Reign of the Lost : The Twin Diamonds (ภาค 1) ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ รอบนี้ผมขออนุญาติลง 2 ตอนเลย เพื่อความต่อเนื่องในการอ่าน คิดเห็นยังไง ผมขอคำแนะนำจากทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ

ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30864711

2
อาธีน่า
ครูสโตนพาเราไปเที่ยวสวนสัตว์



การสาธยายเหตุผลนับพันอย่างว่าทำไมพวกเราทั้ง 4 คนถึงเป็นที่รังเกียจ และถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่ยุติธรรมในโรงเรียนแห่งนี้ด้วยความถี่แบบสม่ำเสมอนั้น ติด Top 3 เรื่องสุดท้ายในชีวิตที่ฉันอยากจะทำมา 3 ปีซ้อนแล้ว และคงต้องใช้กระดาษประมาณครึ่งรีมกับปากกาอีกโหลนึงถึงจะเขียนบรรยายได้จบ

ทุกครั้งที่ต้องนึกถึงมัน ฉันจะรู้สึกถึงอากาศที่ตีบตันในลำคอ เหมือนกับอยู่ในห้องเล็กๆที่ค่อยๆบีบตัวเองให้หดลงอยู่ทุกๆครั้งที่ฉันหายใจ และถึงแม้จะพยายามดิ้นรนเท่าไหร่ ฉันก็ไม่สามารถหลบหนีจากอดีตและความจริงอันเลวร้ายในชีวิตไปได้

เรื่องราวมันเริ่มเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่ตำรวจพบตัวฉันในสภาพถูกซ้อมอย่างหนัก จากพ่อของตัวเอง จะให้ถูกคงต้องบอกว่าพ่อเลี้ยงดีกว่า ตั้งแต่พ่อที่แท้จริงทิ้งเราไปด้วยเหตุผลประมาณว่า สุดจะทนกับพฤติกรรมของแม่ ส่วนฉันเองก็เป็นเนื้องอกในชีวิตของเขาที่คงอยากจะตัดทิ้งมานานมากแล้ว

หลังจากเขาทิ้งเราไปโรคติดสุราเรื้อรังของแม่ก็ดูจะหนักขึ้นๆอีก ทุกๆวันหลังฉันกลับจากโรงเรียน ภารกิจการเก็บกวาดซากปรักหักพังอันประกอบด้วย ขวดเหล้า เบียร์ เศษบุหรี่และกองพะเนินของสิ่งที่แม่และพ่อเลี้ยงสามารถขว้างปาใส่กันได้ก็เริ่มขึ้น หลังจากนั้นก็เป็นการหลบภัยระเบิดอยู่บนห้องใต้หลังคา เพื่อความปลอดภัยของตัวฉันเอง

ฉันชอบห้องใต้หลังคานี้มาก มันมีขนาดเล็กเพียงแค่ประมาณคน 3 คนจะสามารถอาศัยในห้องนี้ได้ และความสูงของเพดานก็เพียงผู้ชายโตเต็มวัยยืนได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น ผนังทุกด้านเป็นไม้โอ๊คเก่าๆ ที่ยังคงมีร่องรอยแห่งความงดงามทางอารยธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง ถึงแม้ปัจจุบันมันจะกลายเป็นอารยธรรมของปลวกและเชื้อราซะส่วนมากก็ตาม ห้องนี้มีหน้าต่างเล็กๆหนึ่งบานที่สามารถมองออกไปเห็นความสุขและความอบอุ่นของครอบครัวอื่นๆที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เต็ม 2 ตา

ฟังดูคุณคงคิดว่าเป็นสถานที่ๆไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นที่ๆเดียวภายในบ้านที่ฉันจะอยู่ได้อย่างสงบและปลอดภัย เนื่องจากพ่อเลี้ยงของฉันเองก็ไม่เคยรู้ว่ามีห้องใต้หลังคาอยู่ในบ้านแสนสุขหลังนี้

วันนั้นฉันกลับจากโรงเรียน หลังจากเก็บกวาดซากการทำลายล้างต่างๆจนเสร็จ ฉันก็ตรงรี่ขึ้นไปอยู่บนห้องใต้หลังคาเหมือนทุกวัน เพียงแต่วันนี้มันไม่เหมือนทุกวันอีกต่อไปเมื่อพ่อเลี้ยงฉันแอบตามฉันมา หลังจากที่เขาสงสัยมานานว่าฉันหายไปไหนได้ทั้งช่วงเย็นหลังเลิกเรียนทุกวัน ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นคุณคงจินตนาการออกได้เองว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันต่อนะ (เพราะถ้าคุณให้ฉันเล่า ฉันสาบานเลยว่าจะจัดการขาที่สามของคุณให้ยับ!)
  
และนั่นคือเหตุผลที่ฉันหนีออกจากบ้านมาด้วยสภาพสะบักสะบอม จนตำรวจมาพบเข้าและส่งฉันมาอยู่ในสถานที่ใหม่ซึ่งน่าอยู่พอๆกัน…ที่โรงเรียนดัดสันดานแห่งนี้….ที่ๆฉันได้พบกับครอบครัวที่แท้จริง

ฉันยังซุกอยู่ที่หัวไหล่ของอเล็กซ์ สถานที่สุดโปดดปรานแห่งเดียวของฉันในโรงเรียนสัพปะรังเคนี้  ในบรรดาพวกเรา 4 คน อเล็กซ์เป็นเหมือนพี่คนโต เขาสูงใหญ่ ผิวขาวและผมหยักศกเป็นลอนใหญ่สีบลอนด์ที่ไว้ยาวประบ่า เขามีใบหน้าอันหล่อเหลา ดางตาโตเข้ม และรูปหน้าที่รับกับทรงผม ทำให้เค้าทั้งดูสุขุม ทั้งเยือกเย็นและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เหมือน..เหมือนพระอาทิตย์ยามเช้าที่ไม่ทำให้เรารู้สึกร้อน เพียงแค่อบอุ่นเท่านั้น

อเล็กซ์เป็นคนแรกที่เข้ามาคุยกับฉันหลังจากที่ฉันถูกส่งมาที่สถานที่แห่งนี้ เขาเข้ามาชวนคุยและปลอบใจหลังจากพบฉันกำลังนั่งสะอื้นอยู่คนเดียวกับจานอาหารกลางวันในมุมหนึ่งของโรงทานอาหาร หลังจากฉันมาที่นี่ได้เพียง 3 วัน เขาแนะนำให้ฉันรู้จักกับเอโทสและแอสตร้าซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา เอโทสอายุน้อยกว่า  อเล็กซ์ 1 ปีและเตี้ยกว่าอเล็กซ์เล็กน้อย แต่ก็ยังสูงกว่าแอสตร้าที่รูปร่างค่อนข้างจะ…อืมมมไม่สูงเท่าไหร่นัก (โอ้ย ! เจ็บนะแอสตร้า..พี่ก็รู้ว่าฉันพูดเรื่องจริง) ผมของเอโทสมีสีน้ำตาล ตัดสั้นกุด และฉันสาบานได้เลยว่า รสนิยมการแต่งตัวของเขานั้นดูดีทีเดียว ถึงจะค้านกับสายตาของชาวโลกทั่วไปก็เถอะ

อย่างเช่นวันนี้เขาสวมเสื้อยืดที่เขียนว่า “แฟนเก่าฉัน ตายหมดแล้ว” ซึ่งจงใจใส่กลับหลังและกางเกงยีนส์ขาดๆก็ช่วยเสริมให้เขาดูดีมาก…ถ้าเทียบกับการแต่งตัวของเขาเมื่อวานนี้น่ะนะ

ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยแคร์เรื่องขี้ประติ๋วพวกนี้หรอก เอโทสเป็นคนดีและมีน้ำใจกับฉันเสมอ เวลาที่เค้าปลอบโยนฉันจากความเศร้าหมองที่ตามมาหลอกหลอนฉันจากอดีต ฉันจะรู้สึกเหมือนเขากำลังพาฉันบินข้ามหมู่เมฆบนท้องฟ้าสีครามเลยทีเดียว

ส่วนแอสตร้าเจ้าชายแห่งราตรีก็เหมือนอย่างที่อเล็กซ์ได้บรรยายเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ผมหยักศกสีดำ หนวดเครา และชุดโทนดำ คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นแอสตร้าได้ดีที่สุด  ในบรรดาพวกเราทุกคน แอสตร้าเป็นคนสนุกสนานและมักสร้างเสียงหัวเราะแก่พวกเรามากที่สุด เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์แต่กลับตรงดั่งลูกศรในเรื่องของเพื่อนพ้อง เขาไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครก็ตามที่มารังแกพวกเรา และนั่นคือสิ่งที่ฉันชอบที่สุดในตัวแอสตร้าเพราะมันเป็นเช่นเดียวกันกับตัวฉัน

ส่วนเหตุผลที่ทำไมพวกเรา 4 คนถึงถูกกลั่นแกล้งอย่างสม่ำเสมอทั้งจากเด็กนักเรียนด้วยกันและพวกครูสติแตก หากจะให้พูดย่อๆคงเป็นเพราะ ชื่อของพวกเราเองส่วนหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะบังเอิญขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A  ทั้งหมดแล้ว มันยังฟังไม่เหมือนชื่อที่พ่อแม่จะตั้งให้ลูกๆของตนในยุคปัจจุบันเลยสักนิด

มันเหมือนกับพ่อแม่ของพวกเราตัดสินใจคลอดพวกเราออกมาในยุคกรีกโบราณก่อนจะยัดเด็กทั้ง 4 เข้าเครื่องไทม์แมชชีนแล้วส่งมาสู่ยุคปัจจุบันยังไงยังงั้น นี่ยังไม่รวมเรื่องที่คนในโรงเรียนนี้มีพฤติกรรมแปลกๆกับพวกเราแทบตลอดเวลา พวกเขามักมองเราด้วยสายตาหวาดกลัวและเหยียดหยามอยู่เสมอๆ ครั้งหนึ่งแอสตร้าเคยสุดทนจนไปคาดคั้นจากเด็กเกรด 4 คนหนึ่งว่าทำไมต้องมองพวกเราด้วยสายตาอย่างนั้น คำตอบที่ได้ทำให้ฉันฟันธงว่าความเฮงซวยในโรงเรียนนี้คงทำให้นักเรียนที่นี่เสียสติไปแล้ว

“ไซมอนยอมสารภาพว่า” แอสตร้าเริ่มขึ้น

“เขากลัวพวกเราเพราะพวกเราชอบพูดกันด้วยภาษาแปลกๆที่ไม่ใช่ภาษาคนมันฟังดูเหมือนเอ่อ..สัตวน่ะ”

“สัตว์เนี่ยนะ” เอโทสเหมือนจะไม่เชื่อหูตัวเอง

ฉันเองก็คิดว่ามันเพี้ยนสุดๆ และเมื่อหันไปเห็นอเล็กซ์ที่กำลังเม้มมุมปากอย่างสงสัย ฉันก็รู้ทันทีว่าเขาคงคิดในแบบเดียวกัน จะให้เชื่อได้อย่างไรในเมื่อพวกเราทั้ง 4 ก็เป็นแค่เด็กธรรมดาปกติทั่วไป (ยกเว้นเรื่องการแต่งตัวของเอโทส…แต่นั่นก็ไม่พอจะให้มองว่าเราเป็นสัตว์อยู่ดี) อีกอย่างถ้ามีใครสักคนพูดภาษาที่ไม่ใช่ภาษาคนขึ้นมาจริงๆ พวกเราที่เหลือก็ต้องรู้ได้ในทันที

“ไซม่อนยังบอกอีกว่า…” แอสตร้าทำหน้าเหมือนเค้าเพิ่งกลืนยาถ่ายไปทั้งขวด

“ว่าอะไร” อเล็กซ์เริ่มคาดคั้นแอสตร้า

“เฮ้อ…..”ฉันมองดูแอสตร้าถอนหายใจยาวก่อนจะเริ่มปลดปล่อยสิ่งที่เขาได้รับจากไซมอน สิ่งโกหก หลอกลวงที่จงใจใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการกลั่นแกล้งพวกเรา

“เขาบอกว่าเด็กๆหลายคนที่นี่เคยเห็นฉันหอน เห็นเอโทสเกาะอยู่บนต้นไม้ตอนกลางคืน เห็นผมของอาธีน่ายาวจนจรดพื้นก่อนจะกลับไปสั้นแค่หลังเหมือนเดิม และนายอเล็กซ์…พวกเขาเห็นนายเรืองแสงสีทองรอบๆตัว”
ความเงียบปกคลุมเราอยู่เกือบนาที หน้าตาของแอสตร้าตอนนี้เหมือนเพิ่งกระดกยาถ่ายขวดที่ 2 เข้าไป ส่วนอเล็กซ์และเอโทสเหมือนเพิ่งโดนรถบรรทุกทับ

จนกระทั่งแอสตร้าระเบิดหัวเราะออกมาเป็นคนแรก หลังจากนั้นคนอื่นๆก็เริ่มหัวเราะบ้าง รวมถึงฉันด้วย มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อจงใจกลั่นแกล้งพวกเราทั้ง 4 คนเท่านั้น   ปรักปรำพวกเราเป็นลูกปีศาจเพื่อจะได้มีความชอบธรรมในการเหยียดหยาม ฉันคิดว่ามันทุเรศที่สุด และตัดสินใจว่า ต่อจากนี้ไม่ว่าฉันจะโดนกลั่นแกล้งอีกสักเท่าไหร่ก็ตาม ฉันก็จะไม่มีวันเสียใจที่ได้มารู้จัก อเล็กซ์ เอโทส และ แอสตร้าเลย เราทั้ง 4 คนเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง และถึงพวกเราจะไม่ใช่พี่น้องกันโดยสายเลือด แต่ความผูกพัน รักใคร่ ซื่อสัตย์และห่วงใย คือพันธนาการที่จะยึดพวกเราเอาไว้ เสมือนดังสมอเรือที่แข็งแกร่งและไม่มีวันโอนเอียงตามกระแสน้ำทะเล….

ไม่มีวัน



หลังจากเสียงกระดิ่งสุดท้ายของคาบเรียนวิชาเลขจบลงซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายในการเรียนครึ่งเช้า ฉัน อเล็กซ์   เอโทส และแอสตร้าก็รู้ว่าถึงเวลาจะต้องเจอกับอะไรในโรงยิมของครูสโตน  พวกเราทั้ง 4 คนเดินกันอย่างเงียบๆ ผ่านห้องสมุดเล็กๆที่มีหนังสืออยู่น้อยกว่าจำนวนชั้นวางพวกมันเสียอีกและส่วนมากก็อยู่ในสภาพพิกลพิการ ฉีกขาด หรือไม่ก็ไม่มีปกบอกชื่อเรื่อง

เราเดินกันสักพักก่อนจะตัดผ่านสนามฟุตบอลด้านหน้าโรงเรียน ซึ่งนำไปสู่ทางเดินแคบๆขนานกับกำแพงรั้วสีขาว มันถูกประดับประดาไปด้วยลวดหนามทรงกลม หยากไย่ และเศษอาหารที่ถูกทิ้งเรี่ยราดตามพื้น อเล็กซ์เดินอยู่หน้าสุด นี่คือเส้นทางสุดท้ายที่กั้นเรากับนรกในโรงยิม

ฉันเชื่อว่าอเล็กซ์ตั้งใจเดินนำพวกเรามาถึงจุดหมายโดยใช้เส้นทางที่สั้นที่สุด เพื่อพาพวกเราหลบหลีกสายตาเหยียดหยามจากคนหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อเช้ากับแก๊งค์ของคีแกน ซึ่งมีพ่อเส้นใหญ่และเป็นผู้อุปถัมถ์โรงเรียนแห่งนี้อยู่เป็นอาวุธ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องทนเจ็บปวดจากสายตาของเหล่านักเรียนที่จ้องมองมา จิตใจฉันกลับเจ็บปวดยิ่งกว่าที่อเล็กซ์เลือกใช้เส้นทางนี้ เส้นทางที่ต้องผ่านรั้วลวดหนาม

ฉันรู้ดีถึงอดีตของอเล็กซ์ที่เลวร้ายพอๆกับฉันหรืออาจจะมากกว่า จากการถูกพ่อแท้ๆของตนเอง ใช้แส้ลวดหนามฟาดแล้วฟาดเล่าตั้งแต่เขายังเด็กด้วยเหตุผลว่าเขาคือค่าชดใช้ที่แม่ของเขาแอบคบชู้และหนีตามไปกับเพื่อนข้างบ้าน  เมื่อฉันคิดถึงอดีตของเขาทีไรฉันจะไม่สามารถระงับอาการตัวสั่นเทาที่เกิดขึ้นได้เลย

ฉันกำลังจะยื่นแขนไปจับแขนของอเล็กซ์ที่บัดนี้ยังคงเดินนำพวกเราอย่างองอาจและสม่ำเสมอ ฉันอยากบอกให้เขาหยุดและเปลี่ยนเส้นทาง ฉันอยากจะบอกให้พี่ชายคนโตของฉันทำเพื่อตัวเขาเองบ้าง

“อย่า” แอสตร้าขัดฉันได้ทันพอดี เหมือนเขารู้ดีอยู่แล้วว่าฉันจะทำอะไร ฉันรู้ว่าเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกัน

“อเล็กซ์เสียสละเพื่อพวกเราจะไม่ต้องถูกทำร้ายด้วยสายตาพวกนั้น  อย่าทำร้ายเขาเพิ่มด้วยการหันหลังให้กับการตัดสินใจของลูกผู้ชายเลยนะ น้องสาวที่รัก” เสียงของเอโทสฟังดูอ่อนโยนและเศร้าหมอง ฉันกำลังจะเถียง แต่แอสตร้าก็ส่งสายตาวิงวอนแกมดุมาทางฉันได้ก่อน โอเคฉันยอมแพ้

สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมความเห็นใจต่ออเล็กซ์ของฉันได้ระหว่างที่เราเดินผ่านลวดหนามเหล่านั้น คือการนึกถึงอดีตอันดีงามเพียงอย่างเดียวที่ฉันมี และมันก็เกิดขึ้นที่นี่ วันที่พวกเราทั้ง 4 คนสาบานเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง ฉันยังจำรอยยิ้มและอ้อมกอดที่เรามอบให้กันและกันได้ ยังจำความอบอุ่นที่ฉันเคยลืมเลือนไปนานแสนนาน รวมถึงความจริงใจที่อยู่ในสายตาของพวกเราทุกคนขณะจ้องมองกัน ฉันคงจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งเหล่านี้ให้อยู่กับพวกเราตลอดไป ถึงแม้นั่นจะหมายถึงการสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องพวกเขาฉันก็จะทำ เพราะฉันรู้ว่าพวกเขาเองก็จะทำเช่นเดียวกัน

หลังจากการเดินทางผ่านรั้วสยองขวัญซึ่งใช้เวลาเพียง 5 นาที แต่กลับรู้สึกนานเหมือนดูหนังเรื่อง The Lord of the ring ซ้ำ 3 รอบจบลง    ประตูทางเข้าโรงยิมก็ยืนต้อนรับเราอยู่ตรงหน้า อเล็กซ์เปิดประตูและนำพวกเราเข้าไป เผยให้เห็นภาพโรงยิมที่คุ้นตา คือมีสภาพเหมือนหลุมหลบภัยใต้ดินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่าการเป็นสถานที่สำหรับเล่นกีฬา

ผนังทั้งหมดเป็นผนังซิเมนต์เก่าๆ ซึ่งครั้งหนึ่งคงเคยมีสีสันจากการทาสีตกแต่งที่หลากหลาย เพียงแต่ตอนนี้มันถลอกจนไม่สามารถระบุได้ว่าเคยมีสีอะไรบ้างวาดลวยลายอยู่บนนั้น ในโรงยิมมีแป้นบาสเก็ตบอลอเนกประสงค์ที่เคยผ่านการเป็นทั้ง แป้นบาสเก็ตบอล ราวตากผ้า ที่แขวนร่ม รวมถึงที่เก็บรองเท้าที่ถูกขโมยมา และปัจจุบันได้เปลี่ยนสถานะไปเป็นรังอันสงบสุขของกองทัพแมงมุม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่