กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพราะอยากเล่าสู่กันฟัง รวมทั้งให้กำลังใจผู้ป่วย รวมทั้งญาติของผู้ป่วยทุกโรคให้มีกำลังสู้กับมันไป ส่วนคนที่ไม่ได้ป่วยหรือไม่มีญาติป่าวย ก็ขอให้รู้ว่ามีคนที่ยังลำบากกว่า ฉะนั้นถ้าเจออุปสรรคอะไรก็ขอให้สู้ต่อไปค่ะ
แบ่งเป็นตอนๆ ค่ะ เพราะเรื่องมันยาาาาาว เดี๋ยวจะเอาตอนต่อๆไปทยอยลงค่ะ
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/31104084
ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย)
http://ppantip.com/topic/31105647
เริ่มกันเลย
ก่อนหน้านี้ เรามีชีวิตที่ใครหลายคนอาจอิจฉา ครอบครัวอบอุ่น มีพ่อแม่ เรา และน้องชาย ทั้งพ่อและแม่มีงานทำในบริษัทที่มั่นคง เราเพิ่งจบในสถาบันที่มีชื่อเสียง ด้วยเกรดเฉลี่ยค่อนข้างดี ได้รับการตอบรับให้เข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติและมีชื่อเสียง และเพิ่งได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งจริงจังเป็นครั้งแรก
เรื่องนี้เริ่มต้นที่ห้าเดือนก่อน...
พ่อโทรมาหาตอนเย็นเหมือนปกติ (ตอนนั้นยังใช้ line กันไม่เป็น 555) พอดีว่าบ้านค่อนข้างไกลจากที่ทำงาน เราเลยเลือกเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงานอยู่) พ่อบอกว่าถ่ายไม่ออกมาสองสามวันแล้ว ทั้งปกติพ่อเราถ่ายคล่องมากค่ะ เช้าออกเย็นออก แต่คงไม่มีอะไร แล้วบอกให้เราดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ป่วย อย่าเครียด (พ่อเราน่ารักค่ะโทรมาบอกอย่างนี้ทุกวัน)
จากนั้นเป็นคำบอกเล่าของแม่ค่ะ แม่บอกว่าในเช้าวันเกิดเรื่อง พ่อลงมานอนข้างๆแม่ (แต่ก่อนแม่เราปูฟูกนอนพื้น พ่อนอนบนเตียง) พ่อหายใจเหม็นมาก เหมือนมีกลิ่นอุจจาระลอยขึ้นมา แล้วพ่อก็บอกว่า เธอลาแล้วพาฉันไปหาหมอหน่อยนะ จะไปให้หมอสวนเอาอุจจาระออก แม่เลยพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำของพ่อ พ่อมีไปตรวจที่นี่และมีประวัติอยู่แล้ว
พ่อเราเป็นคนหมั่นออกกำลังกาย เราหายจากภูมิแพ้เพราะพ่อพาไปออกกำลังกายประจำ ไม่มีใครเคยคิดว่าพ่อจะเป็นอะไรร้ายแรงในขณะอายุเท่านี้ เพราะพ่อเราเพิ่ง 50 ต้นๆ และแข็งแรงมาก
หมอพาพ่อไปเอกซเรย์ เจออุจจาระอัดแน่นอยู่ในลำไส้เล็กไล่ไปติดอยู่ที่กลางลำไส้ใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งงอกขวางไว้ หมอบอกสวนตอนนี้ไม่ได้ เพราะลำไส้จะต้องแตกแน่นอน ต้องผ่าตัดออกสถานเดียว
แม่เราเป็นลมไปรอบหนึ่งตอนเห็นฟิลม์เอกซเรย์ แล้วโทรบอกเราเสียงสั่นมากให้มาด่วน เรื่องใหญ่ เราหอบงานมาทำที่โรงพยาบาล ในช่วงที่แม่ไปเอาเสื้อผ้าเพื่อมานอนเป็นเพื่อนพ่อ เราได้มีโอกาสคุยกับพ่อก่อนผ่าตัดสองคน พ่อบอกโอเค แต่แอบกลัวนิดหน่อย เอาเถอะ ผ่าเป็นผ่า (ลักษณะการถ่ายทอดของแม่กับพ่อจะต่างกันค่ะ แม่จะอ่อนไหวเรื่องแบบนี้ พูดกับเราตรงๆว่ากลัว ส่วนพ่อก็กลัวมาก แต่จะพูดให้เราสบายใจ เหมือนไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล ความรู้สึกของพ่อที่เราจะถ่ายทอดส่วนใหญ่คือพ่อจะบอกผ่านแม่แล้วแม่มาเล่าให้เราฟังค่ะ)
หมอบอกจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ที่บอกจะอยู่ในห้องผ่าตัด เรื่องเนื้องอก มีโอกาสที่จะเป็นแค่เนื้องอกหรืออาจจะเป็นมะเร็ง ทั้งนี้ต้องเอาชิ้นเนื้อไปตรวจให้แน่ชัด พยาบาลเอาเอกสารยินยอมรวมค่าใช้จ่าย (เกือนแสนบาท แค่ค่าผ่าตัดอย่างเดียว ตาลุกกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยทีเดียวค่ะ 555) มาให้พ่อเซ็นต์ หมออธิบายว่าจะต้องตัดลำไส้ใหญ่ออกส่วนหนึ่ง(ประมาณ 8 เซนต์) ต้องยกไส้ขึ้นมาถ่ายที่ท้องประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี (พ่อกลืนน้ำลายดังเอื้อก) แล้วจึงต่อกลับเข้าไปถ่ายที่ทวารเหมือนเดิมได้
พ่อเข้าห้องผ่าตัดไป แม่ลงไปเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดพร้อมกับเพื่อนของแม่และเพื่อนตรงข้ามบ้านที่มากันทั้งครอบครัว ส่วนเรา แฟนของเรา(ที่ตามมาสมทบ) กับน้องชายนั่งเฝ้าของมีค่าอยู่ในห้องพักคนไข้
ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ทรมานของแม่และเราที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ความรู้สึกกลัวแผ่กระจายเต็มหัวไปหมด เราหมั่นโทรหาแม่ว่าพ่อออกมาหรือยัง
2 ชั่วโมงผ่านไป...
3 ชั่วโมงผ่านไป...
4 ชั่วโมงผ่านไป...
เกือบ 5 ชั่วโมง แม่เราเริ่มทนไม่ไหว ไปกดกริ่งเรียกหมอในห้องผ่าตัด แม่เข้าไปคุยกับหมออยู่ครู่แล้วเป็นลม ดีว่ามีเพื่อนไปด้วยสองคนเลยจับไว้ทันหัวไม่ฟาดพื้น แม่ถูกส่งลงไปที่ห้องฉุกเฉิก เพื่อนของแม่(ต่อไปนี้จะเรียกน่าจิ๋ว นามสมมติ)โทรเรียกเราลงไปดูแม่ ตอนนั้นแม่จับมือเรา หลับตาน้ำตาไหล แล้วพูดว่าพ่อแย่แล้ว เราพยายามตั้งสติ เพราะแม่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ บางทีจึงต้องลดทอนความร้ายแรงบ้าง แต่คำพูดที่ออกมาจากปากแม่ตอนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงยืนอึ้งค้างไปช่วงหนึ่ง
แม่บอก หมอผ่าเข้าไปแล้วเจอก้อนเนื้อมะเร็งหลายจุดในช่องท้อง ผ่าออกไปแล้ว 3 จุด ยังเหลือจุดใหญ่ๆตรงกระดูกเชิงกรานที่เอาออกไม่ได้ เพราะติดกระเพาะปัสสาวะ คาดว่ามันจะโตขึ้นเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้ฉี่ติดขัดและฉี่ออกมาเป็นเลือดได้ในอนาคต
ตอนนั้นพูดตรงๆว่าร้องไม่ออก แบบมันค้าง เลยจับมือแม่ไว้บอกว่า เราจะผ่านมันไป แล้วเดินลอยๆไปประจำที่ห้องพัก ส่วนแม่พอค่อยยังชั่วก็ไปเฝ้าพ่อหน้าห้องเหมือนเดิม
เกือบ 6 ชั่วโมงพอดี พ่อออกมาจากห้องผ่าตัด หน้าซีดมาก เราไม่เคยเห็นพ่ออ่อนแรงขนาดนั้น สะเทือนใจมาก พ่อร้องหาแม่ แล้วบอกเราว่าให้โทรไปบอกเจ้านายว่าพรุ่งนี้ออกต่างจังหวัดไม่ได้ (พ่อเราอยู่ฝ่ายขายค่ะ ต้องออกไปพบลูกค้าต่างจังหวัดบ่อยๆ) เราโทรไป พ่อพยายามแย่งคุย (แบบคุยจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว) ตอนนั้นเที่ยงคืนกว่า แม่เลยบอกให้เรากลับอพาร์เมนท์ไป
ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับกับแฟน ความจริงมันเริ่มไหลเข้ามา พ่อของเรา คนที่เรานับถือ คนที่คอยเป็นห่วงเรา ขนาดตัวเองกลัวจะตายอยู่แล้วยังพยายามพูดให้เราไม่เป็นกังวล โลกเหมือนถล่มค่ะ เราน้ำตาไหลพรากแบบหยุดไม่ได้เลยค่ะ แฟนก็เหมือนจะเข้าใจก็จับมือให้กำลังใจ (เพราะเพิ่งคบกันไม่กี่เดือน ก่อนหน้านี้เราไม่ได้แสดงอารมณ์มากนัก โดยเฉพาะร้องไห้ แทบไม่เคยเลย) พอกลับมาถึงหออาบน้ำเสร็จ แทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ค่ะ ร้องไห้โฮเลย ไม่เคยร้องขนาดนั้นมาก่อน แฟนเราต้องมานั่งปลอบจนดึกเราเกรงใจมาก (พอดีอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกันแต่คนละห้อง) แต่ก็ทำให้ผ่านช่วงอารมณ์ตอนนั้นได้ดีขึ้น
เมื่อพ่อฉันเป็นมะเร็ง ตอนที่ 1
แบ่งเป็นตอนๆ ค่ะ เพราะเรื่องมันยาาาาาว เดี๋ยวจะเอาตอนต่อๆไปทยอยลงค่ะ
ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/31104084
ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย) http://ppantip.com/topic/31105647
เริ่มกันเลย
ก่อนหน้านี้ เรามีชีวิตที่ใครหลายคนอาจอิจฉา ครอบครัวอบอุ่น มีพ่อแม่ เรา และน้องชาย ทั้งพ่อและแม่มีงานทำในบริษัทที่มั่นคง เราเพิ่งจบในสถาบันที่มีชื่อเสียง ด้วยเกรดเฉลี่ยค่อนข้างดี ได้รับการตอบรับให้เข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติและมีชื่อเสียง และเพิ่งได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งจริงจังเป็นครั้งแรก
เรื่องนี้เริ่มต้นที่ห้าเดือนก่อน...
พ่อโทรมาหาตอนเย็นเหมือนปกติ (ตอนนั้นยังใช้ line กันไม่เป็น 555) พอดีว่าบ้านค่อนข้างไกลจากที่ทำงาน เราเลยเลือกเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงานอยู่) พ่อบอกว่าถ่ายไม่ออกมาสองสามวันแล้ว ทั้งปกติพ่อเราถ่ายคล่องมากค่ะ เช้าออกเย็นออก แต่คงไม่มีอะไร แล้วบอกให้เราดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ป่วย อย่าเครียด (พ่อเราน่ารักค่ะโทรมาบอกอย่างนี้ทุกวัน)
จากนั้นเป็นคำบอกเล่าของแม่ค่ะ แม่บอกว่าในเช้าวันเกิดเรื่อง พ่อลงมานอนข้างๆแม่ (แต่ก่อนแม่เราปูฟูกนอนพื้น พ่อนอนบนเตียง) พ่อหายใจเหม็นมาก เหมือนมีกลิ่นอุจจาระลอยขึ้นมา แล้วพ่อก็บอกว่า เธอลาแล้วพาฉันไปหาหมอหน่อยนะ จะไปให้หมอสวนเอาอุจจาระออก แม่เลยพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำของพ่อ พ่อมีไปตรวจที่นี่และมีประวัติอยู่แล้ว
พ่อเราเป็นคนหมั่นออกกำลังกาย เราหายจากภูมิแพ้เพราะพ่อพาไปออกกำลังกายประจำ ไม่มีใครเคยคิดว่าพ่อจะเป็นอะไรร้ายแรงในขณะอายุเท่านี้ เพราะพ่อเราเพิ่ง 50 ต้นๆ และแข็งแรงมาก
หมอพาพ่อไปเอกซเรย์ เจออุจจาระอัดแน่นอยู่ในลำไส้เล็กไล่ไปติดอยู่ที่กลางลำไส้ใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งงอกขวางไว้ หมอบอกสวนตอนนี้ไม่ได้ เพราะลำไส้จะต้องแตกแน่นอน ต้องผ่าตัดออกสถานเดียว
แม่เราเป็นลมไปรอบหนึ่งตอนเห็นฟิลม์เอกซเรย์ แล้วโทรบอกเราเสียงสั่นมากให้มาด่วน เรื่องใหญ่ เราหอบงานมาทำที่โรงพยาบาล ในช่วงที่แม่ไปเอาเสื้อผ้าเพื่อมานอนเป็นเพื่อนพ่อ เราได้มีโอกาสคุยกับพ่อก่อนผ่าตัดสองคน พ่อบอกโอเค แต่แอบกลัวนิดหน่อย เอาเถอะ ผ่าเป็นผ่า (ลักษณะการถ่ายทอดของแม่กับพ่อจะต่างกันค่ะ แม่จะอ่อนไหวเรื่องแบบนี้ พูดกับเราตรงๆว่ากลัว ส่วนพ่อก็กลัวมาก แต่จะพูดให้เราสบายใจ เหมือนไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล ความรู้สึกของพ่อที่เราจะถ่ายทอดส่วนใหญ่คือพ่อจะบอกผ่านแม่แล้วแม่มาเล่าให้เราฟังค่ะ)
หมอบอกจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ที่บอกจะอยู่ในห้องผ่าตัด เรื่องเนื้องอก มีโอกาสที่จะเป็นแค่เนื้องอกหรืออาจจะเป็นมะเร็ง ทั้งนี้ต้องเอาชิ้นเนื้อไปตรวจให้แน่ชัด พยาบาลเอาเอกสารยินยอมรวมค่าใช้จ่าย (เกือนแสนบาท แค่ค่าผ่าตัดอย่างเดียว ตาลุกกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยทีเดียวค่ะ 555) มาให้พ่อเซ็นต์ หมออธิบายว่าจะต้องตัดลำไส้ใหญ่ออกส่วนหนึ่ง(ประมาณ 8 เซนต์) ต้องยกไส้ขึ้นมาถ่ายที่ท้องประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี (พ่อกลืนน้ำลายดังเอื้อก) แล้วจึงต่อกลับเข้าไปถ่ายที่ทวารเหมือนเดิมได้
พ่อเข้าห้องผ่าตัดไป แม่ลงไปเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดพร้อมกับเพื่อนของแม่และเพื่อนตรงข้ามบ้านที่มากันทั้งครอบครัว ส่วนเรา แฟนของเรา(ที่ตามมาสมทบ) กับน้องชายนั่งเฝ้าของมีค่าอยู่ในห้องพักคนไข้
ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ทรมานของแม่และเราที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ความรู้สึกกลัวแผ่กระจายเต็มหัวไปหมด เราหมั่นโทรหาแม่ว่าพ่อออกมาหรือยัง
2 ชั่วโมงผ่านไป...
3 ชั่วโมงผ่านไป...
4 ชั่วโมงผ่านไป...
เกือบ 5 ชั่วโมง แม่เราเริ่มทนไม่ไหว ไปกดกริ่งเรียกหมอในห้องผ่าตัด แม่เข้าไปคุยกับหมออยู่ครู่แล้วเป็นลม ดีว่ามีเพื่อนไปด้วยสองคนเลยจับไว้ทันหัวไม่ฟาดพื้น แม่ถูกส่งลงไปที่ห้องฉุกเฉิก เพื่อนของแม่(ต่อไปนี้จะเรียกน่าจิ๋ว นามสมมติ)โทรเรียกเราลงไปดูแม่ ตอนนั้นแม่จับมือเรา หลับตาน้ำตาไหล แล้วพูดว่าพ่อแย่แล้ว เราพยายามตั้งสติ เพราะแม่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ บางทีจึงต้องลดทอนความร้ายแรงบ้าง แต่คำพูดที่ออกมาจากปากแม่ตอนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงยืนอึ้งค้างไปช่วงหนึ่ง
แม่บอก หมอผ่าเข้าไปแล้วเจอก้อนเนื้อมะเร็งหลายจุดในช่องท้อง ผ่าออกไปแล้ว 3 จุด ยังเหลือจุดใหญ่ๆตรงกระดูกเชิงกรานที่เอาออกไม่ได้ เพราะติดกระเพาะปัสสาวะ คาดว่ามันจะโตขึ้นเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้ฉี่ติดขัดและฉี่ออกมาเป็นเลือดได้ในอนาคต
ตอนนั้นพูดตรงๆว่าร้องไม่ออก แบบมันค้าง เลยจับมือแม่ไว้บอกว่า เราจะผ่านมันไป แล้วเดินลอยๆไปประจำที่ห้องพัก ส่วนแม่พอค่อยยังชั่วก็ไปเฝ้าพ่อหน้าห้องเหมือนเดิม
เกือบ 6 ชั่วโมงพอดี พ่อออกมาจากห้องผ่าตัด หน้าซีดมาก เราไม่เคยเห็นพ่ออ่อนแรงขนาดนั้น สะเทือนใจมาก พ่อร้องหาแม่ แล้วบอกเราว่าให้โทรไปบอกเจ้านายว่าพรุ่งนี้ออกต่างจังหวัดไม่ได้ (พ่อเราอยู่ฝ่ายขายค่ะ ต้องออกไปพบลูกค้าต่างจังหวัดบ่อยๆ) เราโทรไป พ่อพยายามแย่งคุย (แบบคุยจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว) ตอนนั้นเที่ยงคืนกว่า แม่เลยบอกให้เรากลับอพาร์เมนท์ไป
ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับกับแฟน ความจริงมันเริ่มไหลเข้ามา พ่อของเรา คนที่เรานับถือ คนที่คอยเป็นห่วงเรา ขนาดตัวเองกลัวจะตายอยู่แล้วยังพยายามพูดให้เราไม่เป็นกังวล โลกเหมือนถล่มค่ะ เราน้ำตาไหลพรากแบบหยุดไม่ได้เลยค่ะ แฟนก็เหมือนจะเข้าใจก็จับมือให้กำลังใจ (เพราะเพิ่งคบกันไม่กี่เดือน ก่อนหน้านี้เราไม่ได้แสดงอารมณ์มากนัก โดยเฉพาะร้องไห้ แทบไม่เคยเลย) พอกลับมาถึงหออาบน้ำเสร็จ แทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ค่ะ ร้องไห้โฮเลย ไม่เคยร้องขนาดนั้นมาก่อน แฟนเราต้องมานั่งปลอบจนดึกเราเกรงใจมาก (พอดีอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกันแต่คนละห้อง) แต่ก็ทำให้ผ่านช่วงอารมณ์ตอนนั้นได้ดีขึ้น