ผมมีความคิดแบบนี้ครับ..

ผมมีความคิดแบบนี้ครับ..
ตอนนี้ผมอายุ 19 ครับ ยังศึกษาอยู่
คือโดยส่วนตัวผมสนใจธรรมเองตั้งแต่ ม2
มาจริงจังๆก็ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ก็มีปฏิบัติบ้าง แต่ไม่บ่อย ไม่ถี่อะไรขนาดนั้น
เคยบวชด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่ก็ไม่ถึงพรรษา

ผมมีความเห็นว่า เรียนจบไปก็มีความทุกขอีก ทำงาน มีครอบครับ มันก็มีแต่ละช่วงวัย
ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ ผมเห็นคนรวยมากมาย สุดท้ายเค้าก็ตาย จบ.. ทุกอย่าง = 0 ไร้ค่าเลย จบ
ต้องไปเกิดไม่รู้อีกกี่กัป

เวลาผ่านไปๆ ได้ยินว่าคนโน้นตาย คนนี้ตาย มันก็ยิ่งกระตุ้นความคิดผมอีก

ผมถือคติที่ว่า ชอบสิ่งใดเราจะทำสิ่งนั้นได้ดี
ผมก็มาสังเกตุตัวเองที่ทางโลก  ว่าชอบอะไรบ้างสนใจอะไรบ้าง
แต่พอเจอปุ้บ มันจะมีความคิดนึงแทรกเข้ามา
" ยึดสิ่งของไม่เที่ยงอีกแล้ว เพลินอีกแล้ว เดี๋ยวตายก็ 0
ฐานะความเป็นที่ได้มาเป็นมนุษย์อยู่ ณ ตอนนีนั้นยากแสนยาก "

หาเงิน เงินเยอะ ซื้อของ ช็อป ผู้หญิง ดูหนัง เล่นเกม เที่ยว ใช้เงิน แล้วไง ? ก็เท่านั้น ทุกๆอย่างเลย
ผมเห็นว่ามันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันอามิส มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย
ความตายก็เข้ามาเรื่อยๆ ใช้ชีวิตประมาทอยู่ตลอด

บวกกับพระสูตรที่กล่าวประมาณไว้ว่า " ฆราวาสเป็นทางคับแคบ อะไรสักอย่าง
การประพฤติพรมจรรย์ให้ดีเหมือน สังข์ที่ขัดไว้ ( อะไสักอย่าง )ให้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย
จงสละเรือน ปลงผม.. "
ประมาณนี้


ซึ่งตัวผมเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งอะไร แต่ผมกลัว กลัวที่จะต้องเกิดอีก

ประเด็นก็คือ ตอนนี้ ผมพยายามปรารภความเพียร ให้ปัญญาถึง ให้มีญาณเห็นตามจริง

เพราะสูตรอานาปานสติ มีกล่าวไว้ประมาณว่า
" การทำให้บ่อยซึ่งอานาปานสติเป้นไปเพื่อการสละเรือน "
จางคลาย ดับ รำงับ

ซึ่งตอนนี้แม้ผมจะชอบเล่นเกม
แต่เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ผมปล่อยวางได้เยอะขึ้น
ความต้องการน้อยลงเรื่อยๆ ผมคิดว่าถ้าผมปฏิบัติ วันละ 3 ครั้ง ทุกๆวัน มันดีแน่ ( ตามที่ตถาคตแนะนำ )
ถ้าตั้งใจไปเรื่อยๆ เราจะเบื่อพวกนี้ไปเอง
อย่างน้อย ก็โสดาบัน เอกพีชีได้ก็ยิ่งดี


ผมกำลังพยายามตรียมตัวบวชในซัมเมอรปีหน้า
อยากจะไม่ออกมาทางโลกอีก ไม่รู้จะทำได้ไหม

ในความคิดผมก็มีเท่านี้..
ขอบคุณที่รับฟังครับ

ยังไงก็ สุดท้ายก็ฝากทุกคนนะครับ

ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง (อนิจฺจ).

   ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน (อธุว).

   ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ (อนสฺสาสิก).

   ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง  พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัดพอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  ขุนเขาสิเนรุโดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์  โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์  หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์  สูงขึ้นจากผิวพื้นสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์...

   ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งล่วงไปหลายปีหลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี ที่ฝนไม่ตกเลย. เมื่อฝนไม่ตก (ตลอดเวลาเท่านี้) ป่าใหญ่ ๆ อันประกอบด้วยพืชคาม ภูตคาม ไม้ หยูกยาและหญ้าทั้งหลายย่อมเฉา ย่อมเหี่ยวแห้ง มีอยู่ไม่ได้  (นี้ฉันใด).,  ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล  อาทิตย์ดวงที่สอง ย่อมปรากฏ.  เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สองปรากฏ,  แม่น้ำน้อย หนองบึง ทั้งหมดก็งวดแห้งไป  ไม่มีอยู่ (นี้ฉันใด),  ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล  อาทิตย์ดวงที่สาม ย่อมปรากฏ.  เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สามปรากฏ,  แม่น้ำสายใหญ่ ๆ เช่น แม่น้ำคงคา  ยมุนา  อจิรวดี  สรภู  ม  ทั้งหมดก็งวดแห้งไป  ไม่มีอยู่ (นี้ฉันใด),  ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง  พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด  พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง

ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งในกาลบางคร้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล  อาทิตย์ดวงที่สี่  ย่อมปรากฏ.  เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สี่ปรากฏ.  มหาสระทั้งหลาย อันเป็นที่เกิดแห่งแม่น้ำใหญ่ ๆ เช่น แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู ม  มหาสระเหล่านั้นทั้งหมดก็งวดแห้งไป ไม่มีอยู่ (นี้ฉันใด),  ภิกษุทั้งหลาย.   สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง  พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด  พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล  อาทิตย์ดวงที่ห้า  ย่อมปรากฏ.  เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าปรากฏ.  น้ำในมหาสมุทรอันลึกร้อยโยชน์ ก็งวดลง   น้ำในมหาสมุทรอันลึก สอง-สาม-สี่-ห้า-หก-เจ็ดร้อยโยชน์ ก็งวดลง  เหลืออยู่เพียงเจ็ดชั่วต้นตาล ก็มี  เหลืออยู่เพียง หก-ห้า-สี่-สาม-สอง กระทั่งหนึ่งชั่วต้นตาล ก็มี  งวดลงเหลืออยู่เพียง เจ็ดชั่วบุรุษ ก็มี  เหลืออยู่เพียง หก-ห้า-สี่-สาม-สอง-หนึ่ง กระทั่งครึ่งตัวบุรุษ ก็มี  งวดลง เหลืออยู่เพียงแค่สะเอว เพียงแค่เข่า เพียงแค่ข้อเท้า  กระทั่งเหลืออยู่ ลึกเท่าน้ำในรอยเท้าโค  ในที่นั่น ๆ  เช่นเดียวกับน้ำในรอยเท้าโค  เมื่อฝนเม็ดใหญ่เริ่มตกในฤดูสารทลงมาในที่นั้น ๆ .

   ภิกษุทั้งหลาย.  เพราะการปรากฏแห่งอาทิตย์ดวงที่ห้า  น้ำในมหาสมุทรไม่มีอยู่แม้สักว่าองคุลีเดียว (นี้ฉันใด),  ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง  พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด  พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล  อาทิตย์ดวงที่หก ย่อมปรากฏ.  เพราะความปรากฏแห่งอาทิตย์ดวงที่หก,  มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ  ก็มีควันขึ้น  ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น  เปรียบเหมือนเตาเผาหม้อ อันนายช่างหม้อสุมไฟแล้ว ย่อมมีควันขึ้นโขมง ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น  ฉะนั้น (นี้ฉันใด),  ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย.  เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง  พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล  อาทิตย์ดวงที่เจ็ด ย่อมปรากฏ.  เพราะความปรากฏแห่งอาทิตย์ดวงที่เจ็ด,  มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ  ย่อมมีไฟลุกโพลง ๆ  มีเปลวเป็นอันเดียวกัน.   เมื่อมหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุอันไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่อย่างนี้ เปลวไฟถูกลมซัดขึ้นไปจนถึงพรหมโลก.  ภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่ วินาศอยู่ อันกองไฟท่วมท้นแล้ว,  ยอดทั้งหลาย อันสูงร้อยโยชน์บ้าง  สอง-สาม-สี่-ห้า ร้อยโยชน์บ้าง  ก็พังทำลายไป.   ภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อมหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุอันไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่, ขี้เถ้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ  เหมือนเมื่อเนยในส หรือน้ำมันถูกเผา  ขี้เถ้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ  ฉะนั้น (นี้ฉันใด),  ภิกษุทั้งหลาย.  สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น,  สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.  ภิกษุทั้งหลาย. เพียงเท่านี้ ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง  พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด  พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.

   ภิกษุทั้งหลาย.  ในข้อความนั้น  ใครจะคิด ใครจะเชื่อ ว่า "ปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุจักลุกไหม้ จักวินาศ จักสูญสิ้นไปได้"  นอกเสียจาก  พวกมีบทอันเห็นแล้ว.

                                                              สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐๒-๑๐๕/๖๓.


// ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่