พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่กล่าวตู่พระองค์ มีอยู่ ๒ จำพวก คือ
(๑) แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ มิได้ภาษิตไว้ .......... ว่าพระองค์ตรัสไว้ หรือ ภาษิตไว้
(๒) แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ภาษิตไว้ .......... ว่าพระองค์ มิได้ตรัสไว้ หรือ มิได้ภาษิตไว้
สิ่งที่ ท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งอ้างตนว่าเป็นชาวพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิกายเถรวาท ก็คือ กรณีธรรมโกย ถูกตำหนิติเตียน ด้วยเหตุผลอะไร ?
คำตอบ ก็คือ เพราะ สำนักธรรมโกย ได้แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ มิได้ภาษิตไว้ .......... ว่าพระองค์ตรัสไว้ หรือ ภาษิตไว้
หรือมิใช่ ?
ขออนุญาต กล่าวย้ำ อีกครั้งหนึ่งว่า เพราะมีการกล่าวอ้างถึง อายตนนิพพาน ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งๆ ที่พระองค์มิได้ตรัสไว้ สำนักธรรมโกย จึงถูกตำหนิติเตียนว่า "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" และ "บิดเบือนพระธรรมวินัย"
ใช่ หรือ มิใช่ ?
*************************************************************************************************
แต่กรณีของ นาย คันโตนาซี กลับมีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือ
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" แก่ ภิกษุทั้งหลาย ปรากฏหลักฐานอยู่มากมายในพระไตรปิฎก
แต่ ไอ้หมอนี่ กลับทำ หน้าด้าน ยืนยัน กระต่ายขาเดียว อยู่นานนับเดือนว่า พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสสอน !
และทั้งๆ ที่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดแจ้งถึงปานนี้แล้ว คันโตนาซี กลับแสดงอาการ "ดื้อด้าน"
พยายาม แถกแถ แก้ตัว เพื่อหวังจะเอาตัวรอด อย่างหน้าด้านๆ ชนิดไม่อายสุนัข(ขี้เรื้อน) ในทำนองว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ "ความเข้าใจผิด" ของมันเท่านั้น และการกระทำดังกล่าว ก็มิได้เป็น "ความชั่วร้าย" อะไร
คำถาม ก็คือ ............
ถ้าเช่นนั้นแล้ว มันและพวก ก็ย่อมต้องกล่าวถึง กรณีธรรมโกย ด้วย ตรรกะ และ เหตุผล อย่างเดียวกันว่า นั่นมิได้เป็น "ความชั่วร้าย" อะไร
และย่อมมิอาจไปกล่าวหาว่า สำนักธรรมโกย ว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้า หรือ บิดเบือนพระธรรมวินัย ได้เลยเช่นกัน !
หรือมิใช่ ?
สิ่งที่จำต้อง "ทวงถาม" จาก โมฆบุรุษ(รวมทั้งโมฆสตรี) กลุ่มนี้ ก็คือ ด้วยมาตรฐานความเป็นธรรมของพระธรรมวินัย ซึ่งย่อมต้องมีเพียง ๑ เดียว
การกระทำอย่างเดียวกัน ถ้าพิจารณาโดยหลักการแล้ว ระบุว่าเป็น ความผิด มันก็ต้องเป็น ความผิด เสมอหน้ากัน ไม่ว่าผู้กระทำ จะเป็นใครก็ตาม
แต่สิ่งที่ คันโตนาซี(และพวก) แสดงให้เห็นอยู่ในบัดนี้ ก็คือ ถ้าผู้อื่นกระทำการอย่างนี้ๆ มันจะสรุปในทันทีว่า เป็นความผิด ซึ่งนั่นมิใช่ปัญหา
แต่ปัญหามันเกิดตรงที่ พอถึงคราวที่ตนเองกระทำการอย่างเดียวกันนี้ แล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา มันกลับ "หน้าด้าน" กล่าวว่า มันไม่ผิด !
มิหนำซ้ำ ยังมาทำลอยหน้าลอยตา "สะตอ" อย่างปราศจากความอายชั่วกลัวบาปว่า (๑) มันมิได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า (๒) มันเพียงแค่ เข้าใจผิด เท่านั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการ โกหก ปลิ้นปล้อน ตลบแตลง แถกแถ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานยืนยัน "ความผิด" อยู่อย่างชัดเจน นะครับ !
*************************************************************************************************
ผมเห็นว่า กรณีอย่างนี้ เป็นสิ่งที่สังคมชาวพุทธโดยรวม จะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นเรื่องของ "หลักการ"
ถ้าหากชาวพุทธ โดยเฉพาะนิกายเถรวาท มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า การกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย เป็นความผิดร้ายแรง
นั่นย่อมหมายความว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ทำผิดคิดชั่วแบบนี้ จะต้องถูกประณามอย่างรุนแรง ดุจเดียวกัน
ที่กล่าวว่า "ดุจเดียวกัน" หมายความว่า ชาวพุทธทั้งหลาย กระทำกับ กรณีธรรมโกย อย่างไร
คุณก็จำต้องใช้มาตรฐานอย่างเดียวกันนั้น กับทุกๆ กรณี โดยไม่มีข้อยกเว้น
มิเช่นนั้น เรื่องมันก็จะกลายเป็นว่า ผู้คนทั้งหลาย ที่อ้างตัวอ้างตนว่าเป็นชาวพุทธเถรวาท
ซึ่งเคร่งครัดต่อความถูกต้องของพระธรรมวินัย แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ การโอ้อวดสร้างภาพ
อีกทั้ง การกล่าวโทษ โจมตี สำนักธรรมโกย ที่มีมาโดยตลอดนั้น ก็เป็นแค่การกระทำเพื่อสนองกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำ
ภายในจิตใจเบื้องลึกของตน โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการปกป้องรักษาพระธรรมนัย อย่างจริงจัง แต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะเมื่อถึงคราวที่มีผู้กระทำผิดในลักษณะเดียวกัน ชาวพุทธ ที่อ้างตนว่าจะปกป้องพระธรรมวินัยเหล่านี้ กลับ ละเลย ไม่ตำหนิติเตียน
หรือกระทำการใดๆ ด้วยมาตรฐานอย่างเดียวกับ กรณีธรรมโกย ด้วยเหตุเพียงเพราะว่า ผู้กระทำผิดคนนั้น เป็นพรรคพวกของตนเอง !
กรณีอย่างนี้ เท่ากับ ๒ มาตรฐาน นะครับ
ซึ่งไม่ดีเลย เมื่อกล่าวสำหรับสังคมที่มัก ยกหูชูหาง กันว่า เป็นสังคมของผู้เจริญแล้วด้วย สติ และ ปัญญา
หรือมิใช่ ?
*************************************************************************************************
ผมเห็นว่า เรื่องของพระธรรมวินัย จะมาตั้ง "ศาลเตี้ย" วินิจฉัย ชี้ถูก ชี้ผิด เอาเองตามใจชอบ มิได้ เพราะได้ปรากฏ ข้อเท็จจริง ออกมาแล้วว่า
(๑) คนที่ ยกหูชูหาง ตนเองขึ้นมาเป็น "ศาลเตี้ย" วินิจฉัยถูกผิด ตัดสินผู้อื่นนั้น เอาเข้าจริง ก็เป็นเพียงแค่ ปุถุชนผู้บริโภคกาม
ซึ่งกำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า แถมยังเป็นคน เก้อยาก ไร้ยางอาย ไม่ยอมรับผิด ทั้งๆ ที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา
(๒) กลุ่มบุคคล ที่ร่วมขบวนการ "ศาลเตี้ย" ชี้ถูกชี้ผิด ทั้งพระทั้งคน ก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า
มิได้เป็นผู้มี หิริ โอตตัปปะ แต่อย่างใด เพราะในขณะ ที่กล่าวโทษคน ปรามาสพระ อยู่นั้น
กลับปรากฏหลักฐานว่า ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำ อยู่บนพื้นฐานของการ ฉ้อฉลปล้นธรรม ทั้งสิ้น
มิหนำซ้ำ เมื่อปรากฏ กรณี "ศีลเบื้องต้น" ขึ้นมา คนถ่อยเหล่านั้น บ้างก็พยายามเข้าช่วยเหลือ คนกระทำผิด
บ้างก็ทำเป็น เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่รู้ไม่ชี้ ล้อฟรีเสียเฉยๆ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่ว่า ไอ้หมอนั่นกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
เพื่อสังคมออนไลน์ ที่มีคุณภาพ
ชาวพุทธทั้งหลาย จะเอาอย่างไร ก็ว่ามาครับ ?
ถ้า ท่านทั้งหลาย เห็นว่า จักต้องรักษามาตรฐาน ของชาวพุทธเถรวาท ท่านจะต้องร่วมกัน "จัดการ"
กับการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า หรือ บิดเบือนพระธรรมวินัย ด้วยมาตรฐานอย่างเดียวกัน ในทุกกรณี
แต่ถ้าหาก ท่านทั้งหลาย เห็นแก่ อคติ ความชอบ ความชัง ส่วนตน
ก็จง งดเว้น การเบียดเบียนเพื่อนชาวพุทธ ที่มีความเห็นต่างเสียเถิด
เพราะการพยายาม "ปิดกั้น" การแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น เช่น กรณีธรรมโกย ฯลฯ
มันกลับจะยิ่งเป็นการ "ประจาน" ความคับแคบของ จิตใจ และ กิเลสตัณหาฝ่ายต่ำ
ของผู้ที่มักอ้างตัวอ้างตน ว่าเป็นชาวพุทธเถรวาท ผู้ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย(แบบกำมะลอ) นั้นแล ฯ
ท่านทั้งหลาย มีความคิดเห็นประการใด ก็จงแสดงให้แจ่มแจ้งเถิด แล้วผมจะรอฟัง
สวัสดี
กรณี ธรรมโกย กับ ศาลเตี้ย(เม็ดมะขาม)
(๑) แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ มิได้ภาษิตไว้ .......... ว่าพระองค์ตรัสไว้ หรือ ภาษิตไว้
(๒) แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ภาษิตไว้ .......... ว่าพระองค์ มิได้ตรัสไว้ หรือ มิได้ภาษิตไว้
สิ่งที่ ท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งอ้างตนว่าเป็นชาวพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิกายเถรวาท ก็คือ กรณีธรรมโกย ถูกตำหนิติเตียน ด้วยเหตุผลอะไร ?
คำตอบ ก็คือ เพราะ สำนักธรรมโกย ได้แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ มิได้ภาษิตไว้ .......... ว่าพระองค์ตรัสไว้ หรือ ภาษิตไว้
หรือมิใช่ ?
ขออนุญาต กล่าวย้ำ อีกครั้งหนึ่งว่า เพราะมีการกล่าวอ้างถึง อายตนนิพพาน ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งๆ ที่พระองค์มิได้ตรัสไว้ สำนักธรรมโกย จึงถูกตำหนิติเตียนว่า "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" และ "บิดเบือนพระธรรมวินัย"
ใช่ หรือ มิใช่ ?
*************************************************************************************************
แต่กรณีของ นาย คันโตนาซี กลับมีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือ
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" แก่ ภิกษุทั้งหลาย ปรากฏหลักฐานอยู่มากมายในพระไตรปิฎก
แต่ ไอ้หมอนี่ กลับทำ หน้าด้าน ยืนยัน กระต่ายขาเดียว อยู่นานนับเดือนว่า พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสสอน !
และทั้งๆ ที่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดแจ้งถึงปานนี้แล้ว คันโตนาซี กลับแสดงอาการ "ดื้อด้าน"
พยายาม แถกแถ แก้ตัว เพื่อหวังจะเอาตัวรอด อย่างหน้าด้านๆ ชนิดไม่อายสุนัข(ขี้เรื้อน) ในทำนองว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ "ความเข้าใจผิด" ของมันเท่านั้น และการกระทำดังกล่าว ก็มิได้เป็น "ความชั่วร้าย" อะไร
คำถาม ก็คือ ............
ถ้าเช่นนั้นแล้ว มันและพวก ก็ย่อมต้องกล่าวถึง กรณีธรรมโกย ด้วย ตรรกะ และ เหตุผล อย่างเดียวกันว่า นั่นมิได้เป็น "ความชั่วร้าย" อะไร
และย่อมมิอาจไปกล่าวหาว่า สำนักธรรมโกย ว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้า หรือ บิดเบือนพระธรรมวินัย ได้เลยเช่นกัน !
หรือมิใช่ ?
สิ่งที่จำต้อง "ทวงถาม" จาก โมฆบุรุษ(รวมทั้งโมฆสตรี) กลุ่มนี้ ก็คือ ด้วยมาตรฐานความเป็นธรรมของพระธรรมวินัย ซึ่งย่อมต้องมีเพียง ๑ เดียว
การกระทำอย่างเดียวกัน ถ้าพิจารณาโดยหลักการแล้ว ระบุว่าเป็น ความผิด มันก็ต้องเป็น ความผิด เสมอหน้ากัน ไม่ว่าผู้กระทำ จะเป็นใครก็ตาม
แต่สิ่งที่ คันโตนาซี(และพวก) แสดงให้เห็นอยู่ในบัดนี้ ก็คือ ถ้าผู้อื่นกระทำการอย่างนี้ๆ มันจะสรุปในทันทีว่า เป็นความผิด ซึ่งนั่นมิใช่ปัญหา
แต่ปัญหามันเกิดตรงที่ พอถึงคราวที่ตนเองกระทำการอย่างเดียวกันนี้ แล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา มันกลับ "หน้าด้าน" กล่าวว่า มันไม่ผิด !
มิหนำซ้ำ ยังมาทำลอยหน้าลอยตา "สะตอ" อย่างปราศจากความอายชั่วกลัวบาปว่า (๑) มันมิได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า (๒) มันเพียงแค่ เข้าใจผิด เท่านั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการ โกหก ปลิ้นปล้อน ตลบแตลง แถกแถ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานยืนยัน "ความผิด" อยู่อย่างชัดเจน นะครับ !
*************************************************************************************************
ผมเห็นว่า กรณีอย่างนี้ เป็นสิ่งที่สังคมชาวพุทธโดยรวม จะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นเรื่องของ "หลักการ"
ถ้าหากชาวพุทธ โดยเฉพาะนิกายเถรวาท มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า การกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย เป็นความผิดร้ายแรง
นั่นย่อมหมายความว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ทำผิดคิดชั่วแบบนี้ จะต้องถูกประณามอย่างรุนแรง ดุจเดียวกัน
ที่กล่าวว่า "ดุจเดียวกัน" หมายความว่า ชาวพุทธทั้งหลาย กระทำกับ กรณีธรรมโกย อย่างไร
คุณก็จำต้องใช้มาตรฐานอย่างเดียวกันนั้น กับทุกๆ กรณี โดยไม่มีข้อยกเว้น
มิเช่นนั้น เรื่องมันก็จะกลายเป็นว่า ผู้คนทั้งหลาย ที่อ้างตัวอ้างตนว่าเป็นชาวพุทธเถรวาท
ซึ่งเคร่งครัดต่อความถูกต้องของพระธรรมวินัย แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ การโอ้อวดสร้างภาพ
อีกทั้ง การกล่าวโทษ โจมตี สำนักธรรมโกย ที่มีมาโดยตลอดนั้น ก็เป็นแค่การกระทำเพื่อสนองกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำ
ภายในจิตใจเบื้องลึกของตน โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการปกป้องรักษาพระธรรมนัย อย่างจริงจัง แต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะเมื่อถึงคราวที่มีผู้กระทำผิดในลักษณะเดียวกัน ชาวพุทธ ที่อ้างตนว่าจะปกป้องพระธรรมวินัยเหล่านี้ กลับ ละเลย ไม่ตำหนิติเตียน
หรือกระทำการใดๆ ด้วยมาตรฐานอย่างเดียวกับ กรณีธรรมโกย ด้วยเหตุเพียงเพราะว่า ผู้กระทำผิดคนนั้น เป็นพรรคพวกของตนเอง !
กรณีอย่างนี้ เท่ากับ ๒ มาตรฐาน นะครับ
ซึ่งไม่ดีเลย เมื่อกล่าวสำหรับสังคมที่มัก ยกหูชูหาง กันว่า เป็นสังคมของผู้เจริญแล้วด้วย สติ และ ปัญญา
หรือมิใช่ ?
*************************************************************************************************
ผมเห็นว่า เรื่องของพระธรรมวินัย จะมาตั้ง "ศาลเตี้ย" วินิจฉัย ชี้ถูก ชี้ผิด เอาเองตามใจชอบ มิได้ เพราะได้ปรากฏ ข้อเท็จจริง ออกมาแล้วว่า
(๑) คนที่ ยกหูชูหาง ตนเองขึ้นมาเป็น "ศาลเตี้ย" วินิจฉัยถูกผิด ตัดสินผู้อื่นนั้น เอาเข้าจริง ก็เป็นเพียงแค่ ปุถุชนผู้บริโภคกาม
ซึ่งกำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า แถมยังเป็นคน เก้อยาก ไร้ยางอาย ไม่ยอมรับผิด ทั้งๆ ที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา
(๒) กลุ่มบุคคล ที่ร่วมขบวนการ "ศาลเตี้ย" ชี้ถูกชี้ผิด ทั้งพระทั้งคน ก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า
มิได้เป็นผู้มี หิริ โอตตัปปะ แต่อย่างใด เพราะในขณะ ที่กล่าวโทษคน ปรามาสพระ อยู่นั้น
กลับปรากฏหลักฐานว่า ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำ อยู่บนพื้นฐานของการ ฉ้อฉลปล้นธรรม ทั้งสิ้น
มิหนำซ้ำ เมื่อปรากฏ กรณี "ศีลเบื้องต้น" ขึ้นมา คนถ่อยเหล่านั้น บ้างก็พยายามเข้าช่วยเหลือ คนกระทำผิด
บ้างก็ทำเป็น เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่รู้ไม่ชี้ ล้อฟรีเสียเฉยๆ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่ว่า ไอ้หมอนั่นกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
เพื่อสังคมออนไลน์ ที่มีคุณภาพ
ชาวพุทธทั้งหลาย จะเอาอย่างไร ก็ว่ามาครับ ?
ถ้า ท่านทั้งหลาย เห็นว่า จักต้องรักษามาตรฐาน ของชาวพุทธเถรวาท ท่านจะต้องร่วมกัน "จัดการ"
กับการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า หรือ บิดเบือนพระธรรมวินัย ด้วยมาตรฐานอย่างเดียวกัน ในทุกกรณี
แต่ถ้าหาก ท่านทั้งหลาย เห็นแก่ อคติ ความชอบ ความชัง ส่วนตน
ก็จง งดเว้น การเบียดเบียนเพื่อนชาวพุทธ ที่มีความเห็นต่างเสียเถิด
เพราะการพยายาม "ปิดกั้น" การแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น เช่น กรณีธรรมโกย ฯลฯ
มันกลับจะยิ่งเป็นการ "ประจาน" ความคับแคบของ จิตใจ และ กิเลสตัณหาฝ่ายต่ำ
ของผู้ที่มักอ้างตัวอ้างตน ว่าเป็นชาวพุทธเถรวาท ผู้ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย(แบบกำมะลอ) นั้นแล ฯ
ท่านทั้งหลาย มีความคิดเห็นประการใด ก็จงแสดงให้แจ่มแจ้งเถิด แล้วผมจะรอฟัง
สวัสดี