ติดตามอ่านมาสักพัก ขอลองแชร์นิยายที่ผมแต่งเองบ้างนะครับ เป็นแนวแฟนตาซีนะครับ
วิจารณ์กันได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านและคอมเมนต์ล่วงหน้ามากๆครับ
ชื่อเรื่อง Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1)
1
อเล็กซ์
ผมทำสงครามกับฝูงอสูรกาย
วันนี้คงจะเป็นวันที่พิลึกกึกกือที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว หากผมสามารถจัดการกับอาหารเช้าที่วางอยู่ตรงหน้าจนเสร็จได้โดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อากาศยามเช้าที่เย็นสบาย สอดคล้องไปกับสายลมอ่อนๆ นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมโปรดปรานมากที่สุด และเป็นสิ่งดีเพียงไม่กี่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมในแต่ละปี ซึ่งผมก็โชคดีมากที่มันจะมาเยี่ยมผมแค่ปีละครั้งในเวลาอันแสนสั้นเเท่านั้น
ไม่ใช่แต่เพียงสายลมอ่อนๆเท่านั้นที่ช่วยทำให้จิตใจผมทั้งเริงร่าและมีความสุข การมองต้นไม้สีเขียวสลับสีส้มที่พลิ้วไหวไปตามสายลมเคียงคู่ไปกับหญ้าสีเขียวอ่อน หุบเขาจำนวนมากที่ทอดตัวยาวเป็นวงกลมโอบล้อมอาคาร พวกมันมีสีน้ำตาลสลับเขียว ที่ปลายยอดปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ เหมือนพวกมันเป็นซานตาครอสที่ดันสวมหมวกพยาบาลแทนหมวกประจำตัวของเขา
ผมสามารถชื่นชมกับทัศนียภาพทั้งหมดนี้ผ่านการมองทะลุ เอ่อ…จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ ผมเดาว่ามันคือหน้าต่างของโรงอาหารถึงแม้มันจะมีรูปร่างแปลกๆและดูเหมือน”กรงขัง”มากกว่า นี่ยังไม่นับกลิ่นเหม็นๆที่ลอยอบอวลอยู่ในสถานที่แห่งนี้และพื้นสกปรกๆที่เหมือนว่าโลกนี้ไม่เคยประดิษฐ์แปรงขัดพื้นขึ้นมาก่อน หรือไม่เจ้าพื้นเหล่านี้คงจะมีขนดกมากเกินไปและบริษัท ยิลเลตต์ เวคเตอร์ ไม่ได้สนใจที่จะเป็นสปอนเซอร์
แต่ถึงอย่างนั้นหากคุณสามารถมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ (ถึงจะไม่ง่ายนัก) สิ่งต่างๆด้านนอกก็คุ้มค่าและน่ารื่นรมย์ทีเดียวกับการชื่นชมธรรมชาติและปล่อยความรู้สึกว่าคุณได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับมัน “รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ” นั่นคงเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
ผมจ้องมองไปที่ปฏิทิน 17 มีค. 2013 ฤดูใบไม้ผลิกำลังเริ่มต้นขึ้น และผมก็แอบมีความหวังว่า การจบสิ้นภารกิจอาหารเช้าก่อนจะเกิดปัญหาใดๆขึ้นในวันนี้ จะเป็นสัญญาณที่ดีของชีวิตผมในปีนี้
แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้ ! ในขณะที่ผมกำลังจัดการกับเบคอนที่เหลืออยู่แค่ครึ่งชิ้น โดยมีสแครมเบิ้ลเอ้กเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของเช้านี้ แอสตร้าวิ่งมาหาผมอย่างร้อนรน เขาหอบอย่างหนักก่อนจะเริ่มพูดสิ่งที่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเค้าจะพูดอะไรออกมา
“อเล็กซ์ ! อีกแล้ว” แอสตร้าพูดขึ้นในที่สุด
“ที่ไหน” ผมถามกลับอย่างทันควัน
“สนามฟุตบอลเล็ก ด้านหลังโรงเรียน”
ผมรีบคว้าเสื้อสเวตเตอร์สีทองสลับดำตัวโปรด อันที่จริงน่าจะเรียกว่าตัวเดียวที่ผมมีอยู่มากกว่า ขณะกุลีกุจอลุกจากเก้าอี้ แอสตร้าก็วิ่งนำหน้าผมออกไปก่อนแล้ว
แอสตร้าเป็นเด็กชายอายุ 17 ปี ซึ่งแปลว่าอายุเขานั้นน้อยกว่าผม 2 ปี ถึงจะไม่ใช่คนสูงใหญ่นักแต่แอสตร้าก็เป็นคนที่ดูเข้มแข็ง และลึกลับในเวลาเดียวกัน ผมหยักศกสีดำเรียบของเขา ตัดกับผิวขาวอมเหลืองได้อย่างลงตัว เมื่อรวมเข้ากับหนาวดเคราที่เหมือนจะขึ้นตลอดเวลาซึ่งไม่ว่าเค้าจะพยายามโกนสักกี่ครั้งก็ตาม ประกอบกับการแต่งตัวด้วยชุดโทนดำอย่างสม่ำเสมอ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน แอสตร้าใส่เสื้อยืดคอวีสีดำควันบุหรี่ กับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม และรองเท้าคอนเวิตซึ่งเค้าเจอในถังขยะข้างโรงเรียน (ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างมันเข้ากับเท้าของเขาได้พอดิบพอดี) ทำให้ผมอดจะนึกไม่ได้จริงๆว่าแอสตร้าคือคำนิยามของเจ้าชายแห่งราตรีของแท้
เรา 2 คนวิ่งตัดทางเดินแคบๆ ซึ่งขนาบไปด้วยตู้ล๊อคเกอร์เก่าๆ และเด็กนักเรียนในชุดเสื้อผ้าที่เก่าพอๆกัน ซึ่งส่วนมากกำลังประกาศสงครามกับประตูตู้ล๊อคเกอร์ซึ่งเปิดไม่ออก กับเด็กส่วนที่เหลือที่ถ้าไม่กำลังกลั่นแกล้งเด็กคนอื่นๆ ก็กำลังสุมหัวกันคิดว่าจะเริ่มแกล้งเด็กคนอื่นๆอย่างไร
ผมพยายามไม่สนใจสายตาเหยียดหยาม และหวาดกลัวที่ส่งผ่านมาถึงเราทั้ง 2 คนและเร่งความเร็วขึ้นจนวิ่งขึ้นมานำแอสตร้าแล้ว
“ทางนี้ ฉันรู้ทางลัด” ผมตะโกนออกไป และได้ยินเสียงแอสตร้าหักมุมเลี้ยวตามผมมาด้านหลัง เราวิ่งตัดผ่านประตูไม้โอ๊คบานหนึ่ง และก้มๆเงยๆหลบอะไรก็ตามที่คุณสามารถจะจินตนาการออกซึ่งถูกแขวนระเกะระกะอยู่ตามทางเดินส่วนสุดท้ายก่อนที่เราทั้ง 2 จะออกมาสู่ลานสนามหญ้าฟุตบอลเล็กๆ ซึ่งกำลังเปลี่ยนสถานะตนเองมาเป็นสนามมวยปล้ำหรือไม่ก็สนามรบวัวกระทิงผิดกฏหมายในสเปน
“ให้ตายเถอะ” ผมพูดขณะที่กำลังมองกลุ่มเด็กนักเรียนประมาณโหลนึงตะลุมบอนกับอะไรสักอย่างอยู่ที่พื้นสนาม ถึงแม้จะดูเหมือนว่าพวกเค้าไม่ได้ใช้ความได้เปรียบทางจำนวนให้เป็นประโยชน์นักแต่ผมก็รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้านไว้ไม่ไหวแน่ เอโทสคงต้านแก๊งค์เด็กอสูรกายนี้ได้อีกไม่นาน
คุณพอจะเดาออกไหมว่าข้อดีที่สุดข้อหนึ่งของสถานที่ห่วยๆแห่งนี้คืออะไร…ความเท่าเทียมกันของเพศชายและเพศหญิงน่ะสิ ขณะที่เอโทสใช้ทั้งเท้าและหมัดพยายามขับไล่เด็กพวกนั้นออกไป ผมก็มองเห็นว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังช่วยเค้าต่อสู้อยู่ เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มจนออกจะดูเป็นสีส้มกำลังใช้รูปร่างอันผอมบางของเธอเกาะอยู่บนหลังเด็กผู้ชายอีกคนที่ดูจะตัวโตกว่าเธอสัก 3 เท่าเห็นจะได้ เค้าร้องออกมาขณะที่เธอเริ่มใช้มือข้างหนึ่งจิกลูกตาและอีกข้างกระชากผมของเขา เด็กผู้ชายคนนั้นบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดและพยายามจะสะบัดเธอให้หลุดจากหลัง ผมต้องขอชมว่าเธอคงเป็นอนาคตนักยิมนาสติกที่ได้เหรียญทองมากที่สุดในประวัติการณ์แน่ๆ เพราะดูเหมือนเธอจะทรงตัวอยู่บนหลังของเค้าได้ดีมากๆ และทุกๆการเคลื่อนไหวของเธอก็เหมือนกับได้ถูกคำนวณไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
เด็กผู้ชายคนนั้นร้องลั่นและเริ่มเสียการทรงตัวจนกระแทกเข้ากับเพื่อนของเค้าอีกคนก่อนทั้งคู่จะล้มคว่ำระเนระนาด ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปสมทบอยู่แล้วเมื่อก้อนหินก้อนหนึ่งถูกปามากระแทกเข้าที่ศีรษะของเด็กผู้หญิงคนนั้น เลือดสีแดงฉานไหลลงอาบแก้มของเธอแทบจะทันที
“อาธีน่า !” เอโทสร้องเสียหลงด้วยความตกใจขณะที่เค้ากำลังทำท่าเหมือนจะหักแขนเด็กผู้ชายอ้วนๆคนหนึ่งที่หมอบอยู่ข้างตัวเขาด้วย
ท่าเดธล๊อคแบบนักมวยปล้ำอาชีพ และนั่นคือฟางเส้นสุดท้ายของผม และของแอสตร้าด้วยเช่นกัน
เราสองคนกระโจนเข้าสู่สมรภูมิทันที ผมตะโกนออกมาซึ่งภายหลังผมคิดว่าคงเป็นการคำรามมากกกว่า ก่อนจะชกเด็กมือปาระเบิดหินหน้าคว่ำลงไปกับพื้น เสร็จไปหนึ่ง… แอสตร้าเองก็ใช่ย่อยผมหันไปเห็นเขากำลังใช้ความเร็วซึ่งเป็นจุดเด่นของเขามาตลอด หลอกล่อและหลบหลีกพายุหมัดของเด็กอีก 2 คนที่รุมทึ้งเข้ามาหาเขา เขาหมอบต่ำๆทีนึงก่อนจะกระโจนเข้าหาเด็กทางซ้ายมือและใช้กำปั้นชกเข้าที่จมูกของเขาอย่างจัง ผมรุดตามไปและฟาดศอกเข้าที่เด็กอีกคนทางขวาก่อนที่เขาจะเอาไม้เบสบอลฟาดใส่หลังของแอสตร้าได้ทันหวุดหวิด
“ขอบใจ” แอสตร้าพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ได้เสมอไอ้น้อง” ผมยิ้มกลับให้เขา ก่อนเราทั้ง 2 คนจะกลับเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
เอโทสลุกขึ้นได้แล้ว และกำลังใช้ต้นไม้เป็นบาร์โหนก่อนจะส่งลูกถีบเข้าที่หน้าอกของคู่ต่อสู้ ส่วนอาธีน่ากำลังเตะเข้าที่ขาที่สามของเด็กคนนึง ซึ่งนั่นทำให้เค้าหน้าซีดก่อนจะลงไปนอนกองอยู่กับพื้น และแม้ผมจะเกลียดเด็กพวกนี้ขนาดไหนแต่ผมก็อดรู้สึกเจ็บแทนเขาไม่ได้จริงๆ
การต่อสู้กำลังจะเข้าถึงช่วงชี้ขาดชัยชนะระหว่างเด็ก 4 คน กับเด็กอสูรกายอีกฝูงหนึ่ง แต่ทันใดนั้นเสียงนกหวีดยาวๆก็ดังขึ้น ทำเอาพวกเรา 4 คนหยุดชะงัก ในขณะที่ฝูงเด็กอสูรกายพร้อมใจกันล้มลงบนสนามหญ้าอย่างพร้อมเพรียง
ที่กำลังเดินอาดๆมาทางเราคือ มิสเตอร์ สโตน ครูสอนพละของโรงเรียน โรงเรียนที่พวกเราจำใจอาศัยอยู่ “The Cringle Colonial School” โรงเรียนสำหรับเด็กด้อยโอกาสหรือถูกทอดทิ้ง ซึ่งให้ผมพูดจริงๆมันควรจะเรียกว่าสถานดัดสันดานหรือไม่ก็พื้นที่รวมมิตรของเด็กเหลือขอและสังคมไม่ต้องการมากกว่า โรงเรียนของเราตั้งอยู่ในเมือง South Lake Tahoe เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ๆเด็กกำพร้าอย่างพวกเราได้รับความสนใจน้อยกว่าสกีและบ่อนคาสิโน
ครูสโตนสวมชุดวอร์มสีฟ้าแถบขาวซึ่งเข้าชุดกันกับการเกงวอร์มสีเดียวกันของเขา เขามักจะใส่เสื้อโทนสีฟ้าสลับขาวเสมอเพื่อพยายามให้คนอื่นรู้ว่าเขามีเชื้อสายอาเจนตินา และสืบทอดสายเลือดของ เช ผู้นำการปฏิวัติชาวอาเจนติน่าผู้โด่งดัง (ให้ตายผมก็ไม่เชื่อว่าครูสโตนมีเชื้อสายเดียวกับเชผู้กล้าหาญคนนั้น) เขามีร่างกายกำยำกับล่ำสัน และหนวดเคราพะรุงพะรังของเขาทำให้ไม้เบสบอลที่เขาถือมันมาด้วยดูน่ากลัวขึ้นสักล้านเท่า ครูสโตนเดินตรงมาที่เราจ้องเขม็งและเริ่มตั้งคำถาม
“ฉันคงไม่ต้องเดาว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้คือใครเป็นคนเริ่ม”
“พวกครอบครัวตัว เอครับ” เด็กคนที่นอนกุมมือบริเวณใต้เข็มขัดหลังจากถูกอาธีน่าจัดการไป เริ่มต้นเป็นคนแรก และผมก็รู้ว่าเพื่อนรักของผมกลับมาอีกแล้ว
…หายนะ
เด็กอสูรคนอื่นๆที่นอนอยู่ หรือเรียกให้ถูกคือแกล้งนอนอยู่ตามพื้นสนามฟุตบอลเริ่มเปล่งถ้อยคำต่างๆออกมาอย่างพรั่งพรู
“เอโทสแย่งเอาอาหารเช้าของผมไป”
“เอโทสสาดน้ำใส่หน้าผม”
“เอโทสนินทาครูสโตนว่าเป็นไอ้ยักษ์ในเรื่อง Monster inc.” (อันนี้ผมเห็นด้วย)
“เอโทสไม่ยอมบอกว่าอาธีน่าชอบดอกไม้อะไร”
เอโทสดูเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดลาวาออกมา เขาสบถและพยายามดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของแอสตร้าที่พยายามห้ามเขาไม่ให้เข้าไปทำร้ายเจ้าเด็กพวกนั้น
“ผมเปล่านะครับ” เอโทสเริ่มพูดบ้าง “พวกคีแกนต่างหากที่พยายามแย่งอาหารเช้าจากผม”
ครูสโตนมองพวกเรา 4 คนสลับไปมากับแก๊งค์เด็กอสูรที่นอนแผ่อยู่บนพื้น ดวงตาทั้ง 2 ดวงของครูมองละล่องอย่างเชื่องช้า เหมือนกับว่าเขาไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ แต่กำลังคิดถึงอาหารกลางวันมื้อต่อไปมากกว่า
“เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าพวกเธอ 4 คนเป็นคนเริ่มทำร้ายพวกคีแกนก่อน เพราะนั่นมันก็งานอดิเรกของพวกเธออยู่แล้วนี่ กลั่นแกล้งผู้อื่นและสร้างปัญหา“ ครูสโตนสรุปสถานการณ์ได้แย่และมักง่ายสุดๆอีกตามเคย
“ตามมาพบฉันที่โรงยิมตอนพักกลางวัน และพวกเธอคงรู้นะว่าจะเจอกับอะไร” พูดจบครูสโตนก็หันหลังอย่างขี้เกียจๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบกับตัวเองประมาณว่า เสียเวลาจริงๆ และเดินหายไปทางโรงอาหาร
ผมเองก็อยากจะคัดค้านการถูกลงโทษของพวกเราทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพของแก๊งค์เด็กอสูรทั้ง 12 คน ที่ทั้งบอบช้ำตามส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ก็มีเลือดกบปากเหมือน แวม์ไพร์เอ็ดเวิทตอนพึ่งดูดเลือดกวางเสร็จ นี่ยังไม่นับคนที่หน้าซีดและยังคงกำส่วนนั้นเอาไว้ ในขณะที่พวกเรา 4 คนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยถ้าไม่นับแผลที่ศีรษะของอาธีน่า ก็คงไม่แปลกถ้าครูสโตนจะเชื่อว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มมหาสงครามครั้งนี้
อีกอย่างการถูกลงโทษ ปรักปรำ เหยียดหยาม และชิงชังจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งที่เป็นปกติกับพวกเราทั้ง 4 คนเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศจะวันออกนั่นแหละ ผมค่อยๆหันมามอง เอโทสก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“นายโอเคนะ”
“ไม่เคยรู้สึกดีกว่านี้มาก่อน” เอโทสตอบขึ้นภายใต้รอยยิ้มเรียบๆ เขาจะดูไม่ค่อยพอใจกับผลการตัดสินเหตุการณ์นี้เท่าไหร่นัก
เด็กๆแก๊งค์อสูรกำลังทยอยลุกขึ้นและทำหน้าตากวนโอ๊ยใส่พวกเรา บางคนชูนิ้วกลางใส่พวกเราด้วยท่าทีที่ไม่สุภาพเป็น 2 เท่า แต่พอผมและ
แอสตร้าทำท่าเหมือนจะยกกำปั้นขึ้น พวกเขาก็สะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นและเดินจากไป
“ทำแผลก่อนเถอะ” ผมบอกอาธีน่าก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามากอด เอโทสและแอสตร้าเริ่มเข้ามาสมทบ
“จะไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้ หากเราทั้ง 4 ยังอยู่ด้วยกัน”
ผมพูดออกมาก่อนจะสัมผัสน้ำอุ่นๆค่อยๆไหลรินที่บริเวณหัวไหล่ของผม อาธีน่าคงเป็นเจ้าของมัน ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในช่วงพักกลางวันกับครูสโตน แต่ตอนนั้นตัวผมเองไม่ได้รู้เลย ว่าหายนะที่แท้จริง ที่จะเปลี่ยนชีวิตของผม เอโทส แอสตร้า และอาธีน่าไปตลอดกาลนั้น ยังไม่เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ
[หัดแต่งนิยายครับ] Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1) ตอนที่ 1
วิจารณ์กันได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านและคอมเมนต์ล่วงหน้ามากๆครับ
ชื่อเรื่อง Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1)
1
อเล็กซ์
ผมทำสงครามกับฝูงอสูรกาย
วันนี้คงจะเป็นวันที่พิลึกกึกกือที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว หากผมสามารถจัดการกับอาหารเช้าที่วางอยู่ตรงหน้าจนเสร็จได้โดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อากาศยามเช้าที่เย็นสบาย สอดคล้องไปกับสายลมอ่อนๆ นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมโปรดปรานมากที่สุด และเป็นสิ่งดีเพียงไม่กี่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมในแต่ละปี ซึ่งผมก็โชคดีมากที่มันจะมาเยี่ยมผมแค่ปีละครั้งในเวลาอันแสนสั้นเเท่านั้น
ไม่ใช่แต่เพียงสายลมอ่อนๆเท่านั้นที่ช่วยทำให้จิตใจผมทั้งเริงร่าและมีความสุข การมองต้นไม้สีเขียวสลับสีส้มที่พลิ้วไหวไปตามสายลมเคียงคู่ไปกับหญ้าสีเขียวอ่อน หุบเขาจำนวนมากที่ทอดตัวยาวเป็นวงกลมโอบล้อมอาคาร พวกมันมีสีน้ำตาลสลับเขียว ที่ปลายยอดปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ เหมือนพวกมันเป็นซานตาครอสที่ดันสวมหมวกพยาบาลแทนหมวกประจำตัวของเขา
ผมสามารถชื่นชมกับทัศนียภาพทั้งหมดนี้ผ่านการมองทะลุ เอ่อ…จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ ผมเดาว่ามันคือหน้าต่างของโรงอาหารถึงแม้มันจะมีรูปร่างแปลกๆและดูเหมือน”กรงขัง”มากกว่า นี่ยังไม่นับกลิ่นเหม็นๆที่ลอยอบอวลอยู่ในสถานที่แห่งนี้และพื้นสกปรกๆที่เหมือนว่าโลกนี้ไม่เคยประดิษฐ์แปรงขัดพื้นขึ้นมาก่อน หรือไม่เจ้าพื้นเหล่านี้คงจะมีขนดกมากเกินไปและบริษัท ยิลเลตต์ เวคเตอร์ ไม่ได้สนใจที่จะเป็นสปอนเซอร์
แต่ถึงอย่างนั้นหากคุณสามารถมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ (ถึงจะไม่ง่ายนัก) สิ่งต่างๆด้านนอกก็คุ้มค่าและน่ารื่นรมย์ทีเดียวกับการชื่นชมธรรมชาติและปล่อยความรู้สึกว่าคุณได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับมัน “รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ” นั่นคงเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
ผมจ้องมองไปที่ปฏิทิน 17 มีค. 2013 ฤดูใบไม้ผลิกำลังเริ่มต้นขึ้น และผมก็แอบมีความหวังว่า การจบสิ้นภารกิจอาหารเช้าก่อนจะเกิดปัญหาใดๆขึ้นในวันนี้ จะเป็นสัญญาณที่ดีของชีวิตผมในปีนี้
แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้ ! ในขณะที่ผมกำลังจัดการกับเบคอนที่เหลืออยู่แค่ครึ่งชิ้น โดยมีสแครมเบิ้ลเอ้กเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของเช้านี้ แอสตร้าวิ่งมาหาผมอย่างร้อนรน เขาหอบอย่างหนักก่อนจะเริ่มพูดสิ่งที่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเค้าจะพูดอะไรออกมา
“อเล็กซ์ ! อีกแล้ว” แอสตร้าพูดขึ้นในที่สุด
“ที่ไหน” ผมถามกลับอย่างทันควัน
“สนามฟุตบอลเล็ก ด้านหลังโรงเรียน”
ผมรีบคว้าเสื้อสเวตเตอร์สีทองสลับดำตัวโปรด อันที่จริงน่าจะเรียกว่าตัวเดียวที่ผมมีอยู่มากกว่า ขณะกุลีกุจอลุกจากเก้าอี้ แอสตร้าก็วิ่งนำหน้าผมออกไปก่อนแล้ว
แอสตร้าเป็นเด็กชายอายุ 17 ปี ซึ่งแปลว่าอายุเขานั้นน้อยกว่าผม 2 ปี ถึงจะไม่ใช่คนสูงใหญ่นักแต่แอสตร้าก็เป็นคนที่ดูเข้มแข็ง และลึกลับในเวลาเดียวกัน ผมหยักศกสีดำเรียบของเขา ตัดกับผิวขาวอมเหลืองได้อย่างลงตัว เมื่อรวมเข้ากับหนาวดเคราที่เหมือนจะขึ้นตลอดเวลาซึ่งไม่ว่าเค้าจะพยายามโกนสักกี่ครั้งก็ตาม ประกอบกับการแต่งตัวด้วยชุดโทนดำอย่างสม่ำเสมอ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน แอสตร้าใส่เสื้อยืดคอวีสีดำควันบุหรี่ กับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม และรองเท้าคอนเวิตซึ่งเค้าเจอในถังขยะข้างโรงเรียน (ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างมันเข้ากับเท้าของเขาได้พอดิบพอดี) ทำให้ผมอดจะนึกไม่ได้จริงๆว่าแอสตร้าคือคำนิยามของเจ้าชายแห่งราตรีของแท้
เรา 2 คนวิ่งตัดทางเดินแคบๆ ซึ่งขนาบไปด้วยตู้ล๊อคเกอร์เก่าๆ และเด็กนักเรียนในชุดเสื้อผ้าที่เก่าพอๆกัน ซึ่งส่วนมากกำลังประกาศสงครามกับประตูตู้ล๊อคเกอร์ซึ่งเปิดไม่ออก กับเด็กส่วนที่เหลือที่ถ้าไม่กำลังกลั่นแกล้งเด็กคนอื่นๆ ก็กำลังสุมหัวกันคิดว่าจะเริ่มแกล้งเด็กคนอื่นๆอย่างไร
ผมพยายามไม่สนใจสายตาเหยียดหยาม และหวาดกลัวที่ส่งผ่านมาถึงเราทั้ง 2 คนและเร่งความเร็วขึ้นจนวิ่งขึ้นมานำแอสตร้าแล้ว
“ทางนี้ ฉันรู้ทางลัด” ผมตะโกนออกไป และได้ยินเสียงแอสตร้าหักมุมเลี้ยวตามผมมาด้านหลัง เราวิ่งตัดผ่านประตูไม้โอ๊คบานหนึ่ง และก้มๆเงยๆหลบอะไรก็ตามที่คุณสามารถจะจินตนาการออกซึ่งถูกแขวนระเกะระกะอยู่ตามทางเดินส่วนสุดท้ายก่อนที่เราทั้ง 2 จะออกมาสู่ลานสนามหญ้าฟุตบอลเล็กๆ ซึ่งกำลังเปลี่ยนสถานะตนเองมาเป็นสนามมวยปล้ำหรือไม่ก็สนามรบวัวกระทิงผิดกฏหมายในสเปน
“ให้ตายเถอะ” ผมพูดขณะที่กำลังมองกลุ่มเด็กนักเรียนประมาณโหลนึงตะลุมบอนกับอะไรสักอย่างอยู่ที่พื้นสนาม ถึงแม้จะดูเหมือนว่าพวกเค้าไม่ได้ใช้ความได้เปรียบทางจำนวนให้เป็นประโยชน์นักแต่ผมก็รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้านไว้ไม่ไหวแน่ เอโทสคงต้านแก๊งค์เด็กอสูรกายนี้ได้อีกไม่นาน
คุณพอจะเดาออกไหมว่าข้อดีที่สุดข้อหนึ่งของสถานที่ห่วยๆแห่งนี้คืออะไร…ความเท่าเทียมกันของเพศชายและเพศหญิงน่ะสิ ขณะที่เอโทสใช้ทั้งเท้าและหมัดพยายามขับไล่เด็กพวกนั้นออกไป ผมก็มองเห็นว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังช่วยเค้าต่อสู้อยู่ เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มจนออกจะดูเป็นสีส้มกำลังใช้รูปร่างอันผอมบางของเธอเกาะอยู่บนหลังเด็กผู้ชายอีกคนที่ดูจะตัวโตกว่าเธอสัก 3 เท่าเห็นจะได้ เค้าร้องออกมาขณะที่เธอเริ่มใช้มือข้างหนึ่งจิกลูกตาและอีกข้างกระชากผมของเขา เด็กผู้ชายคนนั้นบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดและพยายามจะสะบัดเธอให้หลุดจากหลัง ผมต้องขอชมว่าเธอคงเป็นอนาคตนักยิมนาสติกที่ได้เหรียญทองมากที่สุดในประวัติการณ์แน่ๆ เพราะดูเหมือนเธอจะทรงตัวอยู่บนหลังของเค้าได้ดีมากๆ และทุกๆการเคลื่อนไหวของเธอก็เหมือนกับได้ถูกคำนวณไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
เด็กผู้ชายคนนั้นร้องลั่นและเริ่มเสียการทรงตัวจนกระแทกเข้ากับเพื่อนของเค้าอีกคนก่อนทั้งคู่จะล้มคว่ำระเนระนาด ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปสมทบอยู่แล้วเมื่อก้อนหินก้อนหนึ่งถูกปามากระแทกเข้าที่ศีรษะของเด็กผู้หญิงคนนั้น เลือดสีแดงฉานไหลลงอาบแก้มของเธอแทบจะทันที
“อาธีน่า !” เอโทสร้องเสียหลงด้วยความตกใจขณะที่เค้ากำลังทำท่าเหมือนจะหักแขนเด็กผู้ชายอ้วนๆคนหนึ่งที่หมอบอยู่ข้างตัวเขาด้วย
ท่าเดธล๊อคแบบนักมวยปล้ำอาชีพ และนั่นคือฟางเส้นสุดท้ายของผม และของแอสตร้าด้วยเช่นกัน
เราสองคนกระโจนเข้าสู่สมรภูมิทันที ผมตะโกนออกมาซึ่งภายหลังผมคิดว่าคงเป็นการคำรามมากกกว่า ก่อนจะชกเด็กมือปาระเบิดหินหน้าคว่ำลงไปกับพื้น เสร็จไปหนึ่ง… แอสตร้าเองก็ใช่ย่อยผมหันไปเห็นเขากำลังใช้ความเร็วซึ่งเป็นจุดเด่นของเขามาตลอด หลอกล่อและหลบหลีกพายุหมัดของเด็กอีก 2 คนที่รุมทึ้งเข้ามาหาเขา เขาหมอบต่ำๆทีนึงก่อนจะกระโจนเข้าหาเด็กทางซ้ายมือและใช้กำปั้นชกเข้าที่จมูกของเขาอย่างจัง ผมรุดตามไปและฟาดศอกเข้าที่เด็กอีกคนทางขวาก่อนที่เขาจะเอาไม้เบสบอลฟาดใส่หลังของแอสตร้าได้ทันหวุดหวิด
“ขอบใจ” แอสตร้าพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ได้เสมอไอ้น้อง” ผมยิ้มกลับให้เขา ก่อนเราทั้ง 2 คนจะกลับเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
เอโทสลุกขึ้นได้แล้ว และกำลังใช้ต้นไม้เป็นบาร์โหนก่อนจะส่งลูกถีบเข้าที่หน้าอกของคู่ต่อสู้ ส่วนอาธีน่ากำลังเตะเข้าที่ขาที่สามของเด็กคนนึง ซึ่งนั่นทำให้เค้าหน้าซีดก่อนจะลงไปนอนกองอยู่กับพื้น และแม้ผมจะเกลียดเด็กพวกนี้ขนาดไหนแต่ผมก็อดรู้สึกเจ็บแทนเขาไม่ได้จริงๆ
การต่อสู้กำลังจะเข้าถึงช่วงชี้ขาดชัยชนะระหว่างเด็ก 4 คน กับเด็กอสูรกายอีกฝูงหนึ่ง แต่ทันใดนั้นเสียงนกหวีดยาวๆก็ดังขึ้น ทำเอาพวกเรา 4 คนหยุดชะงัก ในขณะที่ฝูงเด็กอสูรกายพร้อมใจกันล้มลงบนสนามหญ้าอย่างพร้อมเพรียง
ที่กำลังเดินอาดๆมาทางเราคือ มิสเตอร์ สโตน ครูสอนพละของโรงเรียน โรงเรียนที่พวกเราจำใจอาศัยอยู่ “The Cringle Colonial School” โรงเรียนสำหรับเด็กด้อยโอกาสหรือถูกทอดทิ้ง ซึ่งให้ผมพูดจริงๆมันควรจะเรียกว่าสถานดัดสันดานหรือไม่ก็พื้นที่รวมมิตรของเด็กเหลือขอและสังคมไม่ต้องการมากกว่า โรงเรียนของเราตั้งอยู่ในเมือง South Lake Tahoe เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ๆเด็กกำพร้าอย่างพวกเราได้รับความสนใจน้อยกว่าสกีและบ่อนคาสิโน
ครูสโตนสวมชุดวอร์มสีฟ้าแถบขาวซึ่งเข้าชุดกันกับการเกงวอร์มสีเดียวกันของเขา เขามักจะใส่เสื้อโทนสีฟ้าสลับขาวเสมอเพื่อพยายามให้คนอื่นรู้ว่าเขามีเชื้อสายอาเจนตินา และสืบทอดสายเลือดของ เช ผู้นำการปฏิวัติชาวอาเจนติน่าผู้โด่งดัง (ให้ตายผมก็ไม่เชื่อว่าครูสโตนมีเชื้อสายเดียวกับเชผู้กล้าหาญคนนั้น) เขามีร่างกายกำยำกับล่ำสัน และหนวดเคราพะรุงพะรังของเขาทำให้ไม้เบสบอลที่เขาถือมันมาด้วยดูน่ากลัวขึ้นสักล้านเท่า ครูสโตนเดินตรงมาที่เราจ้องเขม็งและเริ่มตั้งคำถาม
“ฉันคงไม่ต้องเดาว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้คือใครเป็นคนเริ่ม”
“พวกครอบครัวตัว เอครับ” เด็กคนที่นอนกุมมือบริเวณใต้เข็มขัดหลังจากถูกอาธีน่าจัดการไป เริ่มต้นเป็นคนแรก และผมก็รู้ว่าเพื่อนรักของผมกลับมาอีกแล้ว
…หายนะ
เด็กอสูรคนอื่นๆที่นอนอยู่ หรือเรียกให้ถูกคือแกล้งนอนอยู่ตามพื้นสนามฟุตบอลเริ่มเปล่งถ้อยคำต่างๆออกมาอย่างพรั่งพรู
“เอโทสแย่งเอาอาหารเช้าของผมไป”
“เอโทสสาดน้ำใส่หน้าผม”
“เอโทสนินทาครูสโตนว่าเป็นไอ้ยักษ์ในเรื่อง Monster inc.” (อันนี้ผมเห็นด้วย)
“เอโทสไม่ยอมบอกว่าอาธีน่าชอบดอกไม้อะไร”
เอโทสดูเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดลาวาออกมา เขาสบถและพยายามดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของแอสตร้าที่พยายามห้ามเขาไม่ให้เข้าไปทำร้ายเจ้าเด็กพวกนั้น
“ผมเปล่านะครับ” เอโทสเริ่มพูดบ้าง “พวกคีแกนต่างหากที่พยายามแย่งอาหารเช้าจากผม”
ครูสโตนมองพวกเรา 4 คนสลับไปมากับแก๊งค์เด็กอสูรที่นอนแผ่อยู่บนพื้น ดวงตาทั้ง 2 ดวงของครูมองละล่องอย่างเชื่องช้า เหมือนกับว่าเขาไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ แต่กำลังคิดถึงอาหารกลางวันมื้อต่อไปมากกว่า
“เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าพวกเธอ 4 คนเป็นคนเริ่มทำร้ายพวกคีแกนก่อน เพราะนั่นมันก็งานอดิเรกของพวกเธออยู่แล้วนี่ กลั่นแกล้งผู้อื่นและสร้างปัญหา“ ครูสโตนสรุปสถานการณ์ได้แย่และมักง่ายสุดๆอีกตามเคย
“ตามมาพบฉันที่โรงยิมตอนพักกลางวัน และพวกเธอคงรู้นะว่าจะเจอกับอะไร” พูดจบครูสโตนก็หันหลังอย่างขี้เกียจๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบกับตัวเองประมาณว่า เสียเวลาจริงๆ และเดินหายไปทางโรงอาหาร
ผมเองก็อยากจะคัดค้านการถูกลงโทษของพวกเราทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพของแก๊งค์เด็กอสูรทั้ง 12 คน ที่ทั้งบอบช้ำตามส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ก็มีเลือดกบปากเหมือน แวม์ไพร์เอ็ดเวิทตอนพึ่งดูดเลือดกวางเสร็จ นี่ยังไม่นับคนที่หน้าซีดและยังคงกำส่วนนั้นเอาไว้ ในขณะที่พวกเรา 4 คนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยถ้าไม่นับแผลที่ศีรษะของอาธีน่า ก็คงไม่แปลกถ้าครูสโตนจะเชื่อว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มมหาสงครามครั้งนี้
อีกอย่างการถูกลงโทษ ปรักปรำ เหยียดหยาม และชิงชังจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งที่เป็นปกติกับพวกเราทั้ง 4 คนเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศจะวันออกนั่นแหละ ผมค่อยๆหันมามอง เอโทสก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“นายโอเคนะ”
“ไม่เคยรู้สึกดีกว่านี้มาก่อน” เอโทสตอบขึ้นภายใต้รอยยิ้มเรียบๆ เขาจะดูไม่ค่อยพอใจกับผลการตัดสินเหตุการณ์นี้เท่าไหร่นัก
เด็กๆแก๊งค์อสูรกำลังทยอยลุกขึ้นและทำหน้าตากวนโอ๊ยใส่พวกเรา บางคนชูนิ้วกลางใส่พวกเราด้วยท่าทีที่ไม่สุภาพเป็น 2 เท่า แต่พอผมและ
แอสตร้าทำท่าเหมือนจะยกกำปั้นขึ้น พวกเขาก็สะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นและเดินจากไป
“ทำแผลก่อนเถอะ” ผมบอกอาธีน่าก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามากอด เอโทสและแอสตร้าเริ่มเข้ามาสมทบ
“จะไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้ หากเราทั้ง 4 ยังอยู่ด้วยกัน”
ผมพูดออกมาก่อนจะสัมผัสน้ำอุ่นๆค่อยๆไหลรินที่บริเวณหัวไหล่ของผม อาธีน่าคงเป็นเจ้าของมัน ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในช่วงพักกลางวันกับครูสโตน แต่ตอนนั้นตัวผมเองไม่ได้รู้เลย ว่าหายนะที่แท้จริง ที่จะเปลี่ยนชีวิตของผม เอโทส แอสตร้า และอาธีน่าไปตลอดกาลนั้น ยังไม่เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ