คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
1.พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่าที่ทรงตรัสเช่นนั้นก็เพื่ออนุเคราะห์พวกเจ้าวัชชี เพราะหากพระองค์ไม่ได้ตรัสเช่นนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูสามารถที่จะรบชนะพวกเจ้าวัชชีได้ภายในไม่กี่วัน แต่ถ้าหากพระองค์ตรัสเช่นนั้น กว่าพระเจ้าอชาตศัตรูจะทลายพวกเจ้าวัชชีให้แตกสามัคคีกันต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี การที่พวกเจ้าวัชชีมีชีวิตอยู่ได้อีก ๓ ปี เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะสามารถทำความดีให้เป็นที่พึงของตนได้ (อ้างที.ม.อ. ๒/๑๓๕/๑๒๑.)
2.วัสสการพราหมณ์พอได้ฟังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์แล้วก็คิดว่า ที่พวกเจ้าลิจฉวีเข้มแข็ง ข้าศึกศัตรูไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะความสมัครสมานสามัคคีกัน ทางเดียวที่จะตีแตกได้ต้องหาทางทำลายความสามัคคีของพวกเจ้าลิจฉวี ข้อนี้เป็นความฉลาดของวัสสการพราหมณ์เอง จะหาว่าพระพุทธองค์ทรงบอกใบ้หรือชี้แนะให้กษัตริย์สองเมืองรบกันไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะพระพุทธจริยาวัตรของพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระมหากรุณามุ่งให้สรรพสัตว์รักใคร่ปรองดองกัน ส่วนคนที่ฟังจากพระองค์แล้วจะนำไปคิดไปใช้ในแง่ลบแง่เบียดเบียนคนอื่น เป็นความผิดของผู้นั้นเอง (อ้างศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก)
เรื่องนี้ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้แจงไว้ในหนังสือกรณีเงื่อนงำพระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร สรุปได้ว่าการศึกสงครามระหว่างมคธกับวัชชี อันเนื่องมาจากพระเจ้าอชาตศัตรูทรงพิโรธพวกเจ้าลิจฉวี ทรงเตรียมจะยกทัพไปตีวัชชีมานานจนถึงจุดระเบิด แต่พระเจ้าอชาตศัตรูยังคร้ามเกรงอยู่ เพื่อความมั่นใจ จึงส่งวัสสการพราหมณ์ไปเฝ้าหยั่งพระดำรัสของพระพุทธเจ้าดู โดยกราบทูลตรงๆ ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปถล่มวัชชีให้พินาศขาดสูญ และก็ไม่ได้บอกว่าจะรอความเห็นของพระพุทธองค์ เพียงเล่าให้ทราบ พระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว ได้ทรงผินพระพักตร์ไปตรัสถามพระอานนท์ว่า “พวกเจ้าลิจฉวียังปฏิบัติวัชชีอปริหานิยธรรม ๗ ประการ กันอยู่หรือ และตรัสว่า ตราบใดที่ชาววัชชียังปฏิบัติตามนั้นอยู่ก็หวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม” วัสสการพราหมณ์สรุปเอาเองว่า“อย่าว่าแต่ปฏิบัติวัชชีอปริหานิยธรรม ๗ ข้อเลย แม้เพียงข้อหนึ่งๆ ก็หวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม ถ้าจะปราบแคว้นวัชชีจะต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อม หรือไม่ก็ทำลายความสามัคคีจึงจะทำสำเร็จ
3.แต่ที่แน่นอนก็คือตลอดพระชนมชีพของพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้ทรงยกทัพไปปราบแคว้นวัชชี เลย แคว้นวัชชียังคงอยู่เป็นปกติสุข จนพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน และแคว้นวัชชีก็ได้ไปรับการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปทำการฉลองในกรุงเวสาลี (อ้างอิง ทองย้อย แสงสินชัย, นาวาเอก, ความจริงในมหาปรินิพพานสูตร)
* ถ้าเราพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ไม่ได้ให้นัยความหมายไปในทางสนับสนุนสงครามแต่ประการใด ตรงกับข้ามจะเป็นทัศนะที่ห้ามไม่ให้ไปทำสงครามมากกว่า เพราะถ้าไปก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้กลับมา แต่การได้นัยเป็นสองประการนั้น เป็นข้อสรุปของพราหมณ์เอง ในประเด็นนี้ พระอรรถกถาอธิบายความตอนนี้ไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบดีถึงการได้นัยของวัสสการพราหมณ์และตามมติของพระอรรถกถาจารย์ดูเหมือนจะบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้วัสสการพราหมณ์ได้นัยเช่นนั้น เพราะถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสเช่นนั้น แคว้นวัชชีจะถูกทำลายภายในชั่วเวลาไม่กี่วัน แต่การที่ทรงตรัสเช่นนั้น เป็นการซื้อเวลาให้พวกเจ้าวัชชีอีก ๓ ปี กว่าวัสสการพราหมณ์จะดำเนินการยุยงให้แตกกันสำเร็จ การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการอนเคราะห์แก่พวกเจ้าวัชชีจะได้มีโอกาสในการทำความดีมากกว่าจะเป็นส่งเสริมให้มีสงคราม เพราะทรงเล็งเห็นแล้วว่า กระแสสังคมที่ยอมรับการล่าอาณานิคมเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในยุคนั้นมีกำลังแรงมาก และพลังของมานะกษัตริย์ที่ยึดถือเรื่องวรรณะก็มีพลังมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างพระเจ้าอชาตศัตรูกับพวกเจ้าวัชชีก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน และการที่ทรงตรัสเช่นนั้น จึงเป็นการชลอสงครามได้นานถึง ๓ ปี พอมีเวลาให้พวกเจ้าวัชชีได้ทำความดีเพื่อเป็นที่พึ่งของตนเองในภายหน้าได้ (อ้างอิง ปรีชา บุญศรีตัน)
2.วัสสการพราหมณ์พอได้ฟังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์แล้วก็คิดว่า ที่พวกเจ้าลิจฉวีเข้มแข็ง ข้าศึกศัตรูไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะความสมัครสมานสามัคคีกัน ทางเดียวที่จะตีแตกได้ต้องหาทางทำลายความสามัคคีของพวกเจ้าลิจฉวี ข้อนี้เป็นความฉลาดของวัสสการพราหมณ์เอง จะหาว่าพระพุทธองค์ทรงบอกใบ้หรือชี้แนะให้กษัตริย์สองเมืองรบกันไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะพระพุทธจริยาวัตรของพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระมหากรุณามุ่งให้สรรพสัตว์รักใคร่ปรองดองกัน ส่วนคนที่ฟังจากพระองค์แล้วจะนำไปคิดไปใช้ในแง่ลบแง่เบียดเบียนคนอื่น เป็นความผิดของผู้นั้นเอง (อ้างศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก)
เรื่องนี้ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้แจงไว้ในหนังสือกรณีเงื่อนงำพระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร สรุปได้ว่าการศึกสงครามระหว่างมคธกับวัชชี อันเนื่องมาจากพระเจ้าอชาตศัตรูทรงพิโรธพวกเจ้าลิจฉวี ทรงเตรียมจะยกทัพไปตีวัชชีมานานจนถึงจุดระเบิด แต่พระเจ้าอชาตศัตรูยังคร้ามเกรงอยู่ เพื่อความมั่นใจ จึงส่งวัสสการพราหมณ์ไปเฝ้าหยั่งพระดำรัสของพระพุทธเจ้าดู โดยกราบทูลตรงๆ ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปถล่มวัชชีให้พินาศขาดสูญ และก็ไม่ได้บอกว่าจะรอความเห็นของพระพุทธองค์ เพียงเล่าให้ทราบ พระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว ได้ทรงผินพระพักตร์ไปตรัสถามพระอานนท์ว่า “พวกเจ้าลิจฉวียังปฏิบัติวัชชีอปริหานิยธรรม ๗ ประการ กันอยู่หรือ และตรัสว่า ตราบใดที่ชาววัชชียังปฏิบัติตามนั้นอยู่ก็หวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม” วัสสการพราหมณ์สรุปเอาเองว่า“อย่าว่าแต่ปฏิบัติวัชชีอปริหานิยธรรม ๗ ข้อเลย แม้เพียงข้อหนึ่งๆ ก็หวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม ถ้าจะปราบแคว้นวัชชีจะต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อม หรือไม่ก็ทำลายความสามัคคีจึงจะทำสำเร็จ
3.แต่ที่แน่นอนก็คือตลอดพระชนมชีพของพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้ทรงยกทัพไปปราบแคว้นวัชชี เลย แคว้นวัชชียังคงอยู่เป็นปกติสุข จนพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน และแคว้นวัชชีก็ได้ไปรับการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปทำการฉลองในกรุงเวสาลี (อ้างอิง ทองย้อย แสงสินชัย, นาวาเอก, ความจริงในมหาปรินิพพานสูตร)
* ถ้าเราพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ไม่ได้ให้นัยความหมายไปในทางสนับสนุนสงครามแต่ประการใด ตรงกับข้ามจะเป็นทัศนะที่ห้ามไม่ให้ไปทำสงครามมากกว่า เพราะถ้าไปก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้กลับมา แต่การได้นัยเป็นสองประการนั้น เป็นข้อสรุปของพราหมณ์เอง ในประเด็นนี้ พระอรรถกถาอธิบายความตอนนี้ไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบดีถึงการได้นัยของวัสสการพราหมณ์และตามมติของพระอรรถกถาจารย์ดูเหมือนจะบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้วัสสการพราหมณ์ได้นัยเช่นนั้น เพราะถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสเช่นนั้น แคว้นวัชชีจะถูกทำลายภายในชั่วเวลาไม่กี่วัน แต่การที่ทรงตรัสเช่นนั้น เป็นการซื้อเวลาให้พวกเจ้าวัชชีอีก ๓ ปี กว่าวัสสการพราหมณ์จะดำเนินการยุยงให้แตกกันสำเร็จ การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการอนเคราะห์แก่พวกเจ้าวัชชีจะได้มีโอกาสในการทำความดีมากกว่าจะเป็นส่งเสริมให้มีสงคราม เพราะทรงเล็งเห็นแล้วว่า กระแสสังคมที่ยอมรับการล่าอาณานิคมเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในยุคนั้นมีกำลังแรงมาก และพลังของมานะกษัตริย์ที่ยึดถือเรื่องวรรณะก็มีพลังมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างพระเจ้าอชาตศัตรูกับพวกเจ้าวัชชีก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน และการที่ทรงตรัสเช่นนั้น จึงเป็นการชลอสงครามได้นานถึง ๓ ปี พอมีเวลาให้พวกเจ้าวัชชีได้ทำความดีเพื่อเป็นที่พึ่งของตนเองในภายหน้าได้ (อ้างอิง ปรีชา บุญศรีตัน)
แสดงความคิดเห็น
วัสสการพราหมณ์ได้คำแนะนำวิธีการยึดแคว้นวัชชีจากพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ ?
"พระเจ้าอชาตศํตรูเคยส่งวัสสการะพราหมณ์ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค โดยให้ไปหยั่งดูว่า ถ้าพระองค์จะทรงยกทัพไปปราบวัชชี พระพุทธองค์
จะทรงตรัสว่าอย่างไร วัสสการพราหมณ์ได้เข้าไปทูลทำนองว่า พระเจ้าอชาตศัตรูทรงพระดำริจะยกทัพไปปราบแคว้นวัชชี พระพุทธองค์ก็ไม่
ตรัสอะไรกับวัสสการ พราหมณ์ แต่ทรงหันไปถามท่านพระอานนท์ว่า
“อานนท์ สมัยหนึ่งเราได้แสดงหลักอปริหานิยธรรม ๗ ประการ ไว้แก่เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย เวลานี้ พวกกษัตริย์ลิจฉวียังรักษาอปริหานิยธรรมกันดี
อยู่หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลรับ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตราบใดที่กษัตริย์ลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชียังประพฤติปฏิบัติมั่นอยู่ในอปริหานิยธรรม ๗ ประการ จะ
ไม่มีใครเอาชนะได้ คล้ายกับจะทรงห้ามทัพไว้ก่อน เพราะถ้าขืนรบก็จะสูญเสียมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่กล้ายกทัพ
ไป
ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงพระดำริอีก ว่าทำอย่างไรจะเอาชนะวัชชีได้ วัสสการพราหมณ์ได้ถวายแผนการจะไปทำลายความสามัคคีของ
แคว้นวัชชีเสีย และอาสาดำเนินการนี้ โดยทำอุบายเป็นว่าถูกลงโทษ และถูกขับถูกเนรเทศออกจากแคว้นมคธไป"
--------------------------------
ทำไมพระพุทธเจ้าถึงทรงตอบทั้งที่อาจรู้ว่าคำตอบที่ตอบไปอาจถือเป็นคำแนะนำแก่วัสสการพราหมณ์ อาจทรงเลือกที่จะไม่ตอบก็ได้ นิ่งเฉยเสีย หรือสอนธรรมเรื่องการจองเวร ปานาติบาทกอาจทำได้ และถ้ามองว่าเป็นการตอบเพื่อป้องกันแคว้นวัชชีเป็นคำแนะนำให้แคว้นวัชชีก็ไม่น่าใช่เพราะไม่ได้เป็นการกล่าวให้คนของแคว้นวัชชีฟัง แต่เป็นคนของแคว้นมคธ ที่จะบุกแคว้นวัชชี