ขณะโลกกำลังเผชิญวิกฤติการณ์สงคราม ขณะที่บ้านเมืองจะ
จากวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญมรสุมหนี้ครัวเรือน วิกฤติราคาสินค้าเกษตร ไม่แปลกถ้าประชาชนในประเทศจะคาดหวังให้ผู้นำของตนใส่ใจต่อการแก้ปัญหาใหญ่ๆเหล่านี้ด้วยตนเอง แต่สิ่งที่นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คิดว่าสำคัญเร่งด่วน ต้องทำให้ได้มีเพียง2อย่าง 1.แก้รัฐธรรมนูญ 2.ไปมอนเตเนโกร
สั่งประชุม5วันรวด ยังไงต้องแก้รธน.ให้ได้
แม้เกิดเหตุปัญหาเร่งด่วนเรื่องเศรษฐกิจอย่างราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จนต้องมาใช้เวทีสภาในการแก้ปัญหา นายกนยิ่งลักษณ์ยังเมินเฉยต่อการจัดการปัญหา มิหนำซ้ำ น่าเจ็บใจแทนเกษตรกรสวนยางทั่วประเทศคือ คำสั่งลอยมาจากผู้มีอำนาจให้รัฐสภาประชุมแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญติดต่อกันหลายวันแล้ว ล่าสุดจากเหตุการณ์สภาล่มในการประชุมเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กันยายน เนื่องจากกลุ่ม ส.ส.เพื่อไทย 26 คน ขาดประชุม ข่าวออกมามากมายว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวคุณยิ่งลักษณ์ออกโรงคาดโทษ จะไม่พิจารณาส่งลงในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากไม่มาประชุมแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ด้วยพลังความบ้าอำนาจ จากใคร จึงทำให้วิปรัฐบาลประกาศโละวาระงานสภา งานชาวบ้าน งานวุฒิสภา หรือกระทู้ถามจากส.ส.เรื่องปัญหาใหญ่ประชาชน เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ วิกฤติเศรษฐกิจ ออกไปก่อน โดยจะประชุมรัฐสภา 5 วันรวดทั้งสัปดาห์นี้ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น
มันสำคัญขนาดไหนเมื่อเทียบกับปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนและหายนะเศรษฐกิจประเทศที่ติดลบลงทุกนาที
เหตุใดนายกฯต้องไปมอนเตเนโกร?
นายกฯยิ่งลักษณ์เดินทางเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี นครวาติกัน และสาธารณรัฐมอนเตเนโกรอย่างเป็นทางการสัปดาห์นี้ เอาเข้าจริง ตรวจสอบพบว่า ไม่มีวาระสำคัญหรือการลงนามอะไรเลยที่ระดับนายกรัฐมนตรีต้องไปเอง แต่มีประเด็นหนึ่งที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังมีปัญหาเรื่องหนังสือเดินทางที่ได้จากมอนเตเนโกร และสถานภาพการพักอาศัยที่อื่นๆอย่างดูไบเริ่มมีปัญหาเช่นกัน ไม่รู้จริงหรือไม่ แต่ดันไปสอดรับกับข่าวว่า คุณยิ่งลักษณ์จะใช้ตำแหน่งนายกฯเซ็นยกเลิกการตรวจลงตราหนังสือเดินทางระหว่างมอนเตเนโกรและไทย หรือนี่คืองานสำคัญของยิ่งลักษณ์
ย้อนความไปก่อนหน้า สาเหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณได้สัญชาติ เป็นพลเมืองมอนเตเนโกรนั้น เพราะครั้งนั้นไปเจรจาว่า จะลงทุนและทำธุรกิจที่นั่นมากมาย แต่ปัจจุบันก็ยังไม่พบว่า กลุ่มชินนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยเป็นประโยชน์อันใดแก่ชาวมอนเตเนโกร ดังนั้น หากการทีคุณยิ่งลักษณ์บอกว่า ไปมอนเตเนโกรเพื่อประโยชน์ประเทศชาติไทย ต้องบอกให้ได้ว่าสำหรับประเทศนี้จะทำให้ไทยได้ประโยชน์การค้าใดมากขึ้น มิเช่นนั้นก็อาจไม่พ้นข้อสงสัยว่า จะไปเซ็นต์ให้ฟรีวีซ่าทำไม หรืออาจกำลังเอาผลประโยชน์ไทยอะไร ไปกางโต๊ะให้ทางมอนเตเนโกร ประเทศที่เป็นคู่ค้าระดับที่ไม่มีผลกับไทย ไปให้เลือก
วิกฤติเศรษฐกิจไทยกำลังมาเยือน นายกฯยังเฉย
เศรษฐกิจไทยปีนี้ ไตรมาสแรกหดตัว 1.7% ขณะที่ไตรมาสที่สองยังคงหดตัว 0.3% การค้าระหว่างประเทศตกต่ำขีดสุด ขาดดุลการค้าพังพินาศ ยอดส่งออกกับคู่ค้าลดลงเกือบทั้งหมด ตัวเลขส่งออกไทยไม่ดีมา 18 เดือนแล้ว นั่นเท่ากับอายุรัฐบาลนี้พอดี และจากเป้าส่งออกที่คาดจะขยายตัว 7.0-7.5% หรือใกล้เคียงมากที่สุดในปีนี้ แต่ 7 เดือนแรกของปี มีมูลค่า 1.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพียง 0.60% เท่านั้น เฉพาะยอดส่งออกเดือนก.ค.ติดลบ 1.48% ถ้าดูแยกประเภทสินค้า ถือว่าตกต่ำลงทุกหมวด ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเกษตร เจาะไปเลยชัดๆที่ข้าว จากที่เคยส่งออกข้าวปีละ 10 ล้านตัน ตอนนี้เหลือ 6-7 ล้านตันเท่านั้น ถามว่า เช่นนั้นแล้วจำนำข้าวไว้ทำไม ,ดุลการค้าในระยะ 7 เดือน ขาดดุลทุกเดือน ยอดสะสมขาดดุลรวมไปแล้ว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์หรือ 5.9 แสนล้านบาท
หันมาดูตัวเลข ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่จริงๆแล้วเกินดุลมาตลอดตั้งแต่ปี 2540 แต่ล่าสุดเริ่มขาดดุลช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ที่ระดับ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หากสัญญานนี้ยังไม่ชัดพอ! มาดูทุนต่างชาติที่ทยอยถอนทุนหนีออก พบมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติออกจากประเทศไทย โดยตัวเลขการถือครองพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ของต่างชาติ ปรับลดลงจากระดับ 8.6 แสนล้านบาท เหลือประมาณ 7 แสนล้านบาทแล้ว ณ เวลานี้
ตัวเลขชัดๆยังปรากฎอีกว่า ตั้งแต่หลังน้ำท่วมปี 54 พบโรงงานทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศแบบฉุดไม่อยู่ อย่างโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลังน้ำท่วมโรงงาน ได้รับเงินประกันแล้ว กลับปิดกิจการ ไม่เปิดดำเนินการอีก อาจเป็นเพราะค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการย้ายฐานผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบ้าง อย่างโครงการรถคันแรกแต่ในปีต่อมาคือปีนี้ พบว่า ยอดจองรถยนต์ใหม่ตกวูบกว่า 50 % แถมลูกค้าเก่า 70% เปลี่ยนใจชะลอรับรถด้วย ส่งผลลูกโซ่ต่อบริษัทอะไหล่ อุปกรณ์ประกอบรถยนต์ ทำให้เกือบทุกบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องลดกำลังการผลิต ลดต้นทุน โอทีพนักงาน และหลายบริษัทนับถอยหลังถอนตัว เตรียมปิดกิจการ แน่นอนพนักงานคนไทยต้องตกงาน ออกมาหางานใหม่อีกนับแสนคนในอุตสาหกรรมนี้
ขณะที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ไทยแท้ก็เริ่มออกอาการ เริ่มที่เครือสหฟาร์ม ผู้ส่งออกไก่ระดับบิ๊กของไทย ก็ถึงจุดวิกฤติครั้งแรกในรอบ 45 ปีของการทำธุรกิจ แต่มาล้มเอาปีนี้ ประกาศ "ปิดตัวชั่วคราว" เปิดตัวเลขหนี้ค้างล่าสุด เจ๊งไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท ลูกโซ่ต่อมาคือแรงงานคนไทยกว่า 10,000 คนในเครือสหฟาร์มกำลังกลายเป็นคนว่างงาน เช่นเดียวกับแรงงานอีกกว่า 2,000 คนของ บมจ.แพนเอเซียฟุตแวร์(PAF) ผู้รับจ้างผลิตรองเท้ารายใหญ่ของไทย ยี่ห้อไนกี้ ตอนนี้ประกาศ"ปิดตัวถาวร"หลังขาดทุนสะสมกว่า 2,000 ล้านบาท ไม่ต่างกับบริษัทยี่หนินอาหารแช่แข็ง จำกัด จ.ระยอง แจ้งปิดกิจการชั่วคราว พนักงาน 200 คน ถูกเลิกจ้างทันที บริษัท เซ็นทรัลอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด (มหาชน)ที่จ้างงานแรงงานมากมาย ก็พึ่งประกาศปิดตัวไปเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา
ธุรกิจ SME เจ้าของคนไทยทั้งหลายกำลังเริ่มส่ออาการ อย่างกลุ่มเซรามิกที่ลำปาง จากเดิมมีมูลค่าปีละ 3,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 2,500 ล้านบาทและในประเทศ 1,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดขายรวมลดเหลือเพียง 2,500 ล้านบาท ทำให้ต้องแบกภาระต้นทุนแรงงานที่ขึ้นไปที่300บาท ปีนี้ทางกลุ่มจึงปรับลดคนงานจากเดิมมี 11,000 คน เอาออกให้เหลือเพียง 6,500 คน เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่ได้
ผลพวงอันหนักหน่วงจากนโยบายบังคับให้ต้องขึ้นค่าแรง 300 บาท กำลังกลายเป็นดาบที่กลับมาทำให้แรงงานตกงาน แต่นายกยิ่งลักษณ์ไม่เคยออกมาจัดการอะไรเลย นั่นยังไม่พอเท่ากับภาวะเงินเฟ้อค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างรวดเร็วช่วง 2 ปี ขณะที่รายได้ประชาชนลดลงจากการโดนตัดเงินเดือน ลดโอที และตกงาน เงินเฟ้อและฝืดในเวลาเดียวกัน รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์และแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีเองก็ออกมาพูดให้น่าเจ็บปวดขึ้นไปอีกว่า “ประชาชนคิดไปเอง ข้าวของไม่ได้แพง เศรษฐกิจยังดี”ทั้งที่ล่าสุดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน เข้าใกล้ระดับ 80 % ของ GDP ไปแล้ว
นอกจากนี้ หากสหรัฐโจมตีซีเรีย นักวิชาการพลังงานบอกแล้วว่า จะมีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันของไทยเฉลี่ยปรับขึ้นอย่างต่ำ 2 บาทต่อลิตร กรณีนี้ยังไม่รวมผลกระทบค่าเงินบาทที่หากอ่อนค่า และนี่ยังไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งคนที่เป็นผู้นำประเทศอย่างคุณยิ่งลักษณ์ควรจะต้องจัดประชุม หามาตรการป้องกันได้แล้ว แต่ก็ไม่
วิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าเป็นการค้าในประเทศ การส่งออก การลงทุนที่ตกต่ำลงสุดขีด การจ้างงานลดลงจนเตรียมแตะปัญหาการว่างงานของประชากรในประเทศ ปัญหาวิกฤติค่าครองชีพจากภาวะเงินเฟ้อที่เป็นเงินฝืดในระบบด้วย ไม่ว่าจะเกิดจากผลผิดพลาดของนโยบายรัฐบาลเองหรือปัจจัยภายนอก แต่ผู้ที่ทำหน้าที่รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ต้องไม่ใช่ออกมาให้ข่าวว่าปัญหานี้ไม่เกี่ยวกับตน หรือมันเป็นผลกระทบจากภายนอก หรือปกปิดตัวเลขที่แท้จริง เพื่อรักษาภาพบางอย่าง
แต่.....ต้องออกมาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ออกมาตรการฟื้นตัวเศรษฐกิจชัดเจน ลงไปคุยกับกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีปัญหาจริงๆว่าจะร่วมกันแก้อย่างไร ยอมถอย ปรับเปลี่ยนนโยบายการเมืองที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อย่างจำนำข้าว และค่าแรง300 มากกว่าจะไปเร่งแก้รัฐธรรมนูญให้ได้วันนี้พรุ่งนี้
"เพื่อปกป้องคุ้มครองปมด้อยในจิตใจตนเอง
ผู้คนทั้งหลายมักกระทำเรื่องประหลาดพิกลออกมา"
(โก้วเล้ง จากเรื่อง ดาบมรกต)
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/8579
ปล.ภาระกิจเร่งด่วน พาพี่กลับบ้าน...ใช่ป่ะนายกปู....เอิ๊ก ๆ ๆ
ถึง“ผู้นำ” บ้าอำนาจ
สั่งประชุม5วันรวด ยังไงต้องแก้รธน.ให้ได้
แม้เกิดเหตุปัญหาเร่งด่วนเรื่องเศรษฐกิจอย่างราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จนต้องมาใช้เวทีสภาในการแก้ปัญหา นายกนยิ่งลักษณ์ยังเมินเฉยต่อการจัดการปัญหา มิหนำซ้ำ น่าเจ็บใจแทนเกษตรกรสวนยางทั่วประเทศคือ คำสั่งลอยมาจากผู้มีอำนาจให้รัฐสภาประชุมแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญติดต่อกันหลายวันแล้ว ล่าสุดจากเหตุการณ์สภาล่มในการประชุมเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กันยายน เนื่องจากกลุ่ม ส.ส.เพื่อไทย 26 คน ขาดประชุม ข่าวออกมามากมายว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวคุณยิ่งลักษณ์ออกโรงคาดโทษ จะไม่พิจารณาส่งลงในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากไม่มาประชุมแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ด้วยพลังความบ้าอำนาจ จากใคร จึงทำให้วิปรัฐบาลประกาศโละวาระงานสภา งานชาวบ้าน งานวุฒิสภา หรือกระทู้ถามจากส.ส.เรื่องปัญหาใหญ่ประชาชน เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ วิกฤติเศรษฐกิจ ออกไปก่อน โดยจะประชุมรัฐสภา 5 วันรวดทั้งสัปดาห์นี้ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น
มันสำคัญขนาดไหนเมื่อเทียบกับปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนและหายนะเศรษฐกิจประเทศที่ติดลบลงทุกนาที
เหตุใดนายกฯต้องไปมอนเตเนโกร?
นายกฯยิ่งลักษณ์เดินทางเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี นครวาติกัน และสาธารณรัฐมอนเตเนโกรอย่างเป็นทางการสัปดาห์นี้ เอาเข้าจริง ตรวจสอบพบว่า ไม่มีวาระสำคัญหรือการลงนามอะไรเลยที่ระดับนายกรัฐมนตรีต้องไปเอง แต่มีประเด็นหนึ่งที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังมีปัญหาเรื่องหนังสือเดินทางที่ได้จากมอนเตเนโกร และสถานภาพการพักอาศัยที่อื่นๆอย่างดูไบเริ่มมีปัญหาเช่นกัน ไม่รู้จริงหรือไม่ แต่ดันไปสอดรับกับข่าวว่า คุณยิ่งลักษณ์จะใช้ตำแหน่งนายกฯเซ็นยกเลิกการตรวจลงตราหนังสือเดินทางระหว่างมอนเตเนโกรและไทย หรือนี่คืองานสำคัญของยิ่งลักษณ์
ย้อนความไปก่อนหน้า สาเหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณได้สัญชาติ เป็นพลเมืองมอนเตเนโกรนั้น เพราะครั้งนั้นไปเจรจาว่า จะลงทุนและทำธุรกิจที่นั่นมากมาย แต่ปัจจุบันก็ยังไม่พบว่า กลุ่มชินนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยเป็นประโยชน์อันใดแก่ชาวมอนเตเนโกร ดังนั้น หากการทีคุณยิ่งลักษณ์บอกว่า ไปมอนเตเนโกรเพื่อประโยชน์ประเทศชาติไทย ต้องบอกให้ได้ว่าสำหรับประเทศนี้จะทำให้ไทยได้ประโยชน์การค้าใดมากขึ้น มิเช่นนั้นก็อาจไม่พ้นข้อสงสัยว่า จะไปเซ็นต์ให้ฟรีวีซ่าทำไม หรืออาจกำลังเอาผลประโยชน์ไทยอะไร ไปกางโต๊ะให้ทางมอนเตเนโกร ประเทศที่เป็นคู่ค้าระดับที่ไม่มีผลกับไทย ไปให้เลือก
วิกฤติเศรษฐกิจไทยกำลังมาเยือน นายกฯยังเฉย
เศรษฐกิจไทยปีนี้ ไตรมาสแรกหดตัว 1.7% ขณะที่ไตรมาสที่สองยังคงหดตัว 0.3% การค้าระหว่างประเทศตกต่ำขีดสุด ขาดดุลการค้าพังพินาศ ยอดส่งออกกับคู่ค้าลดลงเกือบทั้งหมด ตัวเลขส่งออกไทยไม่ดีมา 18 เดือนแล้ว นั่นเท่ากับอายุรัฐบาลนี้พอดี และจากเป้าส่งออกที่คาดจะขยายตัว 7.0-7.5% หรือใกล้เคียงมากที่สุดในปีนี้ แต่ 7 เดือนแรกของปี มีมูลค่า 1.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพียง 0.60% เท่านั้น เฉพาะยอดส่งออกเดือนก.ค.ติดลบ 1.48% ถ้าดูแยกประเภทสินค้า ถือว่าตกต่ำลงทุกหมวด ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเกษตร เจาะไปเลยชัดๆที่ข้าว จากที่เคยส่งออกข้าวปีละ 10 ล้านตัน ตอนนี้เหลือ 6-7 ล้านตันเท่านั้น ถามว่า เช่นนั้นแล้วจำนำข้าวไว้ทำไม ,ดุลการค้าในระยะ 7 เดือน ขาดดุลทุกเดือน ยอดสะสมขาดดุลรวมไปแล้ว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์หรือ 5.9 แสนล้านบาท
หันมาดูตัวเลข ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่จริงๆแล้วเกินดุลมาตลอดตั้งแต่ปี 2540 แต่ล่าสุดเริ่มขาดดุลช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ที่ระดับ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หากสัญญานนี้ยังไม่ชัดพอ! มาดูทุนต่างชาติที่ทยอยถอนทุนหนีออก พบมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติออกจากประเทศไทย โดยตัวเลขการถือครองพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ของต่างชาติ ปรับลดลงจากระดับ 8.6 แสนล้านบาท เหลือประมาณ 7 แสนล้านบาทแล้ว ณ เวลานี้
ตัวเลขชัดๆยังปรากฎอีกว่า ตั้งแต่หลังน้ำท่วมปี 54 พบโรงงานทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศแบบฉุดไม่อยู่ อย่างโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลังน้ำท่วมโรงงาน ได้รับเงินประกันแล้ว กลับปิดกิจการ ไม่เปิดดำเนินการอีก อาจเป็นเพราะค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการย้ายฐานผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบ้าง อย่างโครงการรถคันแรกแต่ในปีต่อมาคือปีนี้ พบว่า ยอดจองรถยนต์ใหม่ตกวูบกว่า 50 % แถมลูกค้าเก่า 70% เปลี่ยนใจชะลอรับรถด้วย ส่งผลลูกโซ่ต่อบริษัทอะไหล่ อุปกรณ์ประกอบรถยนต์ ทำให้เกือบทุกบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องลดกำลังการผลิต ลดต้นทุน โอทีพนักงาน และหลายบริษัทนับถอยหลังถอนตัว เตรียมปิดกิจการ แน่นอนพนักงานคนไทยต้องตกงาน ออกมาหางานใหม่อีกนับแสนคนในอุตสาหกรรมนี้
ขณะที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ไทยแท้ก็เริ่มออกอาการ เริ่มที่เครือสหฟาร์ม ผู้ส่งออกไก่ระดับบิ๊กของไทย ก็ถึงจุดวิกฤติครั้งแรกในรอบ 45 ปีของการทำธุรกิจ แต่มาล้มเอาปีนี้ ประกาศ "ปิดตัวชั่วคราว" เปิดตัวเลขหนี้ค้างล่าสุด เจ๊งไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท ลูกโซ่ต่อมาคือแรงงานคนไทยกว่า 10,000 คนในเครือสหฟาร์มกำลังกลายเป็นคนว่างงาน เช่นเดียวกับแรงงานอีกกว่า 2,000 คนของ บมจ.แพนเอเซียฟุตแวร์(PAF) ผู้รับจ้างผลิตรองเท้ารายใหญ่ของไทย ยี่ห้อไนกี้ ตอนนี้ประกาศ"ปิดตัวถาวร"หลังขาดทุนสะสมกว่า 2,000 ล้านบาท ไม่ต่างกับบริษัทยี่หนินอาหารแช่แข็ง จำกัด จ.ระยอง แจ้งปิดกิจการชั่วคราว พนักงาน 200 คน ถูกเลิกจ้างทันที บริษัท เซ็นทรัลอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด (มหาชน)ที่จ้างงานแรงงานมากมาย ก็พึ่งประกาศปิดตัวไปเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา
ธุรกิจ SME เจ้าของคนไทยทั้งหลายกำลังเริ่มส่ออาการ อย่างกลุ่มเซรามิกที่ลำปาง จากเดิมมีมูลค่าปีละ 3,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 2,500 ล้านบาทและในประเทศ 1,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดขายรวมลดเหลือเพียง 2,500 ล้านบาท ทำให้ต้องแบกภาระต้นทุนแรงงานที่ขึ้นไปที่300บาท ปีนี้ทางกลุ่มจึงปรับลดคนงานจากเดิมมี 11,000 คน เอาออกให้เหลือเพียง 6,500 คน เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่ได้
ผลพวงอันหนักหน่วงจากนโยบายบังคับให้ต้องขึ้นค่าแรง 300 บาท กำลังกลายเป็นดาบที่กลับมาทำให้แรงงานตกงาน แต่นายกยิ่งลักษณ์ไม่เคยออกมาจัดการอะไรเลย นั่นยังไม่พอเท่ากับภาวะเงินเฟ้อค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างรวดเร็วช่วง 2 ปี ขณะที่รายได้ประชาชนลดลงจากการโดนตัดเงินเดือน ลดโอที และตกงาน เงินเฟ้อและฝืดในเวลาเดียวกัน รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์และแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีเองก็ออกมาพูดให้น่าเจ็บปวดขึ้นไปอีกว่า “ประชาชนคิดไปเอง ข้าวของไม่ได้แพง เศรษฐกิจยังดี”ทั้งที่ล่าสุดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน เข้าใกล้ระดับ 80 % ของ GDP ไปแล้ว
นอกจากนี้ หากสหรัฐโจมตีซีเรีย นักวิชาการพลังงานบอกแล้วว่า จะมีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันของไทยเฉลี่ยปรับขึ้นอย่างต่ำ 2 บาทต่อลิตร กรณีนี้ยังไม่รวมผลกระทบค่าเงินบาทที่หากอ่อนค่า และนี่ยังไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งคนที่เป็นผู้นำประเทศอย่างคุณยิ่งลักษณ์ควรจะต้องจัดประชุม หามาตรการป้องกันได้แล้ว แต่ก็ไม่
วิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าเป็นการค้าในประเทศ การส่งออก การลงทุนที่ตกต่ำลงสุดขีด การจ้างงานลดลงจนเตรียมแตะปัญหาการว่างงานของประชากรในประเทศ ปัญหาวิกฤติค่าครองชีพจากภาวะเงินเฟ้อที่เป็นเงินฝืดในระบบด้วย ไม่ว่าจะเกิดจากผลผิดพลาดของนโยบายรัฐบาลเองหรือปัจจัยภายนอก แต่ผู้ที่ทำหน้าที่รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ต้องไม่ใช่ออกมาให้ข่าวว่าปัญหานี้ไม่เกี่ยวกับตน หรือมันเป็นผลกระทบจากภายนอก หรือปกปิดตัวเลขที่แท้จริง เพื่อรักษาภาพบางอย่าง
แต่.....ต้องออกมาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ออกมาตรการฟื้นตัวเศรษฐกิจชัดเจน ลงไปคุยกับกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีปัญหาจริงๆว่าจะร่วมกันแก้อย่างไร ยอมถอย ปรับเปลี่ยนนโยบายการเมืองที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อย่างจำนำข้าว และค่าแรง300 มากกว่าจะไปเร่งแก้รัฐธรรมนูญให้ได้วันนี้พรุ่งนี้
"เพื่อปกป้องคุ้มครองปมด้อยในจิตใจตนเอง
ผู้คนทั้งหลายมักกระทำเรื่องประหลาดพิกลออกมา"
(โก้วเล้ง จากเรื่อง ดาบมรกต)
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/8579
ปล.ภาระกิจเร่งด่วน พาพี่กลับบ้าน...ใช่ป่ะนายกปู....เอิ๊ก ๆ ๆ