ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30864711
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/30896065
ติดตามอ่านในบลอคของผมได้ที่ TomUdom.Bloggang.com นะครับ
3
แอสตร้า
บทสนทนากับแฟนสาวของสไปเดอร์แมน
ผมยังคงสับสนอยู่ว่าบทลงโทษของพวกเราเกี่ยวข้องกับสวนสัตว์ตรงไหน บางทีครูเกรมอสอาจจะให้เราบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ด้วยการเช็ดก้นจระเข้ บริจาคอวัยวะให้กับหมีขั้วโลกใกล้ตาย หรืออาจจะแย่ขนาดให้เราใส่ตัวมาสคอตน่าเกลียดๆมาหยอกล้อเล่นกับพวกเด็กๆก็เป็นได้ แต่กระนั้นเมื่อพวกเรามาถึงสวนสัตว์แห่งนี้โดยการโดยสารรถยนต์บีเทิ้ลรุ่น…เอ่อ…คงต้องบอกว่ารุ่น โ-ค-ต-ร-จะ-เก่า ของครูเกรมอส ที่มีระบบเบรกดีเยี่ยมที่สุดในโลก และมีควันขโมงเป็นของแถมทุกครั้งที่เข้าเกียร์ว่าง ความสับสนต่างๆของผมก็มลายหายไปโดยมีความตื่นตาตื่นใจเข้ามาแทนที่…นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ออกมาข้างนอกโรงเรียนเลย
มันยากที่จะบรรยายว่าสวนสัตว์ประจำเมืองที่พวกเราอยู่นั้น ใหญ่โต อลังการ หรือเล็กจิ๋วกันแน่ เพราะผมเองก็ไม่เคยไปสวนสัตว์มาก่อนในชีวิต จริงๆแล้วควรเรียกว่าผมไม่เคยไปไหนเลยนอกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้กับโรงเรียนประจำ The Cringle Colonial school บ้านหลังที่ 2 ในชีวิตผม (ถ้าผมสามารถเรียกมันว่าบ้านได้น่ะนะ)
สวนสัตว์แห่งนี้มีลักษณะเหมือนไม้กางเขน คือมีพื้นที่เป็นรูปตัว T ประดับประดาด้วยต้นไม้และพืชพรรณนานาชนิดซึ่งถูกยกมาตกแต่งให้ปกคลุมตลอดทางเดินที่ทอดยาวออกไป สัตว์นานาชนิดถูกจัดวางอย่างเป็นระบบอยู่ภายในกรงขัง ซึ่งตั้งยาวกันไปเป็นโซน ไล่ลำดับไปตั้งแต่พวกสัตว์ขนาดเล็ก จนถึงสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยสัตว์ปีกอีกหลายโหล
ตลอดเวลากว่า 2 ชม. ตั้งแต่พวกเรามาถึง ครูเกรมอสทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำทาง อาจารย์ และมัคกุเทศน์ประจำสวนสัตว์ไปในเวลาเดียวกัน เขาเชี่ยวชาญในความรู้เกี่ยวกับสรรพสัตว์มาก ขนาดที่รู้ว่าอุจจาระของจระเข้มีสีเหลืองอมเขียว (อาธีน่าดูอยากจะอาเจียนตอนที่ครูเกรมอสบรรยายถึงจุดนั้นและผมก็แอบกังวลขึ้นมาจริงจังว่าครูจะให้เราเช็ดก้นจระเข้จริงๆ) จนผมมั่นใจว่าเขาต้องเคยทำงานที่นี่มาก่อน หรือไม่ก็ต้องเคยเป็นนายพรานล่าสัตว์กลับใจหรือตกงานอะไรทำนองนั้น อย่างไรก็ดีถ้าไม่นับเรื่องอุจจาระจระเข้แล้ว วันนี้เป็นวันที่ผมและพี่น้องของผมดูจะมีความสุขกันจริงๆจังๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา อย่างน้อยพวกเราก็ไม่เคยรู้สึกปลอดภัยจากภยันตราย หรือการโดนหาเรื่องจากพวกเด็กนักเรียนและอาจารย์สติเฟื่องมากกว่านี้มาก่อน
มันอาจฟังดูเพี้ยนๆแต่ผมรู้สึกเหมือนผมได้เจอบ้านที่แท้จริงของผม สถานที่ที่สามารถให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย สถานที่ๆไม่ว่าคุณจะออกไปไหนต่อไหน หรือเดินทางไปไกลสุดขอบโลก คุณก็ยังอยากกลับมาหามันและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับมันตลอดไป และจากสายตาของอเล็กซ์ เอโทสและ อาธีน่า ผมก็รู้ว่าพวกเรารู้สึกอย่างเดียวกัน สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่คงเป็นกรงที่พวกสัตว์อาศัยอยู่นั้นช่างสะอาดและน่าซุกหัวนอนมากกว่าที่โรงเรียนของพวกเราเป็นไหนๆ ถ้าผมไม่ได้มาเห็นกับตาก็คงจินตนาการถึงชีวิตที่มีความสุขในลูกกรงไม่ออกจริงๆ และผมก็อดอิจฉาพวกมันไม่ได้ เมื่อต้องนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสถานที่แห่งนั้น
หลังจากครูเกรมอสพาเราเดินชมสัตว์ต่างๆอยู่พักใหญ่ เขาก็พาเราเดินมาถึงกรงของสัตว์ที่อเล็กซ์ดูจะสนใจเป็นพิเศษและผมก็ต้องยอมรับว่ามันเป็น สิ่งมีชีวิตที่สง่างามที่สุดที่ผมเคยเห็น “ สิงโต ” ขนาดของมันคงจะสามารถคว่ำรถสับประรังเคสุดหวงของครูสโตน และคงใช้ฟันทั้งหมดนั่นกระชากประตูรถออกมาเป็นจานใส่เนื้อสำหรับอาหารค่ำได้อย่างสบายๆ ถึงผมจะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่แอบยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงหน้าตาครู สโตนที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น แต่ก็นะ… มันก็คงเป็นโชว์ที่น่าดูชมจริงๆนั่นล่ะ
“มันสง่างามจริงๆ ว่าไหม” อเล็กซ์ดูตื่นเต้นจนตัวสั่น ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ครั้งแรก
ในขณะนั้นเองที่สิงโตตัวที่ใหญ่ที่สุดในกรงแผดเสียงคำรามออกมาอย่างกึกก้องไปทั่ว เหมือนจะรู้คิวว่าถึงเวลาต้องโชว์เหนือเพื่อตอกย้ำความน่าเกรงขามแล้ว สิงโตตัวอื่นๆพากันคำรามตาม จนนักท่องเที่ยวทั้งหลายถึงกับผวา บางคนถึงกับนั่งลงปิดหูตัวเอง และยังมีไอศครีมอีกหลายแท่งที่หนีหลุดจากมือของเด็กๆนับสิบลงสู่พื้นดิน รปภ. หลายคนรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์และพยายามจะบอกนักท่องเที่ยวว่าเรื่องแบบนี้เป็นเหตุการณ์ปกติและสถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุม ถึงแม้ว่าจากสายตาของพวกเขา ผมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน เสียงโวยวายดังปะปนกับเสียงแห่งความตกใจไปทั่ว แต่ท่ามกลางความอลหม่านนั้น อเล็กซ์เป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่นิ่งไม่หวั่นไหว เขาดูเหมือนต้นไม้ที่เพิ่งได้รับแสงอาทิตย์แรกในยามเช้า สดใส ทรงพลัง และสง่างาม
“มาเถอะ เรามีเวลาไม่มาก” ครูเกรมอสพูดขึ้นขณะโอบหัวไหล่พวกเราให้เดินตาม ทั้งอบอุ่นและใจดี ผมตัวเกร็งเล็กน้อยไม่ใช่แค่เพราะเสียงคำรามของสิงโตเมื่อสักครู่แต่เพราะการสัมผัสที่อบอุ่นนี้ด้วย เท่าที่พอจะจำความได้ ผมไม่เคยได้รับมันจากผู้ใหญ่คนใดมาก่อน
พวกเราทั้ง 5 คนเดินต่อมาจนถึงโซนของสัตว์ปีก ผมคาดว่าคงเป็นเพราะสถานที่ที่จำกัดทำให้สวนสัตว์แห่งนี้ต้องเอานกนานาชนิดมาขังรวมกันไว้ในกรงขนาดใหญ่เพียงกรงเดียว อาธีน่าดูจะไม่ค่อยชอบพวกสัตว์ปีกเท่าไหร่นัก เธอยืนยันที่จะอยู่ข้างหลังอเล็กซ์ตลอดเวลาที่ครูเกรมอสบรรยาย ตรงกันข้ามกับเอโทสที่ดูจะสนอกสนสนใจเป็นพิเศษ เขาเหมือนไม่ได้ฟังที่ครูเกรมอสบรรยายเลยแม้แต่น้อย รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นเขาไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากรง แทบจะเรียกว่าชิดกับกรงเลยทีเดียว เอโทสยื่นมือของเขาเข้าไปในกรง ซึ่งส่งผลให้เหล่านกนานาพันธุ์ในนั้นกรีดร้องประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียง และเริ่มโบยบินจากกิ่งไม้ที่เกาะอยู่ไปรอบๆกรงอย่างบ้าคลั่ง ผม อเล็กซ์ และอาธีน่ารีบวิ่งไปดึงตัวของเอโทสออกจากหน้ากรงทันทีแต่ก็ถูกครูเกรมอสห้ามไว้ได้ทัน
“ใจเย็นๆ .… คนเราบางทีก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างนะ” ครูเกรมอสดูจะใจเย็นเกินไป ผมคิด
และถึงผมจะรู้สึกขัดแย้งจนบางทีอยากจะชกหน้าครูเกรมอสให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อเข้าไปช่วยเอโทสออกจากกลุ่มนกโด๊ปโปรตีนพวกนั้น แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นนกอินทรีสีดำสลับขาวตัวหนึ่งบินลงมาเกาะที่มือของเอโทสอย่างสงบนิ่ง เอาจริงๆผมว่ามันเหมือนจะผงกหัวให้เขาด้วยซ้ำถ้าคอมันยาวกว่านี้อีกหน่อย ครูเกรมอสยิ้มออกมาเล็กๆก่อนจะละจากพวกเราและค่อยๆเดินเข้าไปหาเอโทส เขาแตะไหล่ของเอโทสช้าๆ ก่อนจะกระซิบกับเขา “รู้สึกเป็นยังไงบ้าง เอโทส”
“ผม…เอ่อ..เยี่ยมครับ มันเหมือนผม…บ…บินอยู่บนท้องฟ้า” ครูเกรมอสยิ้มออกมาก่อนจะว่าต่อ
“ทั้งๆที่เธอไม่เคยบินมาก่อนน่ะหรือเด็กเอ๋ย…เธอช่างมีจินตนาการที่กว้างไกลจริงๆมากับเราต่อเถอะ”
เอโทสดูเหมือนต้องใช้ความพยายามสูงมากที่จะหันกลับจากกรงนกเหล่านั้นมาสมทบกับพวกเราและครู เกรมอส อย่างไรก็ตามความพยายามอันยากเย็นของเขาก็ประสบผลสำเร็จ ขณะนี้พวกเรากำลังเดินเข้าไปในโซน “สัตว์กลางคืน” ที่อยู่ตรงหน้าโดยมีครูเกรมอสเป็นคนเดินนำเช่นเคย
คงต้องยอมรับว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยสัตว์แปลกๆที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนกฮูก ตัว ใหญ่ที่มีตาโตเหมือนลูกเบสบอล สัตว์บางชนิดที่ดูเหมือนลิงกำลังห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ และสัตว์น้ำบางประเภทที่คงเป็นญาติห่างๆกับจระเข้ (ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครูเกรมอสจะไม่บรรยายถึงลักษณะอุจจาระของพวกมันออกมาเป็นวิทยาทานแก่พวกเรา)
และแล้วมันก็เกิดขึ้นกับผมบ้าง! อาการหยุดชะงักเหมือนโลกทั้งใบได้ตาบอดลงกระทันหัน หรือไม่ก็มีมนุษย์ต่างดาวบุกโลกจนไฟดับไปทั่วทั้งเมืองแบบในหนัง Hollywood มันเหมือนมีเพียงผมและกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่บรรจุสัตว์สี่เท้าดุร้ายตรงหน้า เท่านั้น เท่านั้นจริงๆที่ผมมองเห็นและสัมผัสถึงพวกมัน
ผมค่อยๆก้มลงอ่านป้ายเหล็กสีทองที่เขียนไว้ว่า “หมาป่า” บริเวณหน้ากรง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและมองเข้าไปในนัยน์ตาสีดำสนิดเหมือนราตรีที่ไร้ดวงดาวที่กำลังจ้องกลับมาหาผมเช่นเดียวกัน หมาป่าทุกตัวหยุดนิ่งและเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะโจมตีผมดี หรือจะพูดว่า “ ไงพวก ทำไมนายถึงได้อยู่ข้างนอกคนเดียววะ” กันแน่
หมาป่าสีเทาตัวใหญ่ที่สุดค่อยๆเดินมาหาผม แต่แทนที่ผมจะรู้สึกกลัวหรืออยากถอยหนี ผมกลับรู้สึกดีและทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมันมีแรงดึงดูดอย่างแรงกล้าที่ฉุดดึงให้ผมเดินเข้าไปหาพวกมันและผมสาบานว่าผมเกือบจะทำแล้วจริงๆ ถ้าครูเกรมอสไม่แตะไหล่ให้ผมรู้สึกตัวก่อน
“ยังเหลืออาธีน่าอีกคน…จริงไหมแอสตร้า” คำพูดของครูเกรมอสกำกวมเหลือเกินแต่ดูเหมือนพวกเราทั้ง 4 คนจะเข้าใจความหมายมันได้เป็นอย่างดี อย่างที่ผมคงไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร พวกเราทั้งหมดจึงละทิ้งกรงหมาป่าไว้เบื้องหลังและออกเดินทางไปข้างหน้า
แต่หลังจากผ่านไปอีกกว่า 1 ชม. ที่ครูเกรมอสพาเราชมสัตว์นานาชนิด ดูเหมือนอาธีน่าจะยังไม่พบเนื้อคู่ของเธอเสียที สังเกตุได้จากเธอไม่ได้มีอาการชะงัก ตาบอด ไฟดับ หรืออ้าปากหวอเลยกับสิ่งมีชีวิตหลายสิบชนิดที่ผ่านมา ตรงกันข้ามเหมือนเธอจะอยากเอาปืนไรเฟิลมาไล่ยิงสมาคมม้าแก่ ซึ่งยืนเรียงหน้ากระดานตรงซุ้มถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากขี่ม้าอีกต่างหากถ้าอเล็กซ์ห้ามเธอไว้ไม่ทัน (ขอบคุณอเล็กซ์ คงไม่มีใครอยากเห็นน้องสาวตัวเองโดนข้อหารังแกม้าแก่หรอกจิงไหม) และไม่ใช่เพียงอาธีน่าเท่านั้นที่ดูหนักใจและหงุดหงิด เหมือนเด็กที่หารองเท้าอีกข้างไม่เจอ ครูเกรมอสเองก็เริ่มมีสีหน้ากังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
เวลายังคงเดินต่อไปในขณะที่พวกเราทั้ง 5 ท่องเที่ยวอยู่ในป่าจำลองแห่งนี้จนมาถึงบริเวณสุดท้าย ครูเกรมอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกังวล ก่อนจะพาเราผ่านประตูที่ถูกจำลองเหมือนต้นไม้ยักษ์ 2 ต้นขนานกันและตรงกลางมีป้ายเขียนว่า“แมลงและสัตว์จำพวกแมลง”
“หวังว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด” ผมแอบได้ยินเสียงครูเกรมอสบ่นเบาๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เท่าที่พอจะคิดออกก็แค่ครูอาจจะกลัวอาธีน่าจะออกอาการอยากเอาปืนไรเฟิล หรือที่ตบยุงขนาดใหญ่เท่าไม้เทนนิสมาไล่ฝาดพวกแมลงก็แค่นั้น แต่ผมรู้จักอาธีน่าดีเหตุการณ์แบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆอย่างแน่นอน
ข้างในโซนนี้ค่อนข้างมืดและชื้น จนผมแปลกใจนิดๆ ที่พบว่ามีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจกับบริเวณนี้มากเป็นพิเศษ และถึงแม้ว่าภายในนี้จะเย็นและมืดเหมือนกับโซนสัตว์กลางคืน แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะนอกเหนือจากนักท่องเที่ยวราวๆ 30 คนกับแมลงสัก 30,000 ตัวที่ปกคลุมพวกเราอยู่นั้น ผมยังรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลกระจายอยู่รอบๆตัวเราอีกด้วย ส่วนครูเกรมอสเองก็ไม่ได้บรรยายอะไรเลย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ปากของเขาได้รับการพักผ่อนตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่
เขาพาพวกเราเดินผ่านตู้ใส่แมลงจำพวกต่างๆ อย่างร้อนรนและบ่นอะไรอุบอิบตลอดทาง ขณะที่อาธีน่าเองก็กระสับกระส่ายไม่แพ้กัน เธอเหมือนกลัวอะไรบางอย่างที่ยังมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่ามันกำลังจะมาเยือนพวกเราในไม่ช้า เธอเริ่มเดินใกล้อเล็กซ์มากขึ้นเรื่อยๆและส่งสายตาวิงวอนมาทางผมและเอโทส ก่อนที่พวกเราทั้ง 2 คนจะตัดสินใจเดินไปขนาบเธอทั้ง 2 ด้าน
“เป็นอะไรไป อาธีน่า” อเล็กซ์ถามขึ้นในที่สุด
“ฉันกลัว…ที่นี่มีบางอย่างแปลกๆ บางอย่างที่….อันตราย” อาธีน่ามีสีหน้าซีดเหมือนกระดาษ
“ไม่มีอะไรทำร้ายเธอได้หรอกอาธีน่า ตราบที่พวกพี่ทั้ง 3 คนยังอยู่ตรงนี้ จำได้ไหม” อเล็กซ์พูดออกมาในขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้ด้วยและดูเหมือนจะช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวของอาธีน่าได้มากทีเดียว แต่ก็คงยังไม่มากเพียงพอ เพราะเธอยังคงกวาดสายตามองไปรอบๆตัวอย่างกังวลตลอดเวลา
เราทั้ง 5 คนเดินมาจนหยุดที่ตู้กระจกอันสุดท้าย ซึ่งเขียนไว้ว่า “แมงมุมทารันทูล่า” ครูเกรมอสมีท่าทีขยะแขยงจนออกหน้าออกตา ซึ่งก็คงจะโทษเขาไม่ได้หรอก เพราะพวกเราทั้ง 4 คนก็รู้สึกอย่างเดียวกันแม้แต่อเล็กซ์ผู้เข้มแข็งก็ยังตัวสั่นเทาไปด้วย ผมค่อยๆเงื้อมหน้ามองเข้าไปในกรงกระจกนั้น ที่ๆซึ่งปิดกั้นอาณาจักรของเหล่าแมงมุมแปดขาน่าสยดสยองฝูงหนึ่งกับพวกเราเอาไว้
Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1) ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/30864711
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/30896065
ติดตามอ่านในบลอคของผมได้ที่ TomUdom.Bloggang.com นะครับ
3
แอสตร้า
บทสนทนากับแฟนสาวของสไปเดอร์แมน
ผมยังคงสับสนอยู่ว่าบทลงโทษของพวกเราเกี่ยวข้องกับสวนสัตว์ตรงไหน บางทีครูเกรมอสอาจจะให้เราบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ด้วยการเช็ดก้นจระเข้ บริจาคอวัยวะให้กับหมีขั้วโลกใกล้ตาย หรืออาจจะแย่ขนาดให้เราใส่ตัวมาสคอตน่าเกลียดๆมาหยอกล้อเล่นกับพวกเด็กๆก็เป็นได้ แต่กระนั้นเมื่อพวกเรามาถึงสวนสัตว์แห่งนี้โดยการโดยสารรถยนต์บีเทิ้ลรุ่น…เอ่อ…คงต้องบอกว่ารุ่น โ-ค-ต-ร-จะ-เก่า ของครูเกรมอส ที่มีระบบเบรกดีเยี่ยมที่สุดในโลก และมีควันขโมงเป็นของแถมทุกครั้งที่เข้าเกียร์ว่าง ความสับสนต่างๆของผมก็มลายหายไปโดยมีความตื่นตาตื่นใจเข้ามาแทนที่…นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ออกมาข้างนอกโรงเรียนเลย
มันยากที่จะบรรยายว่าสวนสัตว์ประจำเมืองที่พวกเราอยู่นั้น ใหญ่โต อลังการ หรือเล็กจิ๋วกันแน่ เพราะผมเองก็ไม่เคยไปสวนสัตว์มาก่อนในชีวิต จริงๆแล้วควรเรียกว่าผมไม่เคยไปไหนเลยนอกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้กับโรงเรียนประจำ The Cringle Colonial school บ้านหลังที่ 2 ในชีวิตผม (ถ้าผมสามารถเรียกมันว่าบ้านได้น่ะนะ)
สวนสัตว์แห่งนี้มีลักษณะเหมือนไม้กางเขน คือมีพื้นที่เป็นรูปตัว T ประดับประดาด้วยต้นไม้และพืชพรรณนานาชนิดซึ่งถูกยกมาตกแต่งให้ปกคลุมตลอดทางเดินที่ทอดยาวออกไป สัตว์นานาชนิดถูกจัดวางอย่างเป็นระบบอยู่ภายในกรงขัง ซึ่งตั้งยาวกันไปเป็นโซน ไล่ลำดับไปตั้งแต่พวกสัตว์ขนาดเล็ก จนถึงสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยสัตว์ปีกอีกหลายโหล
ตลอดเวลากว่า 2 ชม. ตั้งแต่พวกเรามาถึง ครูเกรมอสทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำทาง อาจารย์ และมัคกุเทศน์ประจำสวนสัตว์ไปในเวลาเดียวกัน เขาเชี่ยวชาญในความรู้เกี่ยวกับสรรพสัตว์มาก ขนาดที่รู้ว่าอุจจาระของจระเข้มีสีเหลืองอมเขียว (อาธีน่าดูอยากจะอาเจียนตอนที่ครูเกรมอสบรรยายถึงจุดนั้นและผมก็แอบกังวลขึ้นมาจริงจังว่าครูจะให้เราเช็ดก้นจระเข้จริงๆ) จนผมมั่นใจว่าเขาต้องเคยทำงานที่นี่มาก่อน หรือไม่ก็ต้องเคยเป็นนายพรานล่าสัตว์กลับใจหรือตกงานอะไรทำนองนั้น อย่างไรก็ดีถ้าไม่นับเรื่องอุจจาระจระเข้แล้ว วันนี้เป็นวันที่ผมและพี่น้องของผมดูจะมีความสุขกันจริงๆจังๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา อย่างน้อยพวกเราก็ไม่เคยรู้สึกปลอดภัยจากภยันตราย หรือการโดนหาเรื่องจากพวกเด็กนักเรียนและอาจารย์สติเฟื่องมากกว่านี้มาก่อน
มันอาจฟังดูเพี้ยนๆแต่ผมรู้สึกเหมือนผมได้เจอบ้านที่แท้จริงของผม สถานที่ที่สามารถให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย สถานที่ๆไม่ว่าคุณจะออกไปไหนต่อไหน หรือเดินทางไปไกลสุดขอบโลก คุณก็ยังอยากกลับมาหามันและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับมันตลอดไป และจากสายตาของอเล็กซ์ เอโทสและ อาธีน่า ผมก็รู้ว่าพวกเรารู้สึกอย่างเดียวกัน สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่คงเป็นกรงที่พวกสัตว์อาศัยอยู่นั้นช่างสะอาดและน่าซุกหัวนอนมากกว่าที่โรงเรียนของพวกเราเป็นไหนๆ ถ้าผมไม่ได้มาเห็นกับตาก็คงจินตนาการถึงชีวิตที่มีความสุขในลูกกรงไม่ออกจริงๆ และผมก็อดอิจฉาพวกมันไม่ได้ เมื่อต้องนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสถานที่แห่งนั้น
หลังจากครูเกรมอสพาเราเดินชมสัตว์ต่างๆอยู่พักใหญ่ เขาก็พาเราเดินมาถึงกรงของสัตว์ที่อเล็กซ์ดูจะสนใจเป็นพิเศษและผมก็ต้องยอมรับว่ามันเป็น สิ่งมีชีวิตที่สง่างามที่สุดที่ผมเคยเห็น “ สิงโต ” ขนาดของมันคงจะสามารถคว่ำรถสับประรังเคสุดหวงของครูสโตน และคงใช้ฟันทั้งหมดนั่นกระชากประตูรถออกมาเป็นจานใส่เนื้อสำหรับอาหารค่ำได้อย่างสบายๆ ถึงผมจะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่แอบยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงหน้าตาครู สโตนที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น แต่ก็นะ… มันก็คงเป็นโชว์ที่น่าดูชมจริงๆนั่นล่ะ
“มันสง่างามจริงๆ ว่าไหม” อเล็กซ์ดูตื่นเต้นจนตัวสั่น ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ครั้งแรก
ในขณะนั้นเองที่สิงโตตัวที่ใหญ่ที่สุดในกรงแผดเสียงคำรามออกมาอย่างกึกก้องไปทั่ว เหมือนจะรู้คิวว่าถึงเวลาต้องโชว์เหนือเพื่อตอกย้ำความน่าเกรงขามแล้ว สิงโตตัวอื่นๆพากันคำรามตาม จนนักท่องเที่ยวทั้งหลายถึงกับผวา บางคนถึงกับนั่งลงปิดหูตัวเอง และยังมีไอศครีมอีกหลายแท่งที่หนีหลุดจากมือของเด็กๆนับสิบลงสู่พื้นดิน รปภ. หลายคนรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์และพยายามจะบอกนักท่องเที่ยวว่าเรื่องแบบนี้เป็นเหตุการณ์ปกติและสถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุม ถึงแม้ว่าจากสายตาของพวกเขา ผมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน เสียงโวยวายดังปะปนกับเสียงแห่งความตกใจไปทั่ว แต่ท่ามกลางความอลหม่านนั้น อเล็กซ์เป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่นิ่งไม่หวั่นไหว เขาดูเหมือนต้นไม้ที่เพิ่งได้รับแสงอาทิตย์แรกในยามเช้า สดใส ทรงพลัง และสง่างาม
“มาเถอะ เรามีเวลาไม่มาก” ครูเกรมอสพูดขึ้นขณะโอบหัวไหล่พวกเราให้เดินตาม ทั้งอบอุ่นและใจดี ผมตัวเกร็งเล็กน้อยไม่ใช่แค่เพราะเสียงคำรามของสิงโตเมื่อสักครู่แต่เพราะการสัมผัสที่อบอุ่นนี้ด้วย เท่าที่พอจะจำความได้ ผมไม่เคยได้รับมันจากผู้ใหญ่คนใดมาก่อน
พวกเราทั้ง 5 คนเดินต่อมาจนถึงโซนของสัตว์ปีก ผมคาดว่าคงเป็นเพราะสถานที่ที่จำกัดทำให้สวนสัตว์แห่งนี้ต้องเอานกนานาชนิดมาขังรวมกันไว้ในกรงขนาดใหญ่เพียงกรงเดียว อาธีน่าดูจะไม่ค่อยชอบพวกสัตว์ปีกเท่าไหร่นัก เธอยืนยันที่จะอยู่ข้างหลังอเล็กซ์ตลอดเวลาที่ครูเกรมอสบรรยาย ตรงกันข้ามกับเอโทสที่ดูจะสนอกสนสนใจเป็นพิเศษ เขาเหมือนไม่ได้ฟังที่ครูเกรมอสบรรยายเลยแม้แต่น้อย รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นเขาไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากรง แทบจะเรียกว่าชิดกับกรงเลยทีเดียว เอโทสยื่นมือของเขาเข้าไปในกรง ซึ่งส่งผลให้เหล่านกนานาพันธุ์ในนั้นกรีดร้องประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียง และเริ่มโบยบินจากกิ่งไม้ที่เกาะอยู่ไปรอบๆกรงอย่างบ้าคลั่ง ผม อเล็กซ์ และอาธีน่ารีบวิ่งไปดึงตัวของเอโทสออกจากหน้ากรงทันทีแต่ก็ถูกครูเกรมอสห้ามไว้ได้ทัน
“ใจเย็นๆ .… คนเราบางทีก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างนะ” ครูเกรมอสดูจะใจเย็นเกินไป ผมคิด
และถึงผมจะรู้สึกขัดแย้งจนบางทีอยากจะชกหน้าครูเกรมอสให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อเข้าไปช่วยเอโทสออกจากกลุ่มนกโด๊ปโปรตีนพวกนั้น แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นนกอินทรีสีดำสลับขาวตัวหนึ่งบินลงมาเกาะที่มือของเอโทสอย่างสงบนิ่ง เอาจริงๆผมว่ามันเหมือนจะผงกหัวให้เขาด้วยซ้ำถ้าคอมันยาวกว่านี้อีกหน่อย ครูเกรมอสยิ้มออกมาเล็กๆก่อนจะละจากพวกเราและค่อยๆเดินเข้าไปหาเอโทส เขาแตะไหล่ของเอโทสช้าๆ ก่อนจะกระซิบกับเขา “รู้สึกเป็นยังไงบ้าง เอโทส”
“ผม…เอ่อ..เยี่ยมครับ มันเหมือนผม…บ…บินอยู่บนท้องฟ้า” ครูเกรมอสยิ้มออกมาก่อนจะว่าต่อ
“ทั้งๆที่เธอไม่เคยบินมาก่อนน่ะหรือเด็กเอ๋ย…เธอช่างมีจินตนาการที่กว้างไกลจริงๆมากับเราต่อเถอะ”
เอโทสดูเหมือนต้องใช้ความพยายามสูงมากที่จะหันกลับจากกรงนกเหล่านั้นมาสมทบกับพวกเราและครู เกรมอส อย่างไรก็ตามความพยายามอันยากเย็นของเขาก็ประสบผลสำเร็จ ขณะนี้พวกเรากำลังเดินเข้าไปในโซน “สัตว์กลางคืน” ที่อยู่ตรงหน้าโดยมีครูเกรมอสเป็นคนเดินนำเช่นเคย
คงต้องยอมรับว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยสัตว์แปลกๆที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนกฮูก ตัว ใหญ่ที่มีตาโตเหมือนลูกเบสบอล สัตว์บางชนิดที่ดูเหมือนลิงกำลังห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ และสัตว์น้ำบางประเภทที่คงเป็นญาติห่างๆกับจระเข้ (ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครูเกรมอสจะไม่บรรยายถึงลักษณะอุจจาระของพวกมันออกมาเป็นวิทยาทานแก่พวกเรา)
และแล้วมันก็เกิดขึ้นกับผมบ้าง! อาการหยุดชะงักเหมือนโลกทั้งใบได้ตาบอดลงกระทันหัน หรือไม่ก็มีมนุษย์ต่างดาวบุกโลกจนไฟดับไปทั่วทั้งเมืองแบบในหนัง Hollywood มันเหมือนมีเพียงผมและกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่บรรจุสัตว์สี่เท้าดุร้ายตรงหน้า เท่านั้น เท่านั้นจริงๆที่ผมมองเห็นและสัมผัสถึงพวกมัน
ผมค่อยๆก้มลงอ่านป้ายเหล็กสีทองที่เขียนไว้ว่า “หมาป่า” บริเวณหน้ากรง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและมองเข้าไปในนัยน์ตาสีดำสนิดเหมือนราตรีที่ไร้ดวงดาวที่กำลังจ้องกลับมาหาผมเช่นเดียวกัน หมาป่าทุกตัวหยุดนิ่งและเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะโจมตีผมดี หรือจะพูดว่า “ ไงพวก ทำไมนายถึงได้อยู่ข้างนอกคนเดียววะ” กันแน่
หมาป่าสีเทาตัวใหญ่ที่สุดค่อยๆเดินมาหาผม แต่แทนที่ผมจะรู้สึกกลัวหรืออยากถอยหนี ผมกลับรู้สึกดีและทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมันมีแรงดึงดูดอย่างแรงกล้าที่ฉุดดึงให้ผมเดินเข้าไปหาพวกมันและผมสาบานว่าผมเกือบจะทำแล้วจริงๆ ถ้าครูเกรมอสไม่แตะไหล่ให้ผมรู้สึกตัวก่อน
“ยังเหลืออาธีน่าอีกคน…จริงไหมแอสตร้า” คำพูดของครูเกรมอสกำกวมเหลือเกินแต่ดูเหมือนพวกเราทั้ง 4 คนจะเข้าใจความหมายมันได้เป็นอย่างดี อย่างที่ผมคงไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร พวกเราทั้งหมดจึงละทิ้งกรงหมาป่าไว้เบื้องหลังและออกเดินทางไปข้างหน้า
แต่หลังจากผ่านไปอีกกว่า 1 ชม. ที่ครูเกรมอสพาเราชมสัตว์นานาชนิด ดูเหมือนอาธีน่าจะยังไม่พบเนื้อคู่ของเธอเสียที สังเกตุได้จากเธอไม่ได้มีอาการชะงัก ตาบอด ไฟดับ หรืออ้าปากหวอเลยกับสิ่งมีชีวิตหลายสิบชนิดที่ผ่านมา ตรงกันข้ามเหมือนเธอจะอยากเอาปืนไรเฟิลมาไล่ยิงสมาคมม้าแก่ ซึ่งยืนเรียงหน้ากระดานตรงซุ้มถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากขี่ม้าอีกต่างหากถ้าอเล็กซ์ห้ามเธอไว้ไม่ทัน (ขอบคุณอเล็กซ์ คงไม่มีใครอยากเห็นน้องสาวตัวเองโดนข้อหารังแกม้าแก่หรอกจิงไหม) และไม่ใช่เพียงอาธีน่าเท่านั้นที่ดูหนักใจและหงุดหงิด เหมือนเด็กที่หารองเท้าอีกข้างไม่เจอ ครูเกรมอสเองก็เริ่มมีสีหน้ากังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
เวลายังคงเดินต่อไปในขณะที่พวกเราทั้ง 5 ท่องเที่ยวอยู่ในป่าจำลองแห่งนี้จนมาถึงบริเวณสุดท้าย ครูเกรมอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกังวล ก่อนจะพาเราผ่านประตูที่ถูกจำลองเหมือนต้นไม้ยักษ์ 2 ต้นขนานกันและตรงกลางมีป้ายเขียนว่า“แมลงและสัตว์จำพวกแมลง”
“หวังว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด” ผมแอบได้ยินเสียงครูเกรมอสบ่นเบาๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เท่าที่พอจะคิดออกก็แค่ครูอาจจะกลัวอาธีน่าจะออกอาการอยากเอาปืนไรเฟิล หรือที่ตบยุงขนาดใหญ่เท่าไม้เทนนิสมาไล่ฝาดพวกแมลงก็แค่นั้น แต่ผมรู้จักอาธีน่าดีเหตุการณ์แบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆอย่างแน่นอน
ข้างในโซนนี้ค่อนข้างมืดและชื้น จนผมแปลกใจนิดๆ ที่พบว่ามีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจกับบริเวณนี้มากเป็นพิเศษ และถึงแม้ว่าภายในนี้จะเย็นและมืดเหมือนกับโซนสัตว์กลางคืน แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะนอกเหนือจากนักท่องเที่ยวราวๆ 30 คนกับแมลงสัก 30,000 ตัวที่ปกคลุมพวกเราอยู่นั้น ผมยังรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลกระจายอยู่รอบๆตัวเราอีกด้วย ส่วนครูเกรมอสเองก็ไม่ได้บรรยายอะไรเลย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ปากของเขาได้รับการพักผ่อนตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่
เขาพาพวกเราเดินผ่านตู้ใส่แมลงจำพวกต่างๆ อย่างร้อนรนและบ่นอะไรอุบอิบตลอดทาง ขณะที่อาธีน่าเองก็กระสับกระส่ายไม่แพ้กัน เธอเหมือนกลัวอะไรบางอย่างที่ยังมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่ามันกำลังจะมาเยือนพวกเราในไม่ช้า เธอเริ่มเดินใกล้อเล็กซ์มากขึ้นเรื่อยๆและส่งสายตาวิงวอนมาทางผมและเอโทส ก่อนที่พวกเราทั้ง 2 คนจะตัดสินใจเดินไปขนาบเธอทั้ง 2 ด้าน
“เป็นอะไรไป อาธีน่า” อเล็กซ์ถามขึ้นในที่สุด
“ฉันกลัว…ที่นี่มีบางอย่างแปลกๆ บางอย่างที่….อันตราย” อาธีน่ามีสีหน้าซีดเหมือนกระดาษ
“ไม่มีอะไรทำร้ายเธอได้หรอกอาธีน่า ตราบที่พวกพี่ทั้ง 3 คนยังอยู่ตรงนี้ จำได้ไหม” อเล็กซ์พูดออกมาในขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้ด้วยและดูเหมือนจะช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวของอาธีน่าได้มากทีเดียว แต่ก็คงยังไม่มากเพียงพอ เพราะเธอยังคงกวาดสายตามองไปรอบๆตัวอย่างกังวลตลอดเวลา
เราทั้ง 5 คนเดินมาจนหยุดที่ตู้กระจกอันสุดท้าย ซึ่งเขียนไว้ว่า “แมงมุมทารันทูล่า” ครูเกรมอสมีท่าทีขยะแขยงจนออกหน้าออกตา ซึ่งก็คงจะโทษเขาไม่ได้หรอก เพราะพวกเราทั้ง 4 คนก็รู้สึกอย่างเดียวกันแม้แต่อเล็กซ์ผู้เข้มแข็งก็ยังตัวสั่นเทาไปด้วย ผมค่อยๆเงื้อมหน้ามองเข้าไปในกรงกระจกนั้น ที่ๆซึ่งปิดกั้นอาณาจักรของเหล่าแมงมุมแปดขาน่าสยดสยองฝูงหนึ่งกับพวกเราเอาไว้