อ่านตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/30896118
ติดตามอ่านในบลอคของผมได้ที่ TomUdom.Bloggang.com นะครับ
4
เอโทส
การเดินทางกลับบ้าน…อาณาจักรแห่งผู้พ่ายแพ้
ในความฝันผมกำลังนั่งเครื่องบินอยู่ ผมมั่นใจมากว่าผมกำลังอยู่บนเครื่องบินถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อนก็ตามในชีวิตนี้ จากทิวทัศน์ที่ผมมองเห็น ณ ตอนนี้ ทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม และต้นไม้น้อยใหญ่ ทั้งต้นสน ปาล์ม โอลีฟ และอีกมากมายที่ผมเองก็ไม่รู้จัก พวกมันยืนตรงอย่างสง่างาม สลับกับภูเขาที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยไมล์ พื้นดินสีเขียวซึ่งมีสีขาวปะปนอยู่แผ่วบาง นี่คือช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิที่ซึ่งหิมะกำลังเก็บข้าวของกลับไปจำศีลต่ออีก 1 ปี
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมชอบการอยู่บนที่สูง บนนี้ผมรู้สึกได้ถึงความอิสระที่แล่นผ่านทุกอณูในร่างกาย มันเป็นความฝันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต และผมก็เริ่มหัวเราะออกมาอย่างไร้ความกังวลใดๆ ในโลก เหมือนมันมีเพียงแค่ผม และ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ อาณาจักรของผม
“ขำอะไรเหรอ เอโทส กำลังคิดถึงเรื่องโจแอนนาใช่ไหม” เสียงผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมดังขึ้น ในขณะที่เครื่องบินเบี่ยงเส้นทางไปทางขวา บินเรียบไปกับแนวสันเขาด้านข้าง ผมไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเธอนั่งอยู่ข้างๆผม เพราะมัวแต่ชื่นชมกับทิวทัศน์และธรรมชาติที่งดงาม ผมหันหน้ากลับไปหาเจ้าของเสียง แต่พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นนอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติอีกด้านหนึ่งที่ผมเพิ่งหันกลับมามอง อันที่จริงไม่มีแม้แต่ผนังเครื่องบิน ผู้โดยสาร แอร์โฮสเตส หรือ เก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ ทั้งหมดมีแค่ผมกับธรรมชาติสีเขียว
“แต่เราดีใจนะ ที่เห็นนายยิ้มและได้ฟังเสียงหัวเราะของนายอีก หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน…การสูญเสียมันคงทำให้นายเจ็บปวดจริงๆ แต่นายรู้ใช่ไหมว่าเราอยู่ข้างนายเสมอ” เสียงผู้หญิงคนนั้นล่องลอยมากับสายลมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเริ่มจับต้นชนปลายได้ ผมค่อยๆยกแขนซ้ายขึ้นอย่างลังเล ไม่กล้าที่จะมองมันเพราะกลัวความจริงที่ว่าสิ่งที่ผมคาดเดานั้นจะถูกต้อง แขนผมหนักขึ้นกว่าเมื่อก่อน รู้สึกถึงการออกแรงที่มากเกินไป กับเพียงการยกแขนเพียง 1 ข้างของตนเอง
โอ้ให้ตายสิ !! มันเป็นแบบที่ผมกังวลจริงๆ แขนของผมเปลี่ยนไป มันยาวและกว้างกว่าเดิมมาก น่าจะมีความกว้างประมาณ 2 ฟุต และยาวเกือบๆ 6 ฟุต แขนผมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง เหมือนไม้มะฮอกกะนีคุณภาพเยี่ยมในร้านเฟอร์นิเจอร์หรูหรา และมีเกร็ดเป็นริ้วๆ ซึ่งมีสีทองขลิบอยู่ที่ส่วนปลาย มันปลิวไสวตามสายลมอย่างสง่างาม ผมไม่มีนิ้วมือหลงเหลืออยู่แม้แต่นิ้วเดียว มีเพียงขนนกเรียวยาววางพาดต่อกัน มันไม่ใช่แขน มันคือปีก และผมไม่ได้กำลังนั่งอยู่ในเครื่องบิน แต่เป็นผมเองที่กำลังบินอยู่ ผมเป็น…เอ่อ…. นกอินทรียักษ์
“เอโทส อย่ายกปีกขึ้นแบบนั้นสิ นายทำเราเกือบร่วงลงไปเลยนะเมื่อกี้” ผู้หญิงคนนั้นยังคงพูดจากับผมอยู่ ผมพยายามหันกลับไปมอง และพบผู้หญิงหน้าตา อืมมม จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ มันคงต้องประมาณคำว่า โคตร-จะ-สวย เลยทีเดียว ผมของเธอเป็นสีดำมากๆ และถึงแม้จะไม่เท่ากับแอสต้าแต่มันก็มากพอที่จะเห็นดวงดาวประกายแสงอยู่บนเส้นผมของเธอได้เลยทีเดียว ใบหน้าของเธอเรียวยาวเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน เธอมีดวงตาสีฟ้าใส เหมือนวันที่อากาศน่าออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่สุดในโลก และรอยยิ้มของเธอก็ช่วยขับให้ใบหน้าของเธอประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งทำให้เธอสวยยิ่งขึ้นไปอีกหลายร้อยเท่า
เธอกำลังนั่งขัดสมาธิสบายๆอยู่บนหลังของผม แต่งกายด้วยชุดสีขาวคล้ายๆพวกผู้หญิงชั้นสูงชาวกรีกสวมใส่ ซึ่งเข้ากันเป็นอย่างดีกับกางเกงหนังสีน้ำตาลอ่อนของเธอ ที่เอวมีกริชสีขาวยาวเสียบอยู่ในฟักซึ่งประดับประดาไปด้วยอัญมณีสีน้ำเงินบริเวณด้าม และมีธนูกับกระบอกธนูสีเดียวกันพาดไว้ที่ไหล่ของเธอ
“อ่า…เอ่อ…เธอ…โว้ว..สวย…จัง…คือแบบว่ามันไม่ใช่แบบนั้น…แต่ก็เออประมาณนั้น…นะ”
เยี่ยมจริงๆ !! ผมคิด วันที่ดีที่สุดกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยเห็นกำลังจะหมดไปด้วยคำพูดของผมโง่ๆของผม ทำไมถึงไม่ให้โอกาสผมได้เตรียมตัวก่อนจะเจอเธอนะ แล้วก็เฮ้ ! ในเมื่อผมเป็นนกอินทรีย์ ตอนนี้ผมใส่เสื้อผ้าอยู่รึเปล่าเนี่ย
“เป็นอะไรไป เอโทส” เธอหัวเราะออกมา ทำให้ผมหมดโอกาสในการค้นหาคำตอบเรื่องเสื้อผ้าของผมไปโดยปริยาย
“นายตลกจังนะวันนี้…น่ารักดี เราเพิ่งเคยเห็นนายเป็นแบบนี้ครั้งแรกเลยนะ…รู้ไหมเรากำลังคิดว่าพวกเรามีเวลาเกือบชั่วโมงก่อนประชุมการศึกครั้งต่อไป พวกเราไปที่นั่นกันไหม…เรา 2 คนเหมือนตอนนั้น…และ…เฮ้ ระวัง !!”
อะไรสักอย่างชนผมเข้าอย่างจัง และผมรู้เลยว่าผมกำลังดิ่งลงสู่พื้นด้วยความเร็ว 1,031 กม. ต่อชั่วโมงที่ความสูง 874 เมตรจากระดับทะเล แล้วทำไมผมถึงต้องรู้ละเอียดขนาดนี้ด้วยเนี่ย !
“เอโทส !!” เสียงเธอเรียกหาผมอย่างตื่นตระหนก ขณะที่เธอหลุดจากหลังของผมและพุ่งตกลงไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ใจของผมตีบตัน ผมปล่อยให้เธอตกลงไปไม่ได้ ผมปล่อยให้เธอตายไม่ได้... ไม่ได้เด็ดขาด ผมรวบปีกเข้าชิดลำตัวตามสัญชาติญาณและพุ่งตามเธอลงไป
“นาตาลี…ไม่” ทั้งผมและเธอจมหายไปในท้องฟ้าที่เลือนลางหายไปกับหมู่เมฆนับร้อยนับพันที่รายล้อมร่างกายของพวกเรา
“เอโทส..เอโทส นายได้ยินชั้นรึเปล่า” ผมรู้สึกได้ว่ามีมือสองข้างกำลังเขย่าตัวผมอยู่ หัวผมมึนงงไปหมด เหมือนเพิ่งไปนั่งอยู่บนรถไฟเหาะมาสักครึ่งวันเห็นจะได้ ผมพยายามจะลืมตาขึ้นแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ในเมื่อเวลานี้กำลังมีกาแล็กซี่กำเนิดใหม่พร้อมดาวเคาระห์อีกสัก 1,000 ดวง กำลังโคจรอยู่รอบๆเบ้าตาของผม
“นาตาลี…” ผมพยายามหนักขึ้นที่จะลืมตาเพื่อมองดูนาตาลีอีกครั้งว่าเธอปลอดภัยหรือไม่ ผมเป็นฮีโร่ที่ช่วยชีวิตเธอได้สำเร็จ หรือเป็นแค่ไอ้งั่งสีน้ำตาลที่บินได้ด้วยปีกโง่ๆคู่หนึ่ง
“นาตาลี…ใครเหรอเอโทส ? นี่ชั้นอาธีน่า น้องสาวของนายไง” ผู้หญิงผมยาวซึ่งมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะเป็นสีส้ม ใบหน้าเรียวบางของเธอกำลังจ้องมองผมด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างที่สุด อาธีน่านั่นเอง ผมพบว่าผมกำลังนอนอยู่บนตักของเธอ โดยมีอเล็กซ์คุกเข่าด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ข้างๆ ผมค่อยๆชันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งก็พอดีกับจังหวะที่แอสตร้าวิ่งกลับมาพร้อมกระบอกใส่น้ำที่เขาเพิ่งไปตักมาจากแม่น้ำสายข้างๆ
“นายเป็นอะไรไหม” อาธีน่ายังคงซักไซร้ผมต่อด้วยความห่วงใย ผมอยากจะตอบเธอว่าผมโอเคดี ถ้าไม่นับอาการอยากจะอาเจียนตลอดเวลา อย่างน้อยอวัยวะผมก็ยังครบถ้วน (หรือว่าไม่ ! ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ) แต่ก็คอแห้งเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมาเสียด้วยซ้ำ ผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะดื่มน้ำที่แอสตร้านำมาให้ไปหลายอึก พร้อมๆกับสำรวจบรรยากาศรอบๆตัวแทน
รอบบริเวณพวกเราปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม และต้นไม้น้อยใหญ่ ทั้งต้นสน ปาล์ม โอลีฟ และอีกมากมายที่ผมเองก็ไม่รู้จัก พวกมันยืนตรงอย่างสง่างาม สลับกับภูเขาที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยไมล์ เหมือนในฝันของผมไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันแค่ตอนนี้ไม่มีพื้นดินสีขาว มันยังคงเป็นพื้นดินสีเขียวชอุ่มด้วยใบหญ้า ผมรู้ได้ลึกๆว่าที่นี่คือสถานที่เดียวกันกับความฝันเมื่อกี้นี้ เพียงแต่ต่างกันที่เวลา แล้วมันเป็นเวลาไหนกันล่ะ ก่อนหน้าเหตุการณ์กับนาตาลี หรือ เรื่องราวเหล่านั้นยังเป็นเพียงอนาคตที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่มี 2 สิ่งที่ผมรู้อย่างแน่ชัด เรื่องแรกคือเหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นในอดีตที่ผ่านมาหรืออนาคตที่กำลังจะมาถึงก็ตาม และอีกเรื่องที่ผมมั่นใจยิ่งกว่าคือ ผมหลงรักนาตาลีเข้าเต็มๆ
“เราอยู่ที่ไหน” ผมถามขึ้นในที่สุด
“พวกเราอยู่ในอาณาจักรแห่งผู้พ่ายแพ้…หรือจะให้เรียกให้ถูกจริงๆคือพวกเราอยู่ในดินแดนที่ให้กำเนิดพวกเรา….ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เอโทส” เสียงของชายชราที่ฟังคุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลังผม ผมหันกลับไปและเห็นครูเกรมอสยืนอยู่ตรงนั้น
“ครูเกรมอส ! ครูยังไม่ตาย” ไม่รู้ทำไมแต่ผมก็ดีใจจริงๆที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น มันเหมือนกับเขาเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ห่วงใยเราจริงๆ และเพิ่งกลับมาเยี่ยมในวันคริสต์มาสพร้อมกับของขวัญห่อใหญ่
“สวัสดีอีกครั้งเด็กน้อย..ข้าจะถือว่าคำพูดของเจ้าเป็นคำชมละกันนะ” ครูเกรมอสพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลซึ่งหลบซ่อนอยู่ในดวงตาสีเทาคู่นั้นของเขา ครูเกรมอสดูต่างออกไปจากเดิมมาก เขาใส่เสื้อคลุมสีเทายาวถึงเข่าและดึงฮู้ดขึ้นมาปิดหัวจนมิด เสื้อข้างในเป็นเหมือนเสื้อเชิ๊ตผ้าฝ้ายหยาบๆ สีเทาอ่อน กางเกงหนังสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าแบบสานด้วยไม้ไผ่ และมีไม้เท้าสีน้ำตาลซึ่งที่หัวมีเพชรสีมรกตฝังตัวอยู่ อันเดียวกับที่ผมเห็นเขาชักออกมาในสวนสัตว์เมื่อไม่นานมานี้ เขาดูสุขุมมากขึ้น ดูสง่างามมากขึ้น ผมคิดว่าครูเกรมอสดูเข้ากับชุดนี้มากกว่าเมื่อเทียบกับเสื้อเชิ๊ตตัวโคร่งทรงนักร้องฮิบฮอบที่เขาใส่ตอนครั้งแรกที่เราพบกัน
“นายลุกไหวไหม” แอสตร้าถามผม ก่อนที่เขาและอเล็กซ์จะค่อยๆพยุงผมขึ้น เมื่อผมได้มีโอกาสพิจารณาทุกคนอย่างมีสติแล้ว ถึงได้พบว่าทุกคนอยู่ในเครื่องแต่งกายที่ต่างออกไปจากครั้งล่าสุดที่ผมเห็นพวกเขามาก อเล็กซ์และแอสตร้า สวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายเหมือนครูเกรมอส แต่ต่างกันที่ของอเล็กซ์เป็นสีทอง และ ของแอสตร้านั้นเป็นสีดำ (ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาได้ใช่ไหมล่ะ) ทั้งคู่สวมกางเกงหนังสีน้ำตาลเข้มและมีเสื้อคลุมสีเทายาวถึงเข่า สวมรองเท้าที่ทำจากไม้ไผ่เช่นเดียวกัน ขณะที่ อาธีน่า อยู่ในสภาพที่ปกคลุมด้วยเสื้อเชิ๊ตผ้าฝ้ายสีขาว แบบผู้หญิงกรีกชั้นสูง กางเกงหนังสีน้ำตาลอ่อน และเสื้อคลุมสีเทา ให้ตายเถอะ ! เธอแต่งตัวเหมือนนาตาลีเป๊ะ
นาตาลี !! จริงสิ เธอเป็นใครกันนะ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่ หัวสมองผมแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ หัวใจของผมเหมือนถูกเจาะลมและแห้งเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผมนึกถึงใบหน้าของเธอตอนตกลงจากหลังของผมกลางอากาศ ความรู้สึกผิดและเกลียดชังตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเธอไว้ได้คอยเกาะกินจิตใจของผมอย่างไม่ปรานี ผมหลับตาลงโดยมีความหวังโง่ๆว่าภาพต่างๆจะเลือนหายไป แต่โชคคงไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่นักเพราะผมกลับรู้สึกแย่กว่าเดิม และเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจนกว่าตอนลืมตาเสียอีก ผมพยายามเบี่ยงเบนความเจ็บปวดจากความรู้สึกผิดต่างๆที่ถาโถมเข้ามาด้วยการเพ่งพิจารณาการแต่งองค์ทรงเครื่องของเหล่าพี่น้องของผมแทน อเล็กซ์คงสังเกตเห็นว่าผมจ้องเขาอยู่จึงกล่าวอย่างเขินอายนิดๆสไตล์ อเล็กซ์ (เชื่อสิว่า มันดูน่ารักแบบองอาจ จนอาจทำให้คุณอยากเป็นเกย์ได้เลยทีเดียว)
“เอ่อ..เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามน่ะ ครูเกรมอสว่าอย่างนั้นและ…ชั้นหวังว่านายจะชอบชุดที่ชั้นเลือกให้นะน้องชาย” ผมตกใจเล็กน้อยและรีบสำรวจตัวเอง ผมแต่งตัวเหมือนพวกเขาเปี๊ยบเพียงแต่เสื้อเชิ๊ตของผมเป็นสีน้ำเงินเข้มเหมือนท้องฟ้าเวลาเย็น
“ขอบใจ มันดู…เอ่อ…ทันสมัยดี” ผมกล่าวขึ้น
“ชั้นว่ามันดูดีกว่าเสื้อยืดเวลาปกติของนายเยอะเลยนะ” อาธีน่ากัดผมด้วยรอยยิ้ม และนั่นก็ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา แม้แต่ครูเกรมอสเอง (ผมแอบสงสัยว่าปกติตัวเองแต่งตัวแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ) พวกเราทั้งสี่คนมองหน้ากันและเข้าใจในความหมาย ถึงแม้พวกเราเพิ่งจะผ่านเรื่องแย่ๆที่เหลือเชื่อมา แต่ความผูกพันของพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเหล่านั้นเลย
“เอาล่ะเด็กๆ ในเมื่อเอโทสฟื้นแล้ว คงถึงเวลาที่ชั้นจะตอบคำถามที่พวกเธอสงสัยกันตั้งแต่มาถึงที่นี่สักทีนะ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องเร่งเดินทาง สถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยนัก”ครูเกรมอสหยุดไปชั่วขณะที่เขาพูดถึงเรื่องนี้
เอาจริงๆ ชั้นว่ามันแทบไม่เหลือที่ๆปลอดภัยสำหรับพวกเธอเลย ยกเว้นในค่ายของพวกเรา”
“ค่ายไหนครับครู” อเล็กซ์ถามขึ้น ในขณะที่แอสตร้าทำหน้าเซ็งเล็กน้อยที่ครั้งนี้เขาแย่งอเล็กซ์พูดไม่ทัน
“ค่ายของกองทัพกบฏ นำโดยองค์หญิง ซิลเวีย เดอร์ สวอร์น” ครูเกรมอสทำสีหน้าเคร่งเครียดที่สุดตั้งแต่ผมรู้จักเขามา
“กบฏเหรอคะ กบฏต่ออะไร ทำไมมันฟังดูไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย” อาธีน่าถามต่อด้วยความสงสัย
(ต่อ)
Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1) ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/30896118
ติดตามอ่านในบลอคของผมได้ที่ TomUdom.Bloggang.com นะครับ
4
เอโทส
การเดินทางกลับบ้าน…อาณาจักรแห่งผู้พ่ายแพ้
ในความฝันผมกำลังนั่งเครื่องบินอยู่ ผมมั่นใจมากว่าผมกำลังอยู่บนเครื่องบินถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อนก็ตามในชีวิตนี้ จากทิวทัศน์ที่ผมมองเห็น ณ ตอนนี้ ทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม และต้นไม้น้อยใหญ่ ทั้งต้นสน ปาล์ม โอลีฟ และอีกมากมายที่ผมเองก็ไม่รู้จัก พวกมันยืนตรงอย่างสง่างาม สลับกับภูเขาที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยไมล์ พื้นดินสีเขียวซึ่งมีสีขาวปะปนอยู่แผ่วบาง นี่คือช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิที่ซึ่งหิมะกำลังเก็บข้าวของกลับไปจำศีลต่ออีก 1 ปี
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมชอบการอยู่บนที่สูง บนนี้ผมรู้สึกได้ถึงความอิสระที่แล่นผ่านทุกอณูในร่างกาย มันเป็นความฝันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต และผมก็เริ่มหัวเราะออกมาอย่างไร้ความกังวลใดๆ ในโลก เหมือนมันมีเพียงแค่ผม และ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ อาณาจักรของผม
“ขำอะไรเหรอ เอโทส กำลังคิดถึงเรื่องโจแอนนาใช่ไหม” เสียงผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมดังขึ้น ในขณะที่เครื่องบินเบี่ยงเส้นทางไปทางขวา บินเรียบไปกับแนวสันเขาด้านข้าง ผมไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเธอนั่งอยู่ข้างๆผม เพราะมัวแต่ชื่นชมกับทิวทัศน์และธรรมชาติที่งดงาม ผมหันหน้ากลับไปหาเจ้าของเสียง แต่พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นนอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติอีกด้านหนึ่งที่ผมเพิ่งหันกลับมามอง อันที่จริงไม่มีแม้แต่ผนังเครื่องบิน ผู้โดยสาร แอร์โฮสเตส หรือ เก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ ทั้งหมดมีแค่ผมกับธรรมชาติสีเขียว
“แต่เราดีใจนะ ที่เห็นนายยิ้มและได้ฟังเสียงหัวเราะของนายอีก หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน…การสูญเสียมันคงทำให้นายเจ็บปวดจริงๆ แต่นายรู้ใช่ไหมว่าเราอยู่ข้างนายเสมอ” เสียงผู้หญิงคนนั้นล่องลอยมากับสายลมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเริ่มจับต้นชนปลายได้ ผมค่อยๆยกแขนซ้ายขึ้นอย่างลังเล ไม่กล้าที่จะมองมันเพราะกลัวความจริงที่ว่าสิ่งที่ผมคาดเดานั้นจะถูกต้อง แขนผมหนักขึ้นกว่าเมื่อก่อน รู้สึกถึงการออกแรงที่มากเกินไป กับเพียงการยกแขนเพียง 1 ข้างของตนเอง
โอ้ให้ตายสิ !! มันเป็นแบบที่ผมกังวลจริงๆ แขนของผมเปลี่ยนไป มันยาวและกว้างกว่าเดิมมาก น่าจะมีความกว้างประมาณ 2 ฟุต และยาวเกือบๆ 6 ฟุต แขนผมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง เหมือนไม้มะฮอกกะนีคุณภาพเยี่ยมในร้านเฟอร์นิเจอร์หรูหรา และมีเกร็ดเป็นริ้วๆ ซึ่งมีสีทองขลิบอยู่ที่ส่วนปลาย มันปลิวไสวตามสายลมอย่างสง่างาม ผมไม่มีนิ้วมือหลงเหลืออยู่แม้แต่นิ้วเดียว มีเพียงขนนกเรียวยาววางพาดต่อกัน มันไม่ใช่แขน มันคือปีก และผมไม่ได้กำลังนั่งอยู่ในเครื่องบิน แต่เป็นผมเองที่กำลังบินอยู่ ผมเป็น…เอ่อ…. นกอินทรียักษ์
“เอโทส อย่ายกปีกขึ้นแบบนั้นสิ นายทำเราเกือบร่วงลงไปเลยนะเมื่อกี้” ผู้หญิงคนนั้นยังคงพูดจากับผมอยู่ ผมพยายามหันกลับไปมอง และพบผู้หญิงหน้าตา อืมมม จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ มันคงต้องประมาณคำว่า โคตร-จะ-สวย เลยทีเดียว ผมของเธอเป็นสีดำมากๆ และถึงแม้จะไม่เท่ากับแอสต้าแต่มันก็มากพอที่จะเห็นดวงดาวประกายแสงอยู่บนเส้นผมของเธอได้เลยทีเดียว ใบหน้าของเธอเรียวยาวเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน เธอมีดวงตาสีฟ้าใส เหมือนวันที่อากาศน่าออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่สุดในโลก และรอยยิ้มของเธอก็ช่วยขับให้ใบหน้าของเธอประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งทำให้เธอสวยยิ่งขึ้นไปอีกหลายร้อยเท่า
เธอกำลังนั่งขัดสมาธิสบายๆอยู่บนหลังของผม แต่งกายด้วยชุดสีขาวคล้ายๆพวกผู้หญิงชั้นสูงชาวกรีกสวมใส่ ซึ่งเข้ากันเป็นอย่างดีกับกางเกงหนังสีน้ำตาลอ่อนของเธอ ที่เอวมีกริชสีขาวยาวเสียบอยู่ในฟักซึ่งประดับประดาไปด้วยอัญมณีสีน้ำเงินบริเวณด้าม และมีธนูกับกระบอกธนูสีเดียวกันพาดไว้ที่ไหล่ของเธอ
“อ่า…เอ่อ…เธอ…โว้ว..สวย…จัง…คือแบบว่ามันไม่ใช่แบบนั้น…แต่ก็เออประมาณนั้น…นะ”
เยี่ยมจริงๆ !! ผมคิด วันที่ดีที่สุดกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยเห็นกำลังจะหมดไปด้วยคำพูดของผมโง่ๆของผม ทำไมถึงไม่ให้โอกาสผมได้เตรียมตัวก่อนจะเจอเธอนะ แล้วก็เฮ้ ! ในเมื่อผมเป็นนกอินทรีย์ ตอนนี้ผมใส่เสื้อผ้าอยู่รึเปล่าเนี่ย
“เป็นอะไรไป เอโทส” เธอหัวเราะออกมา ทำให้ผมหมดโอกาสในการค้นหาคำตอบเรื่องเสื้อผ้าของผมไปโดยปริยาย
“นายตลกจังนะวันนี้…น่ารักดี เราเพิ่งเคยเห็นนายเป็นแบบนี้ครั้งแรกเลยนะ…รู้ไหมเรากำลังคิดว่าพวกเรามีเวลาเกือบชั่วโมงก่อนประชุมการศึกครั้งต่อไป พวกเราไปที่นั่นกันไหม…เรา 2 คนเหมือนตอนนั้น…และ…เฮ้ ระวัง !!”
อะไรสักอย่างชนผมเข้าอย่างจัง และผมรู้เลยว่าผมกำลังดิ่งลงสู่พื้นด้วยความเร็ว 1,031 กม. ต่อชั่วโมงที่ความสูง 874 เมตรจากระดับทะเล แล้วทำไมผมถึงต้องรู้ละเอียดขนาดนี้ด้วยเนี่ย !
“เอโทส !!” เสียงเธอเรียกหาผมอย่างตื่นตระหนก ขณะที่เธอหลุดจากหลังของผมและพุ่งตกลงไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ใจของผมตีบตัน ผมปล่อยให้เธอตกลงไปไม่ได้ ผมปล่อยให้เธอตายไม่ได้... ไม่ได้เด็ดขาด ผมรวบปีกเข้าชิดลำตัวตามสัญชาติญาณและพุ่งตามเธอลงไป
“นาตาลี…ไม่” ทั้งผมและเธอจมหายไปในท้องฟ้าที่เลือนลางหายไปกับหมู่เมฆนับร้อยนับพันที่รายล้อมร่างกายของพวกเรา
“เอโทส..เอโทส นายได้ยินชั้นรึเปล่า” ผมรู้สึกได้ว่ามีมือสองข้างกำลังเขย่าตัวผมอยู่ หัวผมมึนงงไปหมด เหมือนเพิ่งไปนั่งอยู่บนรถไฟเหาะมาสักครึ่งวันเห็นจะได้ ผมพยายามจะลืมตาขึ้นแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ในเมื่อเวลานี้กำลังมีกาแล็กซี่กำเนิดใหม่พร้อมดาวเคาระห์อีกสัก 1,000 ดวง กำลังโคจรอยู่รอบๆเบ้าตาของผม
“นาตาลี…” ผมพยายามหนักขึ้นที่จะลืมตาเพื่อมองดูนาตาลีอีกครั้งว่าเธอปลอดภัยหรือไม่ ผมเป็นฮีโร่ที่ช่วยชีวิตเธอได้สำเร็จ หรือเป็นแค่ไอ้งั่งสีน้ำตาลที่บินได้ด้วยปีกโง่ๆคู่หนึ่ง
“นาตาลี…ใครเหรอเอโทส ? นี่ชั้นอาธีน่า น้องสาวของนายไง” ผู้หญิงผมยาวซึ่งมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะเป็นสีส้ม ใบหน้าเรียวบางของเธอกำลังจ้องมองผมด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างที่สุด อาธีน่านั่นเอง ผมพบว่าผมกำลังนอนอยู่บนตักของเธอ โดยมีอเล็กซ์คุกเข่าด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ข้างๆ ผมค่อยๆชันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งก็พอดีกับจังหวะที่แอสตร้าวิ่งกลับมาพร้อมกระบอกใส่น้ำที่เขาเพิ่งไปตักมาจากแม่น้ำสายข้างๆ
“นายเป็นอะไรไหม” อาธีน่ายังคงซักไซร้ผมต่อด้วยความห่วงใย ผมอยากจะตอบเธอว่าผมโอเคดี ถ้าไม่นับอาการอยากจะอาเจียนตลอดเวลา อย่างน้อยอวัยวะผมก็ยังครบถ้วน (หรือว่าไม่ ! ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ) แต่ก็คอแห้งเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมาเสียด้วยซ้ำ ผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะดื่มน้ำที่แอสตร้านำมาให้ไปหลายอึก พร้อมๆกับสำรวจบรรยากาศรอบๆตัวแทน
รอบบริเวณพวกเราปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม และต้นไม้น้อยใหญ่ ทั้งต้นสน ปาล์ม โอลีฟ และอีกมากมายที่ผมเองก็ไม่รู้จัก พวกมันยืนตรงอย่างสง่างาม สลับกับภูเขาที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยไมล์ เหมือนในฝันของผมไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันแค่ตอนนี้ไม่มีพื้นดินสีขาว มันยังคงเป็นพื้นดินสีเขียวชอุ่มด้วยใบหญ้า ผมรู้ได้ลึกๆว่าที่นี่คือสถานที่เดียวกันกับความฝันเมื่อกี้นี้ เพียงแต่ต่างกันที่เวลา แล้วมันเป็นเวลาไหนกันล่ะ ก่อนหน้าเหตุการณ์กับนาตาลี หรือ เรื่องราวเหล่านั้นยังเป็นเพียงอนาคตที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่มี 2 สิ่งที่ผมรู้อย่างแน่ชัด เรื่องแรกคือเหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นในอดีตที่ผ่านมาหรืออนาคตที่กำลังจะมาถึงก็ตาม และอีกเรื่องที่ผมมั่นใจยิ่งกว่าคือ ผมหลงรักนาตาลีเข้าเต็มๆ
“เราอยู่ที่ไหน” ผมถามขึ้นในที่สุด
“พวกเราอยู่ในอาณาจักรแห่งผู้พ่ายแพ้…หรือจะให้เรียกให้ถูกจริงๆคือพวกเราอยู่ในดินแดนที่ให้กำเนิดพวกเรา….ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เอโทส” เสียงของชายชราที่ฟังคุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลังผม ผมหันกลับไปและเห็นครูเกรมอสยืนอยู่ตรงนั้น
“ครูเกรมอส ! ครูยังไม่ตาย” ไม่รู้ทำไมแต่ผมก็ดีใจจริงๆที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น มันเหมือนกับเขาเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ห่วงใยเราจริงๆ และเพิ่งกลับมาเยี่ยมในวันคริสต์มาสพร้อมกับของขวัญห่อใหญ่
“สวัสดีอีกครั้งเด็กน้อย..ข้าจะถือว่าคำพูดของเจ้าเป็นคำชมละกันนะ” ครูเกรมอสพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลซึ่งหลบซ่อนอยู่ในดวงตาสีเทาคู่นั้นของเขา ครูเกรมอสดูต่างออกไปจากเดิมมาก เขาใส่เสื้อคลุมสีเทายาวถึงเข่าและดึงฮู้ดขึ้นมาปิดหัวจนมิด เสื้อข้างในเป็นเหมือนเสื้อเชิ๊ตผ้าฝ้ายหยาบๆ สีเทาอ่อน กางเกงหนังสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าแบบสานด้วยไม้ไผ่ และมีไม้เท้าสีน้ำตาลซึ่งที่หัวมีเพชรสีมรกตฝังตัวอยู่ อันเดียวกับที่ผมเห็นเขาชักออกมาในสวนสัตว์เมื่อไม่นานมานี้ เขาดูสุขุมมากขึ้น ดูสง่างามมากขึ้น ผมคิดว่าครูเกรมอสดูเข้ากับชุดนี้มากกว่าเมื่อเทียบกับเสื้อเชิ๊ตตัวโคร่งทรงนักร้องฮิบฮอบที่เขาใส่ตอนครั้งแรกที่เราพบกัน
“นายลุกไหวไหม” แอสตร้าถามผม ก่อนที่เขาและอเล็กซ์จะค่อยๆพยุงผมขึ้น เมื่อผมได้มีโอกาสพิจารณาทุกคนอย่างมีสติแล้ว ถึงได้พบว่าทุกคนอยู่ในเครื่องแต่งกายที่ต่างออกไปจากครั้งล่าสุดที่ผมเห็นพวกเขามาก อเล็กซ์และแอสตร้า สวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายเหมือนครูเกรมอส แต่ต่างกันที่ของอเล็กซ์เป็นสีทอง และ ของแอสตร้านั้นเป็นสีดำ (ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาได้ใช่ไหมล่ะ) ทั้งคู่สวมกางเกงหนังสีน้ำตาลเข้มและมีเสื้อคลุมสีเทายาวถึงเข่า สวมรองเท้าที่ทำจากไม้ไผ่เช่นเดียวกัน ขณะที่ อาธีน่า อยู่ในสภาพที่ปกคลุมด้วยเสื้อเชิ๊ตผ้าฝ้ายสีขาว แบบผู้หญิงกรีกชั้นสูง กางเกงหนังสีน้ำตาลอ่อน และเสื้อคลุมสีเทา ให้ตายเถอะ ! เธอแต่งตัวเหมือนนาตาลีเป๊ะ
นาตาลี !! จริงสิ เธอเป็นใครกันนะ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่ หัวสมองผมแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ หัวใจของผมเหมือนถูกเจาะลมและแห้งเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผมนึกถึงใบหน้าของเธอตอนตกลงจากหลังของผมกลางอากาศ ความรู้สึกผิดและเกลียดชังตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเธอไว้ได้คอยเกาะกินจิตใจของผมอย่างไม่ปรานี ผมหลับตาลงโดยมีความหวังโง่ๆว่าภาพต่างๆจะเลือนหายไป แต่โชคคงไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่นักเพราะผมกลับรู้สึกแย่กว่าเดิม และเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจนกว่าตอนลืมตาเสียอีก ผมพยายามเบี่ยงเบนความเจ็บปวดจากความรู้สึกผิดต่างๆที่ถาโถมเข้ามาด้วยการเพ่งพิจารณาการแต่งองค์ทรงเครื่องของเหล่าพี่น้องของผมแทน อเล็กซ์คงสังเกตเห็นว่าผมจ้องเขาอยู่จึงกล่าวอย่างเขินอายนิดๆสไตล์ อเล็กซ์ (เชื่อสิว่า มันดูน่ารักแบบองอาจ จนอาจทำให้คุณอยากเป็นเกย์ได้เลยทีเดียว)
“เอ่อ..เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามน่ะ ครูเกรมอสว่าอย่างนั้นและ…ชั้นหวังว่านายจะชอบชุดที่ชั้นเลือกให้นะน้องชาย” ผมตกใจเล็กน้อยและรีบสำรวจตัวเอง ผมแต่งตัวเหมือนพวกเขาเปี๊ยบเพียงแต่เสื้อเชิ๊ตของผมเป็นสีน้ำเงินเข้มเหมือนท้องฟ้าเวลาเย็น
“ขอบใจ มันดู…เอ่อ…ทันสมัยดี” ผมกล่าวขึ้น
“ชั้นว่ามันดูดีกว่าเสื้อยืดเวลาปกติของนายเยอะเลยนะ” อาธีน่ากัดผมด้วยรอยยิ้ม และนั่นก็ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา แม้แต่ครูเกรมอสเอง (ผมแอบสงสัยว่าปกติตัวเองแต่งตัวแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ) พวกเราทั้งสี่คนมองหน้ากันและเข้าใจในความหมาย ถึงแม้พวกเราเพิ่งจะผ่านเรื่องแย่ๆที่เหลือเชื่อมา แต่ความผูกพันของพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเหล่านั้นเลย
“เอาล่ะเด็กๆ ในเมื่อเอโทสฟื้นแล้ว คงถึงเวลาที่ชั้นจะตอบคำถามที่พวกเธอสงสัยกันตั้งแต่มาถึงที่นี่สักทีนะ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องเร่งเดินทาง สถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยนัก”ครูเกรมอสหยุดไปชั่วขณะที่เขาพูดถึงเรื่องนี้
เอาจริงๆ ชั้นว่ามันแทบไม่เหลือที่ๆปลอดภัยสำหรับพวกเธอเลย ยกเว้นในค่ายของพวกเรา”
“ค่ายไหนครับครู” อเล็กซ์ถามขึ้น ในขณะที่แอสตร้าทำหน้าเซ็งเล็กน้อยที่ครั้งนี้เขาแย่งอเล็กซ์พูดไม่ทัน
“ค่ายของกองทัพกบฏ นำโดยองค์หญิง ซิลเวีย เดอร์ สวอร์น” ครูเกรมอสทำสีหน้าเคร่งเครียดที่สุดตั้งแต่ผมรู้จักเขามา
“กบฏเหรอคะ กบฏต่ออะไร ทำไมมันฟังดูไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย” อาธีน่าถามต่อด้วยความสงสัย
(ต่อ)