจจานะ” พระศาสดาตรัสตอบ
“ชาวโลกส่วนมากอาศัยภาวะ ๒ อย่าง แสดง
ทิฐิของตน คือ อัตถิตา (ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวง
มีอยู่จริง) และ นัตถิตา (ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวง
ไม่มีอยู่จริง)
ดูก่อนกัจจานะ เมื่อเห็นโลกสมุทัยด้วยปัญญา
ชอบตามความเป็นจริง นัตถิตาในโลกก็ไม่มี
เมื่อเห็นโลกนิโรธด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริง
อัตถิตาก็ไม่มี
ดูก่อนกัจจานะ ชาวโลกส่วนใหญ่มากไปด้วย
ความยึดมั่นถือมั่นในอุบาย(systems) และถูก
คล้องไว้ด้วยหลักการ(อภินิเวส – dogmas)
ส่วนอริยสาวกย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุบาย
ความปักใจ (อฐิฏฺฐานํ) หลักการ (อภินิเวส)
และอนุสัยว่า “ตัวตนของเรา” ย่อมไม่เคลือบ
แคลงสงสัยในเรื่อง ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นย่อมดับไป” อริยสาวกย่อมมีญาณ
ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น เพียงเท่านี้แหละ
กัจจานะชื่อว่า สัมมาทิฐิ”
“ดูก่อนกัจจานะ ความยึดมั่นว่า “สิ่งทั้งปวงมีอยู่”
เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ความยึดมั่นว่า “สิ่งทั้งปวง
ไม่มีอยู่ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง” ตถาคตแสดงธรรม
เป็นท่านกลาง ไม่เข้าไปอิงอาศัยส่วนสุดทั้งสอง
นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี...เพราะ
อวิชชาดับสังขารจึงดับ...”
(สํ. นิ. ๑๖/๒๐ ข้อ ๔๒-๔๔)
พราหมณ์โลกายัต(โลกายติโก = เรื่องอันเกี่ยวกับ
โลก ความยึดมั่นเกี่ยวกับโลก) คนหนึ่งเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคทูลถามว่า “สิ่งทั้งปวงมีอยู่หรือ ?”
ตรัสตอบว่า “ความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่เป็นโลกายัต
ใหญ่ที่สุด”
ถาม : สิ่งทั้งปวงไม่มีหรือ ?
ตอบ : ความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี เป็นโลกายัตที่สอง
ถาม : สิ่งทั้งปวงเป็นภาวะหนึ่งเดียว (เอกัตตะ) หรือ ?
ตอบ : นั่นเป็นโลกายัตที่สาม
ถาม : สิ่งทั้งปวงเป็นภาวะหลายหลาก (ปุถุตตะ) หรือ ?
ตอบ : นั่นเป็นโลกายัตที่สี่
“ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตไม่เข้าไปข้องแวะกับความเห็น
เอียงสุดทั้งสองนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตถาคตย่อม
แสดงธรรมเป็นกลางๆ ว่า “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
สังขารจึงมี...เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ...ฯลฯ”
(สํ. นิ. ๑๖/๙๒ ข้อ ๑๗๖)
---> โดยทำนองเดียวกันนี้ เมื่อมีผู้ทูลถามว่า ความทุกข์ตนทำให้เกิดขึ้นเองหรือคนอื่นทำให้ หรือทั้งตนเองทำและคนอื่นทำให้ ทรงปฏิเสธความเห็นเช่นนั้น
เมื่อผู้ถามทูลถามว่า ความทุกข์ไม่มีหรือ ? พระโคดมไม่รู้ไม่เห็นทุกข์หรือ ? ก็ทรงปฏิเสธความคิดเห็นเช่นนั้นแล้วทรงแสดง ปฏิจจสมุปบาท ทั้งสายเกิดและสายดับทุกข์
(สํ. นิ. ๑๖/๒๓-๒๔ ข้อ ๔๙-๕๐)
--->
รวมความว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ มัชเฌนธรรมเทศนา ไม่ข้องแวะด้วยอันตคาหิกทิฐิใดๆ
ปฏิจจสมุปบาท จะอธิบายชาติเดียว...หรือ ๓ ชาติ...?
จากหนังสือชื่อ พุทธปรัชญาเถรวาท : อ.วศิน อินทสระ
เรื่องนี้นักปราชญ์หลายฝ่ายยังถกเถียงกันอยู่ บางกลุ่มเห็นว่าปฏิจจสมุปบาททั้ง ๑๒ ช่วงสำเร็จได้ มีได้ในชาติเดียวไม่จำเป็นต้องอธิบายข้ามภพข้ามชาติ
---> คำว่า ชาติ = ความเกิด ไม่ได้หมายถึงความเกิดจากท้องแม่ แต่หมายถึงความเกิดขึ้นของกิเลส หรือ อหังการ มมังการ (ความสำคัญมั่นหมายว่า “เรา” ว่า “ของเรา”) ด้วยอำนาจตัณหา อุปาทานนั่นเอง ส่วนชรามรณะนั้นหมายเอาความรู้สึกว่าตัวตนถูกคุกคามด้วยความสูญสิ้นสลาย หรือความต้องพลัดพรากจากภาวะชีวิต อันเป็นที่ปรารถนาที่ต้องการ
โดยนัยนี้ วงจรของปฏิจจสมุปบาทในการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ จึงเป็นเรื่องของชีวิตในปัจจุบันนี้เอง ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวถึงชาติก่อนและชาติหน้า
กลุ่มที่มีความเห็นอย่างนี้ ก็มีหลักฐานอ้างอิงจากพระไตรปิฎกอยู่พอสมควรเหมือนกัน เช่นจาก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ม.ม. ๑๓/๓๕๔ ข้อ ๓๗๑) , สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค (๑๘/๔๐๓ ข้อ ๖๒๗) เป็นต้น ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทให้เห็นในชีวิตปัจจุบัน
---> ส่วนกลุ่มที่แบ่งปฏิจจสมุปบาทเป็น ๓ ชาติ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น แบ่ง อวิชชา และสังขาร เป็นส่วนอดีตชาติ และชรามรณะ เป็นส่วนของชาติหน้า นอกจากนั้นอีก ๘ ช่วง เป็นส่วนปัจจุบันชาติ
กลุ่มหลังนี้มีข้ออ้างอิงทางตำราเหมือนกันเพราะถือว่าถ้าเรายอมรับเรื่องสังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ชาติ คือความเกิด ก็ควรจะหมายถึงความเกิดจากครรภ์มารดา หรือความเกิดแบบใดแบบหนึ่งใน ๔ แบบ (กำเนิด ๔)
อนึ่ง ในนิทเทสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเองก็อธิบาย ชาติ = ความเกิดว่า การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ (ขนฺธานํ ปาตุภาโว) การกลับได้ซึ่งอายตนะ (อายตนานํ ปฏิลาโภ) ส่วนชราก็อธิบายในแนวความคร่ำคร่าทรุดโทรมของขันธ์ มรณะก็อธิบายไปในทางความแตกทำลายแห่งขันธ์ การต้องทอดทิ้งร่างกาย และความขาดชีวิตินทรีย์ เป็นต้น (ขนฺธานํ เภโท กเฬวรสฺส นิกฺเขโป ชีวิตินฺทริยสฺส อุปจฺเฉโท)
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธพจน์หลายแห่งที่แสดงว่า เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดหรือไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี้เอง สัตว์ทั้งหลายจึงยุ่งเหยิง เหมือนกลุ่มเส้นด้ายที่ยุ่งขอดกันเป็นปม และจะไม่สามารถล่วงพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏ(การเวียนว่ายตายเกิด)
(ดู ที. มหา. ๑๐/๖๕ ข้อ ๕๗ , สํ.นิ. ๑๖/๑๐๐-๑ ข้อ๒๒๔-๕)
หนังสือพระพุทธศาสนาที่ชาวต่างประเทศเขียนที่แบ่ง ปฏิจจสมุปบาทเป็น ๓ ชาติก็มี เช่นหนังสือเรื่อง A critical survey of Indian philosophy หน้า ๗๔ ของท่าน Chandradhar Sharma ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายในหมู่นักศึกษาปรัชญา
สำหรับผู้เขียน(วศิน อินทสระ)มีความเห็นแบบประนีประนอม คือ เห็นว่าปฏิจจสมุปบาทนั้น จะอธิบายในช่วงสั้นหรือช่วงยาวก็ได้ จะอธิบายวงจรของปฏิจจสมุปบาททั้งหมดโดยขณะจิตเดียว (ตามแนวพระอภิธรรม) ก็ได้ จะอธิบายปฏิจจสมุปบาทในชาติเดียว ไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติก็ได้ และจะอธิบายในช่วงยาวติดต่อกันหลายร้อยชาติก็ได้เช่นกัน เพราะกิเลสอันก่อให้เกิดกรรมและวิบาก เช่น อวิชชา ตัณหา อุปาทานนั้น ย่อมอธิบายให้เห็นได้ทั้งในขณะจิตเดียว ชาติเดียว และติดต่อกันหลายร้อยชาติก็ได้
ทำนองเดียวกับหลักกรรมจะอธิบายในสายสั้นเพียงชาติเดียว หรือสายยาวหลายๆ ชาติก็ได้ เพราะความต่อเนื่องกันแห่งกรรมเก่ากับกรรมใหม่ย่อมมีอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ ในตำราปรัชญาฝ่ายตะวันออกเมื่อกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าก็มักกล่าวว่า
ปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้ามองจากทรรศนะสัมพันธภาพ(Relativity) ก็เป็นสังสารวัฏ แต่ถ้ามองจากทรรศนะสัจจภาพ (Reality) ก็เป็นนิพพาน หมายความว่ามันเป็นความจริงอันเดียวกันที่มี ๒ ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นสังสารวัฏ (สมุทัยวาร) อีกด้านหนึ่งเป็นนิพพาน (นิโรธวาร)
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด (ทุกข์) เป็นสังสารวัฏ ส่วนปฏิจจสมุปบาทสายดับ(ทุกข์) เป็นนิพพาน
กล่าวอีกทีหนึ่ง มีความจริงหรือสิ่งที่เป็นจริงอยู่ ๒ แบบ หรือ ๒ ด้าน คือ ความจริงแบบสัมพัทธ์ (Relative Truth) กับความจริงแบบสมบูรณ์ สัมบูรณภาพ (Absolute Truth)
เมื่อมองในแง่ความจริงแบบสมบูรณ์ ปฏิจจสมุปบาทเป็นนิพพาน สายนิโรธวารเป็นนิพพาน
พูดย้ำอีกทีหนึ่งว่า สายสมุทัยวารเป็นสังสารวัฏ สายนิโรธวารเป็นนิพพาน
ในทำนองเดียวกันนี้ อริยสัจ ๒ สาย คือสายเกิดทุกข์ (ทุกข์ , สมุทัย) เป็นสังสารวัฏ สายดับทุกข์ (นิโรธ) ซึ่งมีมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางดำเนินเป็นนิพพาน
รวมความว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นสัมพันธภาพ เป็นเหตุเป็นผลหรือเป็นเหตุต่อเนื่องกัน อาศัยเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน และมันก็เป็นสมบูรณภาพ (Absolute) ด้วยเหมือนกัน
ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน มีเหตุปัจจัยอาศัยซึ่งกันและกัน ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความเกิดความตาย มันจึงไม่เที่ยงแท้ถาวร มันไม่ใช่มีอยู่จริงอย่างเด็ดขาด และไม่ใช่ไม่จริงอย่างเด็ดขาด ดังนั้นปรากฏการณ์ต่างๆ จึงแขวนอยู่ท่ามกลาง ระหว่างความมีอยู่จริงอย่างเด็ดขาด กับความไม่มีอะไรเลย (Nothingness)
แต่ยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดก็ย่อมเกิด เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ดับก็ย่อมดับ หลักปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้า จึงเข้ากลางระหว่างทิฐิทั้งสอง คือ อัตถิตา = ความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่และมีอยู่อย่างถาวร (Eternalism) และ นัตถิตา = ความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอยู่จริง (Nihilism)
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ฝ่ายแรกเป็นสัสสตวาทะ ฝ่ายหลังเป็นอุจเฉทวาทะ
ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมัชฌิมาปฏิปทา
เพื่อให้เรื่องดังกล่าวมาข้างบนนี้แจ่มแจ้ง เห็นควรอ้างพระสูตรบางสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ มัชเฌนธรรมเทศนา คือเข้ากลางระหว่างทิฐิเอียงสุดไปข้างใดข้างหนึ่ง
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ” พระกัจจานะทูลถาม
“ที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ” นั้น อย่างไร
เรียกว่า สัมมาทิฐิ ?”
“กัจจานะ” พระศาสดาตรัสตอบ
“ชาวโลกส่วนมากอาศัยภาวะ ๒ อย่าง แสดง
ทิฐิของตน คือ อัตถิตา (ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวง
มีอยู่จริง) และ นัตถิตา (ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวง
ไม่มีอยู่จริง)
ดูก่อนกัจจานะ เมื่อเห็นโลกสมุทัยด้วยปัญญา
ชอบตามความเป็นจริง นัตถิตาในโลกก็ไม่มี
เมื่อเห็นโลกนิโรธด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริง
อัตถิตาก็ไม่มี
ดูก่อนกัจจานะ ชาวโลกส่วนใหญ่มากไปด้วย
ความยึดมั่นถือมั่นในอุบาย(systems) และถูก
คล้องไว้ด้วยหลักการ(อภินิเวส – dogmas)
ส่วนอริยสาวกย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุบาย
ความปักใจ (อฐิฏฺฐานํ) หลักการ (อภินิเวส)
และอนุสัยว่า “ตัวตนของเรา” ย่อมไม่เคลือบ
แคลงสงสัยในเรื่อง ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นย่อมดับไป” อริยสาวกย่อมมีญาณ
ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น เพียงเท่านี้แหละ
กัจจานะชื่อว่า สัมมาทิฐิ”
“ดูก่อนกัจจานะ ความยึดมั่นว่า “สิ่งทั้งปวงมีอยู่”
เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ความยึดมั่นว่า “สิ่งทั้งปวง
ไม่มีอยู่ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง” ตถาคตแสดงธรรม
เป็นท่านกลาง ไม่เข้าไปอิงอาศัยส่วนสุดทั้งสอง
นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี...เพราะ
อวิชชาดับสังขารจึงดับ...”
(สํ. นิ. ๑๖/๒๐ ข้อ ๔๒-๔๔)
พราหมณ์โลกายัต(โลกายติโก = เรื่องอันเกี่ยวกับ
โลก ความยึดมั่นเกี่ยวกับโลก) คนหนึ่งเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคทูลถามว่า “สิ่งทั้งปวงมีอยู่หรือ ?”
ตรัสตอบว่า “ความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่เป็นโลกายัต
ใหญ่ที่สุด”
ถาม : สิ่งทั้งปวงไม่มีหรือ ?
ตอบ : ความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี เป็นโลกายัตที่สอง
ถาม : สิ่งทั้งปวงเป็นภาวะหนึ่งเดียว (เอกัตตะ) หรือ ?
ตอบ : นั่นเป็นโลกายัตที่สาม
ถาม : สิ่งทั้งปวงเป็นภาวะหลายหลาก (ปุถุตตะ) หรือ ?
ตอบ : นั่นเป็นโลกายัตที่สี่
“ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตไม่เข้าไปข้องแวะกับความเห็น
เอียงสุดทั้งสองนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตถาคตย่อม
แสดงธรรมเป็นกลางๆ ว่า “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
สังขารจึงมี...เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ...ฯลฯ”
(สํ. นิ. ๑๖/๙๒ ข้อ ๑๗๖)
---> โดยทำนองเดียวกันนี้ เมื่อมีผู้ทูลถามว่า ความทุกข์ตนทำให้เกิดขึ้นเองหรือคนอื่นทำให้ หรือทั้งตนเองทำและคนอื่นทำให้ ทรงปฏิเสธความเห็นเช่นนั้น
เมื่อผู้ถามทูลถามว่า ความทุกข์ไม่มีหรือ ? พระโคดมไม่รู้ไม่เห็นทุกข์หรือ ? ก็ทรงปฏิเสธความคิดเห็นเช่นนั้นแล้วทรงแสดง ปฏิจจสมุปบาท ทั้งสายเกิดและสายดับทุกข์
(สํ. นิ. ๑๖/๒๓-๒๔ ข้อ ๔๙-๕๐)
---> รวมความว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ มัชเฌนธรรมเทศนา ไม่ข้องแวะด้วยอันตคาหิกทิฐิใดๆ