Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1) ตอนที่ 6

กระทู้สนทนา

6


อาธีน่า


ความตายของอเล็กซ์


    ฉันไม่รู้สึกถึงอะไรเลย…นั่นคือความคิดที่ตอกย้ำตลอดกว่า 10 นาทีที่ฉันพยายามดูดกลืน ดูดดื่ม หรืออะไรก็ตามแต่กับธรรมชาติรอบตัวตามที่ครูเกรมอสแนะนำ หลังจากความพยายามอย่างหนักหลายชั่วโมงของพวกเราเมื่อคืนนี้ ก็ยังไม่มีใครประสบผลสำเร็จในการเปลี่ยนร่างจากร่าง Mortal เป็นร่างสัตว์สักคนเดียว (แม้แต่คนที่ฉลาดหลักแหลมอย่างฉันก็เถอะ) จนครูเกรมอสสรุปความว่า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอาจส่งผลต่อสมาธิในการเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติของพวกเรา และตัดสินใจให้เรานอนพักเอาแรงก่อนจะเริ่มบทเรียนอีกครั้งในตอนเช้า
    
พวกเราจุดกองไฟไว้อ่อนๆ เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายแต่ก็ระวังไม่ให้ไฟลุกแรงเกินไป เพราะกลัวฝูงหมาป่าหรือสัตว์นักล่ายามกลางคืนจะสังเกตุเห็นและมาขโมยขาสักข้างของพวกเรา เรานอนหันหลังชนกันเป็นวงกลมล้อมรอบกองไฟโดยมีครูเกรมอสเป็นผู้อาสาเฝ้ายามกะแรกและหลังจากตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศหนาวและทะเลหมอกโดยมีต้นไม้นานาพันธุ์บรรเลงเพลงพร้อมกับสายลมประหนึ่งวงออเคสตร้าวงใหญ่ ฉันต้องยอมรับว่ารู้สึกสดชื่นเหมือนเพิ่งตื่นจากโรงแรมห้าดาวเลยทีเดียว
    
หลังอาหารเช้าซึ่งประกอบด้วยเมนูอาหารชุดเดิมกับอาหารเย็น (น่าเบื่ออสุดๆ) ครูเกรมอสก็เริ่มอธิบายวิธีการแปลงร่างกลับเป็น Half-caste อีกครั้ง  

“พวกเจ้าทั้ง 4 ต้องเปิดใจรับธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจ จงขจัดความสงสัยในตัวเองและในเรื่องราวที่ได้ฟังมาทั้งหมด เชื่อและศรัทธา” ครูเกรมอสกล่าวก่อนจะนั่งลงพิงต้นสนต้นใหญ่พรางควักเอาไปป์แท่งยาวออกมาจากเสื้อโค้ทตัวยาวและเริ่มสูบอย่างสบายอารมณ์ขณะเฝ้าดูความพยายามที่สูญเปล่าของพวกเรา


อย่างที่ฉันบอกไปข้างต้น หลังจากพยายามอยู่นานฉันก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลย….อเล็กซ์ เอโทสและแอสตร้าสมกับที่เป็นพี่น้องของฉัน เพราะพวกเขาดูเหมือนรูปปั้นของเด็กหนุ่มที่หลับตาปี๋ ใบหน้ามีแต่ความเครียด และกังวลใจ มือสองข้างกำไว้ข้างลำตัว เหงื่อไหลย้อยตามแก้มทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น เหมือนคนกำลังกลัวเข็มฉีดยายังไงยังงั้น และแน่นอนไม่มีท่าทีของโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการแปลงร่างสักเพียงหนึ่งเปอร์เซนต์
    

ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าทำไมครูเกรมอส ฟรอส หรือแม้แต่เธซีอุสถึงได้แปลงร่างกันได้ง่ายดายขนาดนั้น และถึงแม้อากาศยามเช้าจะหนาวเย็นแต่เหงื่อก็เริ่มไหลชื้นลงมาตามหน้าผากและแก้มของฉันอย่างไม่หยุดหย่อน ความตึงเครียดและความกดดันรวมถึงกลิ่นน่าสำลักจากไปปน์ของครูเกรมอสทำให้ฉันมึนหัว ตาพร่า และเริ่มเหมือนจะเป็นลม

“น้ำ”

ฉันคิด ใช่ฉันต้องการน้ำเดี๊ยวนี้เลยถ้าไม่อยากเป็นสาวน้อยเข่าอ่อนที่เป็นลมสลบลงหน้าชายชราดูดกระบอกยาสูบ ฉันตัดสินใจเลิกการฝึกชั่วคราวโดยไม่ขออนุญาติจากครูเกรมอส เดินจ้ำอ้าวไปที่แม่น้ำที่ทอดตัวยาวอยู่ด้านข้าง ตวัดน้ำล้างหน้าและดื่นกินอย่างยกใหญ่ก่อนจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายอีกครั้ง

มันสบายและรู้สึกดีจริงๆ ฉันชอบน้ำและความรู้สึกของการสัมผัสกับมันเสมอ จิตใจของฉันเริ่มสงบและเยือกเย็นขึ้น เหงื่อไคลหายไป กลิ่นของยาสูบจากครูเกรมอสดูจะเจือจางลงเหมือนเขานั่งสูบไปปน์อยู่บนภูเขาอีกลูก ฉันค่อยๆหลับตาลงเพื่อดื่มด่ำกับความรู้สึกแสนสบายนี้ สูดหายใจลึกเพื่อรับอกาศเย็นยามเช้าเข้าปอด
    
นั่นแหละคือตอนที่ฉันเริ่มรู้สึก ! อยู่ๆความเย็นในตัวก็แผ่ซ่านไปทั่วรางกาย เหมือนสายน้ำไหลเข้าสู่เส้นเลือด มันหดตัว ขยายออก แล้วพุ่งพล่านไปทั่วจากสมองจนถึงปลายเล็บเท้า ฉันรู้สึกหนาวไปทั้งตัวขณะเดียวกันก็เริ่มแน่นหน้าอกและรู้สึกร้อนผ่าวทั้งๆที่ก็รู้สึกหนาวไปในเวลาเดียวกัน ฉันลืมตาขึ้นแต่กลับเห็นแต่ความมืด และขณะพยายามร้องให้ช่วยแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากปาก เข่าเริ่มหมดแรงและฉันรู้ตัวว่ากำลังลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น ได้ยินเสียง พี่ๆกำลังเรียกหาด้วยความตกใจ และได้ยินครูเกรมอสห้ามปรามพวกเค้าโดยบอกว่าอาธีน่ากำลังจะทำสำเร็จ นี่เป็นอาการของผู้ที่เพิ่งแปลงร่างเป็นครั้งแรก
    
ถ้าการแปลงร่างต้องทรมานขนาดนี้ ฉันขอกลับไปเป็นเด็กสาววัย 16 ปีธรรมดาที่อยู่ในโรงเรียนประจำสัปปะรังเคดีกว่า แต่ฉันเดาว่าฉันคงเลือกไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนี้ฉันสัมผัสได้ถึงขาทั้ง 2 ข้างที่กำลังยืดยาวออกไป ไม่สิ แขนของฉันด้วย ผมของฉันยาวขึ้นและพันกันยั้วเยี้ยกระเซ็นเข้าปากของฉันตามแรงลมอย่างไม่หยุดหย่อน หน้าอกและแผ่นหลังขยายตัวออก ปากก็ดูจะยื่นออกมามากขึ้น ให้ตายเถอะชั้นเป็นตัวอะไรเนี่ย มันต้องน่าเกลียดมากแน่ๆ
    
และหลังจากความรู้สึกทรมานสุดประหลาดเพียง 1 นาทีซึ่งฉันรู้สึกนานเหมือน 1 ทศวรรษเต็มๆ       ตาของฉันก็ค่อยๆเริ่มมองเห็นอย่างช้าๆ จากภาพที่พร่ามั่ว ก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น ชัดขึ้น ชัดมาก มากจนฉันว่ามันมากเกินไป ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าสายตาครบกริบ การมองต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าไม่ใช่เพียงการมองใบไม้และลำต้นตั้งตรงของมันเท่านั้น แต่ฉันสามารถมองเห็นลึกลงไปถึงเส้นใบแต่ละเส้น มดแต่ละตัวที่กำลังออกเดทกันบนผิวใบ หยดน้ำทุกหยด และสายลมทุกสายที่ปลิวผ่านใบไม้ใบน้อยไปในแต่ละครั้ง ฉันค่อยๆชันตัวลุกขึ้น รู้สึกว่ายืนได้อย่างยากลำบาก แขนทั้ง 2 ข้างไม่ทำตามของคำสั่งฉันเสียเลย ขณะพยายามยกมันขึ้นเพื่อดันตัวจากพื้นก็พบว่ามันหนักมากและนิ้วก็ขยับไม่ได้ดั่งใจ ตรงกันข้ามฉันกลับรู้สึกว่าการชันตัวเองให้ยืนสี่ขากลับทำได้ง่ายกว่าเยอะ

ในที่สุดหลังจากพยายามเพิ่มขึ้นฉันก็ชันตัวเองให้อยู่ในท่ายืนได้ แต่ให้ตายสิ มันไม่ใช่การยืน 2 ขาอีกต่อไป หากแต่เป็นการยืน 4 ขา นิ้วทั้งหมดหายไปเหลือเพียงกีบขา 4 ข้าง สีน้ำตาลอ่อนเกือบทอง ผมของฉันพันกันยุ่งเหยิง มันยังคงเป็นสีน้ำตาลเกือบส้มแต่ขณะนี้มันเหมือนมีชีวิตของตนเองและกำลังเต้นรำอยู่ด้านหลังหลังตั้งแต่ท้ายทอยจรดบั้นท้าย มันไม่ใช่ผมอีกต่อไป แต่เป็นแผงคอที่ลุกโชนเหมือนเปลวเพลิง
ร่างกายฉันเป็นสีขาวโพลน สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า กำยำและแข็งแรง โอ้ไม่นะ ! ฉันเป็น…
“ม้า” แอสตร้าพูดออกมาก่อนฉันจะทันนึกซะอีก เขาดูทึ่งไม่ต่างจาก อเล็กซ์และเอโทสที่กำลังอ้าปากค้าง ดาวงตาลุกวาว แต่คนที่อึ้งที่สุดกลับเป็นคนที่ฉันคิดว่าจะอึ้งน้อยที่สุด……ครูเกรมอส
    
ครูเกรมอสเบิ่งตาโตจนแว่นของเค้าแทบจะระเบิดออกมา อ้าปากค้างชนิดหมดมาดครูผู้ทรงภูมิและน่าเกรงขาม ตั้วสั่นเทิ้ม ปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดแต่พูดไม่ออก
“อะไรเหรอคะครู” ฉันส่งกระแสจิตไปหาเขาและพี่ๆทุกคน ซึ่งทำได้ง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้มาก ครูเกรมอสยังจ้องฉันไม่กระพริบก่อนจะค่อยๆเอ่ยปาก

”เป็นไปไม่ได้….อาธีน่า เป็นไปไม่ได้ สวรรค์โปรด…เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” สายตาของเขาดูเศร้าจนจับจิต มันเศร้ากว่าตอนที่เขาเล่าเรื่องราวการถูกขับไล่จากโลกมนุษย์หลายเท่า ถ้าคุณอยากเห็นเต่าร้องไห้ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดในชีวิตของคุณละ
    
“ทำไมครับครู…อาธีน่าทำไม” อเล็กซ์ปราดเข้าหาครูเกรมอส มือทั้งสองข้างจับคอปกเสื้อของครูเอาไว้คล้ายจะคาดคั้น จนแอสตร้าและเอโทสต้องเข้าไปห้าม “เกิดอะไรขึ้น…อาธีน่าเป็นม้าแล้วทำไมครูต้องตกใจขนาดนั้น” อเล็กซ์ยังคาดคั้นครูเกรมอสต่อไป ฉันอดรู้สึกประทับใจกับความห่วงใยที่พี่ชายคนนี้มอบแก่ฉันไม่ได้จริงๆ แต่ปากก็พูดไม่ออก (อันที่จริงต้องบอกว่าพูดไม่ได้เลยมากกว่า เพราะทุกครั้งที่ฉันพยายามจะพูด มันก็จะออกมาประมาณว่า ฮี้ๆๆฮี้ๆ อะไรประมาณนั้น) ครูเกรมอสเบือนหน้าหนีก่อนจะค่อยๆตอบออกมา “อาธีน่า…เธอคือ อลาสติน ม้าปีศาจในตำนานโบราณ”
    
หากคุณกำลังคิดว่า ม้าในตำนาน คือม้าสวยๆ เท่ๆ ที่มีเขางอกออกมาจากหน้าผากหรือมีปีกคู่งามใช้โบยบินบนท้องนภา คุณกำลังคิดผิดอย่างแรง ! เพราะหลังจากทุกคน (รวมถึงฉัน) สงบสติอารมณ์ได้แล้ว เรื่องราวของเจ้าม้าอลาสติน ในตำนานนี้ ก็ไม่ชวนให้รู้สึกดีหรือมีความหวังขึ้นมาเลย

“ม้าอลาสติน คือม้าปีศาจโบราณ หลายพันปีแล้วที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมัน แต่ตามตำนานได้เล่าขานไว้ว่าทุกๆคืนมันจะออกมาวิ่งโลดแล่นในป่าใกล้กับหมู่บ้านของมนุษย์ ความสง่างามและสวยงามคือกับดักที่มันใช้ล่อให้มนุษย์ที่พบเห็นทุกคนให้ต้องหลงไหลและอยากจะได้ลองขี่มันสักครั้งและนั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาผู้นั้นจะได้ทำในชีวิต…..หลังจากขึ้นขี่เจ้าม้าอลาสตินแล้ว มันจะพาเขาควบลึกเข้าไปในป่า ว่ากันว่าขณะที่ควบมันอยู่นั้นจะรู้สึกทรงพลังและไม่เกรงกลัวสิ่งใด โลกมีแต่สีสันและความสวยงาม ความสุขที่ไม่มีวันจะหาได้จากที่ไหน แต่เมื่อค้นพบตัวเองว่าอยากจะลงจากหลังมัน นั่นล่ะถึงจะพบว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว….ม้าอลาสตินจะพาเหยื่อของมัน ควบลงไปในแม่น้ำและจับเขาผู้นั้นกินเป็นอาหาร ”

เงียบกันไปพักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไร ฉันเห็นเพียงสายตาเจ็บปวดของพี่ๆ และรู้ว่ามันเป็นสายตาแบบเดียวกันกับฉัน

“มีทางแก้ไขอะไรไหมครับ คือผมหมายความว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ อาธีน่าไม่ใช่คนอย่างนั้น” เอโทสพูดขึ้นในที่สุด
“ชะตาลิขิตมาแล้วเด็กเอ๋ย จากที่ฉันเห็นอาธีน่าตอนนี้มีลักษณะตรงตามที่ตำนานเล่าทุกประการ” ครูเกรมอสตอบเรียบๆ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม ปกติฉันก็เป็นภาระต้องคอยให้พี่ๆปกป้องดูแลอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันยังเพิ่มภาระให้พวกเขาด้วยการมีน้องสาวเป็นปีศาจ

“แสดงว่าหนูไม่ใช่ทายาทที่ชอบธรรมตามคำทำนายใช่ไหมคะ” ฉันถามขึ้นเบาๆ ครูเกรมอสจ้องมองฉันด้วยสายตาเห็นใจ เขาเดินมาลูบแผงคอของฉันเหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบเด็กขี้แยคนหนึ่ง

“อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ ข้าคงให้คำตอบเจ้าไม่ได้ แต่ข้าเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเจ้า…พวกเจ้าทั้ง 4 คน เขาพูดพร้อมกวาดสายตามองมาที่พวกเราทุกคนอย่างเชื่อมั่น ข้าเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลที่เจ้าจึงเป็นทายาทของม้าอลาสติน เราจะไปหาผู้ให้คำตอบแก่เจ้าได้…เฮลก้า โพมีทีอุส”
    
ทุกคนรวมถึงฉันดูจะโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย ครูเกรมอสพูดถูกที่ว่ามันต้องมีเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงต้องเป็นสัตว์ชั่วร้ายสุดๆในตำนาน ขณะที่พี่ๆได้เป็นสัตว์เท่ห์ๆมากมาย หรือความจริงจิตใจของฉันมันชั่วร้ายกันแน่นะ ฉันยอมรับว่าอิจฉาเด็กผู้หญิงคนอื่นที่มีพ่อแม่ให้รักและมอบความรักให้ มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ มีอาหารดีๆให้กิน ที่สำคัญมีอ้อมกอดอันอบอุ่นให้สัมผัสทุกคืน ฉันยอมรับว่าเคยอยากจะระเบิดโลกให้เป็นเสี่ยงๆเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในชีวิต แต่นั่นมันก็แค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น ฉันไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าความจริงฉันอาจจะอยากทำแบบนั้นจริงๆก็ได้

ครูเกรมอสให้ฉันลองแปลงร่างกลับเป็นคนเหมือนเดิม ซึ่งปรากฏว่าทำได้อย่างง่ายดาย ฉันกลับมาเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 16 ที่ผอมเพรียว หน้าเรียวเล็กและมีผมยาวสีน้ำตาลเกือบส้มอีกครั้ง ฉันกำลังจะเดินไปหาพี่ๆก่อนจะพบว่าตนเองเข่าอ่อน รู้สึกหมดแรงและตกลงสู่อ้อมแขนของครูเกรมอสที่ดูจะเตรียมพร้อมอยู่แล้ว

“ผลข้างเคียงของการแปลงร่างครั้งแรกน่ะ” เขาพูดขึ้นก่อนจะขยิบตาให้พวกเราที่เหลือ

“ฉันว่าเราควรหยุดการฝึกแปลงร่างไว้ก่อน และเร่งเดินทางไปหาเฮลก้า โพมีทีอุสดีกว่า” ครูเกรมอสพูดจบจึงค่อยๆวางฉันลงนั่งพิงกับต้นสนอย่างนุ่มนวล “เราจะเดินทางทันทีที่อาธีน่าพร้อมและ….” ครูเกรมอสหยุดพูดกระทันหัน สายตาคมกริบจ้องไปที่ขอบฟ้าระยะไกล ฉันและพี่ๆมองตามเขา

“นั่นอะไรน่ะ” แอสตร้าถามด้วยความตระหนก บอกตรงๆฉันว่ามันก็ตอบยากว่ามันคืออะไร มันดูเหมือนกลุ่มก้อนเมฆสีดำขนาดใหญ่ กำลังลอยมาด้วยความเร็ว

“เมฆฝนรึเปล่า” อเล็กซ์ถามขึ้น

“ไม่…มันไม่ใช่เมฆฝน” ฉันตอบด้วยความยากลำบาก เนื่องจากไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด แต่ก็ต้องพูดเพราะฉันรู้สึกได้ถึงความอันตรายที่มาพร้อมกับพวกมัน “เมฆฝนไม่ลอยทวนลม”

ครูเกรมอสจ้องพวกมันอยู่แว่บหนึ่งก่อนตะโกนลั่น “นกเงือก !! อันตรายหลบเร็ว”
    
ฉันคิดว่าจะได้ยินคำว่า พายุไซโคลน อีแร้ง  หรือแม้แต่สปาเก๊ตตี้เส้นดำหรืออะไรก้ตามที่น่ากลัวว่านี้ แต่ นกเงือกเนี่ยนะ มันดูเอ่อ…น่ารักเกินสำหรับอันตรายและการหลบหนี ครูเกรมอสรีบดึงแท่งไม้ของเขาออกมา สบัดจนกลายเป็นไม้เท้ายาวเตรียมพร้อมต่อสู้ ขณะที่ฉันและพี่ๆคนอื่นยังคงนิ่ง และสับสนว่านกเงือกอันตรายตรงไหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่