ขอ "ออกตัว" ก่อนว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว) มิได้รู้จัก ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เป็นการส่วนตัว และทั้ง มิได้เป็นศิษย์วัดนาป่าพง อีกด้วย
ผมเป็นแค่เพียง พุทธศาสนิกชน ผู้เคารพศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้นเอง ดังนั้น นี่จึงเป็นการพูดในฐานะชาวพุทธคนกลาง
ทั้งนี้ หากว่า การวิพากษ์วิจารณ์นี้ จะเน้นหนักไปที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เป็นสำคัญ
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายจะสามารถ รับฟังได้โดยปราศจาก "ปฏิฆะ" นะครับ
*********************************************************************************
ผมมิอาจ "ทำใจ" ได้เลยว่า ในฐานะที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เป็นภิกษุสาวกรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
แต่แล้วเหตุใด ภิกษุรูปนี้ จึงได้ "กระทำผิด" อย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาว่า
ภิกษุรูปนั้น เป็นถึง เปรียญ ๙ ประโยค และ บัณฑิต เกียรตินิยม !
จะเป็นด้วย ความหลงไหลใน โลกายัต และ ดิรัจฉานวิชา หรือจะเป็นเพียงเพราะ "อคติ" ต่อฝ่ายวัดนาป่าพง ก็ตาม
แต่การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม พยายาม "ตีความ" พระบาลีพุทธพจน์ ตามใจชอบ เพื่อหวัง "ตอบโต้โจมตี" ฝ่ายวัดนาป่าพง
จนกลายมาเป็นการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย อย่างไม่สมควร ย่อมเป็นความเลวร้ายที่ให้อภัยไม่ได้ !
ถามว่า กล่าวตู่อย่างไร ?
ตอบว่า การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ไปตีความพระบาลีพุทธพจน์ โดยอ้างบาลีไวยากรณ์ ต่างๆ นาๆ สุดแต่ท่านจะปรุงแต่งไปนั้น
จนนำมาสู่ข้อสรุป ตามประสาโง่ของท่านในทำนองว่า ....... "พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้าม เรียน หรือ ฟัง คำสอนภายนอกฯ"
และนี่ ก็คือ ตัวอย่างของภิกษุสาวก ผู้มีการศึกษา แต่กลับปราศจาก ความอายชั่วกลัวบาป
เป็นผู้ไม่มีความละอาย ไร้ซึ่งสติ ความยั้งคิด ไม่มีความสำรวมในศีลในธรรมทั้งปวง
และสุดท้าย เพียงเพื่อสนองกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำ คือ ความหลงไหล ใน โลกายัต และ ดิรัจฉานวิชา
ถึงกลับ "กล่าวตู่" พระพุทธเจ้า ว่ามิได้ตรัสห้ามเรียน วิชานอกแนวทั้งหลาย
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามมิให้ ภิกษุทั้งหลาย เรียน หรือ สอน
คัมภีร์โลกายัติ และ ดิรัจฉานวิชา หากภิกษุรูปใด ฝ่าฝืน ทรงปรับอาบัติ ทุกกฏ !
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสห้าม ........ อย่างนั้นหรือครับ ?
*********************************************************************************
ท่านมหาฯ เกียรตินิยม พอจะมองเห็นความผิดของตน บ้างหรือไม่ว่า การแสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ภาษิตไว้
ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสไว้ ไม่ได้ภาษิตไว้ ก็คือ การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า นั่นเอง !
และ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม พอจะมองเห็นความผิดพลาดของตน บ้างหรือไม่ว่า ความพยายาม ตีความพระบาลีพุทธพจน์
ด้วยความเย่อหยิ่ง อวดดี ในวิชาไวยากรณ์ โดยปราศจาก ปัญญา และ สติสัมปชัญญะ อาจนำมาซึ่งบาปกรรม มิใช่น้อย
ซึ่งเกิดจากการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าอย่าง "จงใจ"
ทั้งนี้ ผมย่อมเห็นว่า การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ว่ามิได้ตรัสห้ามเรียนวิชาทางโลก ถึง ๒ ครั้ง
นั้นมิอาจกล่าวได้เลยว่า เป็นการกระทำที่ปราศจาก "เจตจำนงค์" ที่แน่วแน่ในการแอบอ้าง อัตตโนมัติของตน
เพื่อคัดค้าน โต้แย้ง หรือ เพิกถอนสิกขาบทของพระพุทธเจ้า อย่างปราศจากความยำเกรงในพระธรรมวินัย !
ท่านมหาฯ เกียรตินิยม จะทราบหรือไม่ว่า ถ้อยคำลามกของท่าน เพียงเท่านี้ หากได้ยินไปถึง ท่านพระมหากัสสปะ
อัตตโนมัติอันเลวร้ายนี้ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการสังคายนาพระธรรมวินัยได้ในทันที อย่างมิต้องสงสัย
และถ้าหาก ถ้อยคำลามกเช่นนี้ ได้ยินไปถึงหูของท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ(ราวพุทธศตวรรษที่ ๓)
ผมสามารถรับรองกับ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ได้เช่นกันว่า ท่านจะถูกจับสึก อย่างแน่นอน !
การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เอ่ยอ้างถึง พระอรหันตเถระ เมื่อครั้งปฐมสังคายนานั้น จักเป็นการอ้างด้วยความเคารพ
ด้วยความเลื่อมใสต่อท่านเหล่านั้นด้วยใจจริง หรือเป็นเพียงแค่การแอบอ้างเพื่อมุ่งหวัง "กล่าวร้าย" เพื่อนภิกษุด้วยกัน
ผมก็สุดที่จะคาดเดาไปได้ นะครับ แต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมสามารถบอกกล่าวกับ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ได้ ก็คือ
แทนที่ท่าน จะมาเสียเวลา จับผิดเพ่งโทษ ผู้อื่นว่า เป็นเพียงภิกษุปุถุชนธรรมดาๆ ตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสื่อสั่วๆ ของท่านนั้น
จงเอาเวลาที่มีอยู่ มาพิจารณาตนเอง ด้วยความสำรวมระวังในพระปาฎิโมกข์วินัย จะไม่เป็นการถูกต้องเหมาะสมมากกว่า ละหรือ ?
อย่างน้อยที่สุด การสำรวมระวังตนของท่าน ย่อมจะปิดทาง ในการทำชั่ว เช่น กล่าวร้ายใส่ความผู้อื่นด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
หรือ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย เพื่อสนองกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำของตน อย่างไม่สมกับสมณสารูป เป็นต้น
เพราะทำไปทำมา กลับกลายเป็นตัวของท่านนั้นเอง ที่ไปตอกย้ำให้ชาวพุทธอีกฝ่าย มีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปอีกว่า
ถ้อยคำของภิกษุชั้นสาวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุสาวกในสมัยนี้(เช่น ท่านมหาฯ เกียรตินิยม) เชื่อถือไม่ได้ เอาเสียเลยจริงๆ !
หรือมิใช่ ?
*********************************************************************************
ผมขออนุญาต ถาม ท่านมหาฯ เกียรตินิยม สักคำเถิดว่า ท่านได้เคย "มอง" ในความหมายคือ "พิจารณา" ตนเอง
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อม บ้างหรือไม่ว่า ตัวของท่านเองนั้น มีสภาพเป็นเช่นไร ?
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การวิพากษ์วิจารณ์โดยสังเขปนี้ จักเป็นประโยชน์ในการ พิจารณา(ธรรม)
และ สำรวมตน แก่ท่านทั้งหลาย รวมไปถึงตัวของผม(จ้าวนครเมฆขาว) เองด้วย
ถ้อยคำ อาจหนักหน่วงรุนแรงไปบ้าง ก็หวังว่า ท่านทั้งหลายจะเป็นผู้มีใจหนักแน่น และไม่ถือสา นะครับ !
สวัสดี
.
.
.
ปล. ผมขออนุญาต แนะนำด้วยความหวังดีว่า ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ควรเก็บหนังสื่อสั่วๆ ของท่าน
ซึ่งบรรจุถ้อยคำลามก กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย อยู่มากมายนั้น มาเผาทิ้งเสีย นะครับ
ทั้งนี้ ก็เพื่อดำรงรักษาไว้ ซึ่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมวินัย ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน !
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสห้าม ........ อย่างนั้นหรือ ?
ผมเป็นแค่เพียง พุทธศาสนิกชน ผู้เคารพศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้นเอง ดังนั้น นี่จึงเป็นการพูดในฐานะชาวพุทธคนกลาง
ทั้งนี้ หากว่า การวิพากษ์วิจารณ์นี้ จะเน้นหนักไปที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เป็นสำคัญ
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายจะสามารถ รับฟังได้โดยปราศจาก "ปฏิฆะ" นะครับ
*********************************************************************************
ผมมิอาจ "ทำใจ" ได้เลยว่า ในฐานะที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เป็นภิกษุสาวกรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
แต่แล้วเหตุใด ภิกษุรูปนี้ จึงได้ "กระทำผิด" อย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาว่า
ภิกษุรูปนั้น เป็นถึง เปรียญ ๙ ประโยค และ บัณฑิต เกียรตินิยม !
จะเป็นด้วย ความหลงไหลใน โลกายัต และ ดิรัจฉานวิชา หรือจะเป็นเพียงเพราะ "อคติ" ต่อฝ่ายวัดนาป่าพง ก็ตาม
แต่การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม พยายาม "ตีความ" พระบาลีพุทธพจน์ ตามใจชอบ เพื่อหวัง "ตอบโต้โจมตี" ฝ่ายวัดนาป่าพง
จนกลายมาเป็นการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย อย่างไม่สมควร ย่อมเป็นความเลวร้ายที่ให้อภัยไม่ได้ !
ถามว่า กล่าวตู่อย่างไร ?
ตอบว่า การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ไปตีความพระบาลีพุทธพจน์ โดยอ้างบาลีไวยากรณ์ ต่างๆ นาๆ สุดแต่ท่านจะปรุงแต่งไปนั้น
จนนำมาสู่ข้อสรุป ตามประสาโง่ของท่านในทำนองว่า ....... "พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้าม เรียน หรือ ฟัง คำสอนภายนอกฯ"
และนี่ ก็คือ ตัวอย่างของภิกษุสาวก ผู้มีการศึกษา แต่กลับปราศจาก ความอายชั่วกลัวบาป
เป็นผู้ไม่มีความละอาย ไร้ซึ่งสติ ความยั้งคิด ไม่มีความสำรวมในศีลในธรรมทั้งปวง
และสุดท้าย เพียงเพื่อสนองกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำ คือ ความหลงไหล ใน โลกายัต และ ดิรัจฉานวิชา
ถึงกลับ "กล่าวตู่" พระพุทธเจ้า ว่ามิได้ตรัสห้ามเรียน วิชานอกแนวทั้งหลาย
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามมิให้ ภิกษุทั้งหลาย เรียน หรือ สอน
คัมภีร์โลกายัติ และ ดิรัจฉานวิชา หากภิกษุรูปใด ฝ่าฝืน ทรงปรับอาบัติ ทุกกฏ !
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสห้าม ........ อย่างนั้นหรือครับ ?
*********************************************************************************
ท่านมหาฯ เกียรตินิยม พอจะมองเห็นความผิดของตน บ้างหรือไม่ว่า การแสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ภาษิตไว้
ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสไว้ ไม่ได้ภาษิตไว้ ก็คือ การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า นั่นเอง !
และ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม พอจะมองเห็นความผิดพลาดของตน บ้างหรือไม่ว่า ความพยายาม ตีความพระบาลีพุทธพจน์
ด้วยความเย่อหยิ่ง อวดดี ในวิชาไวยากรณ์ โดยปราศจาก ปัญญา และ สติสัมปชัญญะ อาจนำมาซึ่งบาปกรรม มิใช่น้อย
ซึ่งเกิดจากการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าอย่าง "จงใจ"
ทั้งนี้ ผมย่อมเห็นว่า การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ว่ามิได้ตรัสห้ามเรียนวิชาทางโลก ถึง ๒ ครั้ง
นั้นมิอาจกล่าวได้เลยว่า เป็นการกระทำที่ปราศจาก "เจตจำนงค์" ที่แน่วแน่ในการแอบอ้าง อัตตโนมัติของตน
เพื่อคัดค้าน โต้แย้ง หรือ เพิกถอนสิกขาบทของพระพุทธเจ้า อย่างปราศจากความยำเกรงในพระธรรมวินัย !
ท่านมหาฯ เกียรตินิยม จะทราบหรือไม่ว่า ถ้อยคำลามกของท่าน เพียงเท่านี้ หากได้ยินไปถึง ท่านพระมหากัสสปะ
อัตตโนมัติอันเลวร้ายนี้ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการสังคายนาพระธรรมวินัยได้ในทันที อย่างมิต้องสงสัย
และถ้าหาก ถ้อยคำลามกเช่นนี้ ได้ยินไปถึงหูของท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ(ราวพุทธศตวรรษที่ ๓)
ผมสามารถรับรองกับ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ได้เช่นกันว่า ท่านจะถูกจับสึก อย่างแน่นอน !
การที่ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม เอ่ยอ้างถึง พระอรหันตเถระ เมื่อครั้งปฐมสังคายนานั้น จักเป็นการอ้างด้วยความเคารพ
ด้วยความเลื่อมใสต่อท่านเหล่านั้นด้วยใจจริง หรือเป็นเพียงแค่การแอบอ้างเพื่อมุ่งหวัง "กล่าวร้าย" เพื่อนภิกษุด้วยกัน
ผมก็สุดที่จะคาดเดาไปได้ นะครับ แต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมสามารถบอกกล่าวกับ ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ได้ ก็คือ
แทนที่ท่าน จะมาเสียเวลา จับผิดเพ่งโทษ ผู้อื่นว่า เป็นเพียงภิกษุปุถุชนธรรมดาๆ ตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสื่อสั่วๆ ของท่านนั้น
จงเอาเวลาที่มีอยู่ มาพิจารณาตนเอง ด้วยความสำรวมระวังในพระปาฎิโมกข์วินัย จะไม่เป็นการถูกต้องเหมาะสมมากกว่า ละหรือ ?
อย่างน้อยที่สุด การสำรวมระวังตนของท่าน ย่อมจะปิดทาง ในการทำชั่ว เช่น กล่าวร้ายใส่ความผู้อื่นด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
หรือ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย เพื่อสนองกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำของตน อย่างไม่สมกับสมณสารูป เป็นต้น
เพราะทำไปทำมา กลับกลายเป็นตัวของท่านนั้นเอง ที่ไปตอกย้ำให้ชาวพุทธอีกฝ่าย มีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปอีกว่า
ถ้อยคำของภิกษุชั้นสาวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุสาวกในสมัยนี้(เช่น ท่านมหาฯ เกียรตินิยม) เชื่อถือไม่ได้ เอาเสียเลยจริงๆ !
หรือมิใช่ ?
*********************************************************************************
ผมขออนุญาต ถาม ท่านมหาฯ เกียรตินิยม สักคำเถิดว่า ท่านได้เคย "มอง" ในความหมายคือ "พิจารณา" ตนเอง
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อม บ้างหรือไม่ว่า ตัวของท่านเองนั้น มีสภาพเป็นเช่นไร ?
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การวิพากษ์วิจารณ์โดยสังเขปนี้ จักเป็นประโยชน์ในการ พิจารณา(ธรรม)
และ สำรวมตน แก่ท่านทั้งหลาย รวมไปถึงตัวของผม(จ้าวนครเมฆขาว) เองด้วย
ถ้อยคำ อาจหนักหน่วงรุนแรงไปบ้าง ก็หวังว่า ท่านทั้งหลายจะเป็นผู้มีใจหนักแน่น และไม่ถือสา นะครับ !
สวัสดี
.
.
.
ปล. ผมขออนุญาต แนะนำด้วยความหวังดีว่า ท่านมหาฯ เกียรตินิยม ควรเก็บหนังสื่อสั่วๆ ของท่าน
ซึ่งบรรจุถ้อยคำลามก กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย อยู่มากมายนั้น มาเผาทิ้งเสีย นะครับ
ทั้งนี้ ก็เพื่อดำรงรักษาไว้ ซึ่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมวินัย ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน !