“รู้รึเปล่าคะ ว่าสระว่ายน้ำที่มหา’ลัยเราเคยมีคนตาย?”
ภายใต้ลำแสงสุดท้ายที่ทอดกระทบในห้องกว้าง ผมเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังรวบรวม เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองคนพูดเป็นเชิงสงสัย
ซีกหน้าเรียวของน้องนุชขาวซีด ดวงตาที่ต้องแสงเป็นประกายวาวดูว้าวุ่น ผมยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบใดก็ได้ยินเสียงพูดดังมาจากคนที่นั่งอยู่ด้านขวามือของโต๊ะประชุม
“พี่เคยได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่ามีคนตายเกือบทุกปี”
ไอ้อั๋นชิงตอบก่อน น้ำเสียงกระตือรือร้นพูดเสริม “น่ากลัวเนอะ”
หญิงสาวผู้เปิดประเด็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยช้าๆ “ใช่ค่ะ น่ากลัว แต่บางอย่าง...น่ากลัวกว่า”
พูดจบ เธอก็ก้มลงเก็บเอกสารของตัวเองเงียบๆ มีเพียงเสียงบางเบาที่ครอบคลุมเราทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นคนเงยหน้าขึ้นมาพูดอีกครั้งในขณะที่ผมมองปึกกระดาษในอ้อมแขนเธอโดยไม่แสดงสีหน้าใด
“พี่หนึ่ง พี่อั๋น...นุชไปก่อนนะคะ”
“ให้พี่ไปส่งไหมน้องนุช?” มืออูมรีบเก็บข้าวของที่มีมากกว่าผมประมาณเท่าหนึ่งเห็นจะได้อย่างรวดเร็วก่อนเอ่ย “พี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวแวะไปส่งน้องนุชที่หอก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่อั๋น นุชกลับเองได้”
บางอย่างในสายตานุชกระทบใจผมจนไม่อาจจะทำนิ่งเฉยเหมือนเช่นเคยได้ แม้ไอ้อั๋นจะเคยขอร้องเอาไว้ว่าต่อหน้าน้องนุช - ผู้หญิงที่มันชอบ ขอให้ผมสงบปากสงบคำ และเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้ติดต่อกับนุชมากเกินจำเป็นก็ตาม
“น้องนุช ถ้ายังไงให้...”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณพี่หนึ่งกับพี่อั๋นมาก ขอบคุณสำหรับ...” น้ำเสียงอ้างว้างฟังประหลาดหูชะงักลงไปเสียดื้อๆ แล้วรอยยิ้มบางที่ทำให้ไอ้อั๋นหลงจนหัวปักหัวปำก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยนั้น หากผมกลับรู้สึกว่าคราวนี้รอยยิ้มนั้นไม่ได้งดงามเหมือนเคย ดูบิดเบ้คล้ายกำลังจะร้องไห้เสียล่ะมากกว่า “...นุชลาก่อนนะคะ”
คำลาประหลาดนั้นสะกิดใจผม แต่เมื่อมองไปทางเพื่อนรักที่ยกมืออวบอูมโบกลาอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันหน้าอ้วนกลมมาเอ่ยกับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “น้องนุชเขายิ้มให้ด้วยว่ะเมื่อกี้” ก็ทำให้ความคิดที่จะบอกมันเรื่องความแปลกประหลาดที่ผมสังเกตเห็นเลือนหายไป
ความสุขของมัน...ผมพูดกับตัวเองเพียงเท่านี้
เช้าวันต่อมาเมื่อขับรถเข้ามาในมหาวิทยาลัย ไอ้อั๋นก็ชี้ไม้ชี้มือไปที่ริมทางเข้าสระว่ายน้ำก่อนส่งเสียงดังผิดปกติ
“คนไปมุงอะไรที่สระน้ำวะ มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าก็ไม่รู้”
ผู้คนค่อนข้างหนาตาเมื่อคิดว่านี่เป็นฤดูหนาว อากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับต้องใส่เสื้อกันหนาว ผมเพียงเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ ไม่แสดงอาการอยากรู้อะไรมากมายเหมือนกับเจ้าของรถที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังพยายามชะโงกดูเหตุการณ์จนต้องเกือบจะบังการมองทางของผม
ผมเตรียมอ้าปากจะต่อว่า แต่มันกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “กูว่ามีเรื่องแน่ๆ มีรถตำรวจมาจอดด้วย กูเห็นแวบๆ เมื่อกี้นี้”
คราวนี้มันเบนความสนใจผมได้สำเร็จ ผมเหลือบตามองกระจกข้างเพื่อดูภาพความวุ่นว่ายชั่วแวบเดียว ก่อนจะพารถเลี้ยวกลับไปจอดใกล้ๆ รถตำรวจ
ไอ้อั๋นมองผมตื่นๆ เมื่อเห็นผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว “จะลงไปหรือไอ้หนึ่ง”
แทนคำตอบ ผมเปิดประตูรถก่อนจะก้าวออกไป ร่างอวบอ้วนของเพื่อนแทบจะถลาตาม ปกติไอ้อั๋นมันเป็นคนขี้ตื่น ตกใจง่าย แต่อยากรู้อยากเห็น ดังนั้นมันจึงยินดีที่ผมเดินลงไปดูเหตุการณ์ด้วย สำหรับผมไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นเพราะตำแหน่งที่ผมรับผิดชอบอยู่ในองค์การนักศึกษาที่ทำให้ผมควรจะรับรู้ว่า ทำไมถึงมีรถตำรวจมาจอดบริเวณสระน้ำ
สระน้ำที่หลายชีวิตต้องจบสิ้นลงที่นี่...
เมื่อเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไม่กี่ขั้นที่พาขึ้นไปยังสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย สังเกตเห็นว่านักศึกษาหลายคนมีสีหน้าซีดเผือด หลายคนดูตื่นตระหนก และหลายคนดูอยากรู้อยากเห็น แต่ทั้งหมดไม่มีใครก้าวล้ำเข้าไปยังบริเวณที่ตำรวจยืนอยู่ ต่างพากันยืนล้อมสระจนเกือบจะเป็นครึ่ง
วงกลม บางคนยืนอยู่บนอัฒจันทร์เพื่อให้ตัวเองได้เห็นภาพกลางสระชัดๆ
ร่างขาวซีดของใครคนหนึ่งลอยปริ่มน้ำ
น่าแปลกที่สระกว้างขวาง แต่น้ำในสระกลับนิ่งสนิท ขับเน้นให้สิ่งแปลกปลอมที่ลอยอยู่บนผิวน้ำดูประหลาดมากขึ้น ผมยาวสีดำสนิทแผ่กระจายกว้าง บดบังดวงหน้าไร้ชีวิตไม่ให้ปรากฏต่อสายตาผู้คน ประหนึ่งว่าร่างนั้นยังคงอับอายที่จะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร และเหตุใดจึงมาลอยอยู่กลางสระน้ำในยามเช้าเช่นนี้
ผมกับไอ้อั๋นที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดต้องถอยหลังอีกสองสามก้าวเพื่อเปิดทางให้กับเจ้าหน้าที่กู้ภัยหามเปลที่ปูผ้าขาวเอาไว้เรียบร้อยแล้วเข้ามาได้โดยสะดวก ก่อนที่สองสามคนจะกระโดดลงสระแล้วช่วยกันยกร่างไร้ชีวิตนั้นขึ้นมา ทันทีที่วางร่างนั้นลงกับเปล ไอ้อั๋นก็ตัวสั่นจนผมสังเกตได้ มันเอื้อมมือสั่นๆ มาจับแขนผมแน่น และเมื่อเจ้าหน้าที่เกลี่ยเส้นผมให้พ้นจากใบหน้า มือมันก็เย็นเฉียบขึ้นมาทันควัน
ใบหน้านั้นเป็นของน้องนุช
“อ้อ...คนนั้น เป็นเด็กคณะ...แหละ คนที่เป็นดาวคณะปี 3 ไง”
“ฆ่าตัวตายทำไมวะ หน้าตาออกจะดี”
“น่ากลัวนะแก ตายในสระอีกแล้วอ่ะ ใครจะกล้ามาว่ายน้ำอีกเนี่ย เลือกที่ตายส่วนตัวกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้”
เสียงหอบหายใจรุนแรงและมือสั่นเทาเยียบเย็นที่เกาะแขนอยู่ทำให้ผมสะดุ้ง ต้องรีบลากร่างอ้วนของเพื่อนออกจากวงล้อมนั้น ล้มเลิกความตั้งใจในตอนแรกที่จะสอบถามคนแถวนั้นถึงรายละเอียดต่างๆ
ไอ้อั๋นหน้าซีด ดวงตามีหยาดน้ำรื้นก่อนจะไหลพรากพร้อมกับเสียงดังคับรถคันเล็ก
“น้องนุช!” มันสะอึกสะอื้น พูดไม่เป็นคำอยู่นาน กว่าจะเอ่ยคำพูดที่ฟังเป็นประโยคออกมาได้อีกครั้ง “นะ...น้องนุชตายละ...แล้ว น้องนุชตะ...ตาย...ตายแล้ว!”
เสียงผู้ชายร้องไห้ดังๆ ไม่ใช่เสียงที่น่าภิรมย์เท่าไหร่ แต่ผมก็ปล่อยให้มันร้องอยู่อย่างนั้น ไม่เอ่ยปากห้าม ไม่ปลอบ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันร้องจนพอใจโดยมีผมนั่งฟังเงียบๆ
“กู...อยากตาย กู...ยะ...อยากตาย ทำไมน้อง...นะ...นุชต้องทำอะไรอย่างนี้...ฮึก ทำไม...กู...ฮึก! ช่วยเขามะ...ไม่ได้...ฮือๆ”
ผมปล่อยให้มันร้องจนพอใจ เพราะรู้ว่าเวลามันมีปัญหาหรือมีความทุกข์ ขอให้มันได้ร้องไห้อย่างเต็มเสียง ร้องจนเงียบไปเอง แล้วอาการของมันจะดีขึ้น
“มะ...เมื่อวานน้องเค้าคะ...คงอยากบอก อยากให้ระ...เรา...ฮึก...ห้าม แต่เราสองคนก็โง่ที่มองไม่ออก ไม่ห้าม ไม่ชะ...ช่วยน้องเค้า กูผิดเอง...ผิดเอง...”
มันพร่ำด่าตัวเอง นิ้วมืออวบกำแน่นดั่งต้องการระบายโทสะ น้ำหูน้ำตาร่วงเปรอะ
ความพอใจของมัน ผมคิด
ไอ้อั๋นมันเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่อนุบาล
ผมอยู่กับยายเพียงสองคน จำได้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ผมเกิดมา แม่ที่ทำงานเช้า กินเหล้าเย็นสลับกันไปอย่างนั้นหาเงินมาเลี้ยงผมได้น้อยนิด แต่แม่ก็ยังเอาเพียงค่าแรงของตัวเองไปกินเหล้าเท่านั้น ส่วนค่าขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่ตลาดของยาย กลายมาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงของบ้านผมไปโดยปริยาย
ทุกวันที่ผมต้องทนฟังเสียงด่าทอด้วยความเกลียดชังจากแม่ แม่คิดว่าผมเป็นตัวมารที่เกิดมาขัดขวางความสุข แม่เกือบจะได้สามีใหม่ แต่เมื่อเขารู้ว่ามีผมบนโลก เขาก็หายไป แม่พร่ำพูดถึงแต่ว่าอยากหลุดออกไปจากสภาพนี้ กรีดร้องพลางทุบตีผมไปพลาง ยายพยายามเข้ามาช่วย แต่คนแก่ไร้เรี่ยวแรงก็คงพอๆ กับเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างผมในตอนนั้นนั่นแหละ
ระหว่างที่แม่ก่นด่าถึงความผิดหวังในชีวิตที่มีผมเป็นต้นเหตุ ยายผมก็พูดถึงความเจ็บปวดจากโรคภัยที่กำลังรุมอยู่เช่นเดียวกัน หลายครั้งที่ผมต้องฟังเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจากโรคที่กัดกินยายไปเรื่อยๆ
อั๋นอยู่บ้านข้างๆ พ่อกับแม่มันเป็นพ่อค้าในตลาดเช่นเดียวกัน แต่ฐานะบ้านมันดีกว่าผมสักร้อยเท่าเห็นจะได้ อย่างน้อยๆ ก็มีเงินบำรุงบำเรอไอ้อั๋นที่สมองเชื่องช้าและหน้าตาธรรมดาติดจะขี้เหร่จนมันเป็นไอ้อ้วนของเพื่อนๆ ต่างจากผมที่เป็นไม้เสียบผี (อย่างที่เพื่อนคนอื่นว่า) และเมื่อผมกับไอ้อั๋นกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ก็มีแต่คนเรียกเราว่า ‘คู่สิบ’ เพราะผมผอมเหมือนเลขหนึ่ง และไอ้อั๋นมันกลมเป็นเลขศูนย์
‘คู่สิบ’ ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้ว่าผมจะบ้านจน แต่ผมก็ด้อยกว่าไอ้อั๋นแค่นั้น หน้าตา รูปร่าง มันสมองของผมเป็น ‘หนึ่ง’ เหมือนชื่อผม ดังนั้น ‘คู่สิบ’ จึงหมายถึงผมที่นำหน้าไอ้อั๋นเสมอ เหมือนเลขหนึ่งที่อยู่หน้าเลขศูนย์...อย่างน้อยก็จนกว่าจะรู้สถานะทางการเงินระหว่างผมกับมัน
พ่อแม่ของมันฝากฝังมันไว้กับผม ให้ผมช่วยติวพิเศษให้จนมันสามารถเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้สำเร็จ ในห้วงแห่งความสำเร็จที่สอบเข้าได้ ยายผมก็จากไปด้วยอุบัติเหตุตกบันไดเสียชีวิตหลังจากที่ทุกข์ทรมานกับโรคเกี่ยวกับกระดูกอยู่หลายปี ส่วนแม่ผมล่วงหน้ายายไปเมื่อสามปีก่อนด้วยการหลับไม่ตื่นในวันหนึ่ง หลังจากการดื่มเหล้าเข้าไปขวดกว่าๆ แล้วเข้านอน ดีที่ผมได้ทุนเรียนต่อซึ่งจะได้ทั้งค่าเทอมและค่ากินอยู่ บวกกับพ่อแม่ไอ้อั๋นที่เป็นห่วงลูกชายเสียจนจ้างผมดูแลมันอีกเดือนละเป็นพัน พร่ำขอผมเอาไว้ว่าขอให้ดูแลมัน ให้มันมีความสุข ดังนั้นจะว่าไปแล้วไอ้อั๋นมันคงไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น แต่เป็นเพื่อน ‘ผู้มีพระคุณ’ อีกชั้นหนึ่งด้วย
ความเป็น ‘คู่สิบ’ ของเราแน่นหนามากขึ้นไปอีกเมื่อผมสมัครเข้าพรรคนักศึกษา เป็นธรรมดาที่ผมจะไขว้คว้าหากิจกรรมอะไรมาทำเสมอ เพื่อที่จะสนองความต้องการของคนอื่นพอๆ กับได้สนองความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของผม ในขณะที่ไอ้อั๋นก็ตามติดผมแจ จนเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นนายกสโมสรนักศึกษา มันก็กลายมาเป็นเลขาของผมด้วยความเต็มอกเต็มใจ เพราะในช่วงที่เราทำกิจกรรมนี้เองที่ไอ้อั๋นได้เจอกับน้องนุช ดาวคณะแสนงามที่คว้าหัวใจไอ้อั๋นไปเพียงชายตามองเสี้ยววินาทีเดียว แต่น้องนุชก็ไม่มีท่าทีตอบกลับ เธอวางตัวกับเราสองคนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เธอไม่เคยทำท่ารังเกียจไอ้อั๋นเหมือนผู้หญิงคนอื่น ซ้ำยังพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี จนกระทั่งตอนนี้...
ผมกำลังพลิกหนังสืออ่านเตรียมสอบอยู่ในหอของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของมือถือเข้าดังก้องไปทั่วห้องขนาดพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายสามตลบ
อารมณ์หงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะทำให้ผมกดรับสายก่อนส่งเสียงค่อนข้างหนักลงไป “มี’ไรไอ้อั๋น?”
น้ำเสียงเพื่อนอ้อแอ้เต็มที่ ปนเสียงสะอื้นน้อยๆ “มาหากูหน่อยได้มั้ยไอ้หนึ่ง มา...กูไม่อยากนั่งที่นี่คนเดียว”
“ที่ไหน?”
ปลายสายไม่ตอบ มีเพียงเสียงสะอึกเบาๆ และเสียงฟืดฟาดที่ผมเดาได้ว่าน่าจะเป็นเสียงสูดน้ำมูกของมันดังลอดมือถือมา นอกนั้น...เงียบสนิท
ผมตัดสินใจวางสาย ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ เพื่อจะออกไปหามัน
เรื่องสั้น ความสุข
ภายใต้ลำแสงสุดท้ายที่ทอดกระทบในห้องกว้าง ผมเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังรวบรวม เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองคนพูดเป็นเชิงสงสัย
ซีกหน้าเรียวของน้องนุชขาวซีด ดวงตาที่ต้องแสงเป็นประกายวาวดูว้าวุ่น ผมยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบใดก็ได้ยินเสียงพูดดังมาจากคนที่นั่งอยู่ด้านขวามือของโต๊ะประชุม
“พี่เคยได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่ามีคนตายเกือบทุกปี”
ไอ้อั๋นชิงตอบก่อน น้ำเสียงกระตือรือร้นพูดเสริม “น่ากลัวเนอะ”
หญิงสาวผู้เปิดประเด็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยช้าๆ “ใช่ค่ะ น่ากลัว แต่บางอย่าง...น่ากลัวกว่า”
พูดจบ เธอก็ก้มลงเก็บเอกสารของตัวเองเงียบๆ มีเพียงเสียงบางเบาที่ครอบคลุมเราทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นคนเงยหน้าขึ้นมาพูดอีกครั้งในขณะที่ผมมองปึกกระดาษในอ้อมแขนเธอโดยไม่แสดงสีหน้าใด
“พี่หนึ่ง พี่อั๋น...นุชไปก่อนนะคะ”
“ให้พี่ไปส่งไหมน้องนุช?” มืออูมรีบเก็บข้าวของที่มีมากกว่าผมประมาณเท่าหนึ่งเห็นจะได้อย่างรวดเร็วก่อนเอ่ย “พี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวแวะไปส่งน้องนุชที่หอก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่อั๋น นุชกลับเองได้”
บางอย่างในสายตานุชกระทบใจผมจนไม่อาจจะทำนิ่งเฉยเหมือนเช่นเคยได้ แม้ไอ้อั๋นจะเคยขอร้องเอาไว้ว่าต่อหน้าน้องนุช - ผู้หญิงที่มันชอบ ขอให้ผมสงบปากสงบคำ และเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้ติดต่อกับนุชมากเกินจำเป็นก็ตาม
“น้องนุช ถ้ายังไงให้...”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณพี่หนึ่งกับพี่อั๋นมาก ขอบคุณสำหรับ...” น้ำเสียงอ้างว้างฟังประหลาดหูชะงักลงไปเสียดื้อๆ แล้วรอยยิ้มบางที่ทำให้ไอ้อั๋นหลงจนหัวปักหัวปำก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยนั้น หากผมกลับรู้สึกว่าคราวนี้รอยยิ้มนั้นไม่ได้งดงามเหมือนเคย ดูบิดเบ้คล้ายกำลังจะร้องไห้เสียล่ะมากกว่า “...นุชลาก่อนนะคะ”
คำลาประหลาดนั้นสะกิดใจผม แต่เมื่อมองไปทางเพื่อนรักที่ยกมืออวบอูมโบกลาอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันหน้าอ้วนกลมมาเอ่ยกับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “น้องนุชเขายิ้มให้ด้วยว่ะเมื่อกี้” ก็ทำให้ความคิดที่จะบอกมันเรื่องความแปลกประหลาดที่ผมสังเกตเห็นเลือนหายไป
ความสุขของมัน...ผมพูดกับตัวเองเพียงเท่านี้
เช้าวันต่อมาเมื่อขับรถเข้ามาในมหาวิทยาลัย ไอ้อั๋นก็ชี้ไม้ชี้มือไปที่ริมทางเข้าสระว่ายน้ำก่อนส่งเสียงดังผิดปกติ
“คนไปมุงอะไรที่สระน้ำวะ มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าก็ไม่รู้”
ผู้คนค่อนข้างหนาตาเมื่อคิดว่านี่เป็นฤดูหนาว อากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับต้องใส่เสื้อกันหนาว ผมเพียงเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ ไม่แสดงอาการอยากรู้อะไรมากมายเหมือนกับเจ้าของรถที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังพยายามชะโงกดูเหตุการณ์จนต้องเกือบจะบังการมองทางของผม
ผมเตรียมอ้าปากจะต่อว่า แต่มันกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “กูว่ามีเรื่องแน่ๆ มีรถตำรวจมาจอดด้วย กูเห็นแวบๆ เมื่อกี้นี้”
คราวนี้มันเบนความสนใจผมได้สำเร็จ ผมเหลือบตามองกระจกข้างเพื่อดูภาพความวุ่นว่ายชั่วแวบเดียว ก่อนจะพารถเลี้ยวกลับไปจอดใกล้ๆ รถตำรวจ
ไอ้อั๋นมองผมตื่นๆ เมื่อเห็นผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว “จะลงไปหรือไอ้หนึ่ง”
แทนคำตอบ ผมเปิดประตูรถก่อนจะก้าวออกไป ร่างอวบอ้วนของเพื่อนแทบจะถลาตาม ปกติไอ้อั๋นมันเป็นคนขี้ตื่น ตกใจง่าย แต่อยากรู้อยากเห็น ดังนั้นมันจึงยินดีที่ผมเดินลงไปดูเหตุการณ์ด้วย สำหรับผมไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นเพราะตำแหน่งที่ผมรับผิดชอบอยู่ในองค์การนักศึกษาที่ทำให้ผมควรจะรับรู้ว่า ทำไมถึงมีรถตำรวจมาจอดบริเวณสระน้ำ
สระน้ำที่หลายชีวิตต้องจบสิ้นลงที่นี่...
เมื่อเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไม่กี่ขั้นที่พาขึ้นไปยังสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย สังเกตเห็นว่านักศึกษาหลายคนมีสีหน้าซีดเผือด หลายคนดูตื่นตระหนก และหลายคนดูอยากรู้อยากเห็น แต่ทั้งหมดไม่มีใครก้าวล้ำเข้าไปยังบริเวณที่ตำรวจยืนอยู่ ต่างพากันยืนล้อมสระจนเกือบจะเป็นครึ่ง
วงกลม บางคนยืนอยู่บนอัฒจันทร์เพื่อให้ตัวเองได้เห็นภาพกลางสระชัดๆ
ร่างขาวซีดของใครคนหนึ่งลอยปริ่มน้ำ
น่าแปลกที่สระกว้างขวาง แต่น้ำในสระกลับนิ่งสนิท ขับเน้นให้สิ่งแปลกปลอมที่ลอยอยู่บนผิวน้ำดูประหลาดมากขึ้น ผมยาวสีดำสนิทแผ่กระจายกว้าง บดบังดวงหน้าไร้ชีวิตไม่ให้ปรากฏต่อสายตาผู้คน ประหนึ่งว่าร่างนั้นยังคงอับอายที่จะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร และเหตุใดจึงมาลอยอยู่กลางสระน้ำในยามเช้าเช่นนี้
ผมกับไอ้อั๋นที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดต้องถอยหลังอีกสองสามก้าวเพื่อเปิดทางให้กับเจ้าหน้าที่กู้ภัยหามเปลที่ปูผ้าขาวเอาไว้เรียบร้อยแล้วเข้ามาได้โดยสะดวก ก่อนที่สองสามคนจะกระโดดลงสระแล้วช่วยกันยกร่างไร้ชีวิตนั้นขึ้นมา ทันทีที่วางร่างนั้นลงกับเปล ไอ้อั๋นก็ตัวสั่นจนผมสังเกตได้ มันเอื้อมมือสั่นๆ มาจับแขนผมแน่น และเมื่อเจ้าหน้าที่เกลี่ยเส้นผมให้พ้นจากใบหน้า มือมันก็เย็นเฉียบขึ้นมาทันควัน
ใบหน้านั้นเป็นของน้องนุช
“อ้อ...คนนั้น เป็นเด็กคณะ...แหละ คนที่เป็นดาวคณะปี 3 ไง”
“ฆ่าตัวตายทำไมวะ หน้าตาออกจะดี”
“น่ากลัวนะแก ตายในสระอีกแล้วอ่ะ ใครจะกล้ามาว่ายน้ำอีกเนี่ย เลือกที่ตายส่วนตัวกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้”
เสียงหอบหายใจรุนแรงและมือสั่นเทาเยียบเย็นที่เกาะแขนอยู่ทำให้ผมสะดุ้ง ต้องรีบลากร่างอ้วนของเพื่อนออกจากวงล้อมนั้น ล้มเลิกความตั้งใจในตอนแรกที่จะสอบถามคนแถวนั้นถึงรายละเอียดต่างๆ
ไอ้อั๋นหน้าซีด ดวงตามีหยาดน้ำรื้นก่อนจะไหลพรากพร้อมกับเสียงดังคับรถคันเล็ก
“น้องนุช!” มันสะอึกสะอื้น พูดไม่เป็นคำอยู่นาน กว่าจะเอ่ยคำพูดที่ฟังเป็นประโยคออกมาได้อีกครั้ง “นะ...น้องนุชตายละ...แล้ว น้องนุชตะ...ตาย...ตายแล้ว!”
เสียงผู้ชายร้องไห้ดังๆ ไม่ใช่เสียงที่น่าภิรมย์เท่าไหร่ แต่ผมก็ปล่อยให้มันร้องอยู่อย่างนั้น ไม่เอ่ยปากห้าม ไม่ปลอบ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันร้องจนพอใจโดยมีผมนั่งฟังเงียบๆ
“กู...อยากตาย กู...ยะ...อยากตาย ทำไมน้อง...นะ...นุชต้องทำอะไรอย่างนี้...ฮึก ทำไม...กู...ฮึก! ช่วยเขามะ...ไม่ได้...ฮือๆ”
ผมปล่อยให้มันร้องจนพอใจ เพราะรู้ว่าเวลามันมีปัญหาหรือมีความทุกข์ ขอให้มันได้ร้องไห้อย่างเต็มเสียง ร้องจนเงียบไปเอง แล้วอาการของมันจะดีขึ้น
“มะ...เมื่อวานน้องเค้าคะ...คงอยากบอก อยากให้ระ...เรา...ฮึก...ห้าม แต่เราสองคนก็โง่ที่มองไม่ออก ไม่ห้าม ไม่ชะ...ช่วยน้องเค้า กูผิดเอง...ผิดเอง...”
มันพร่ำด่าตัวเอง นิ้วมืออวบกำแน่นดั่งต้องการระบายโทสะ น้ำหูน้ำตาร่วงเปรอะ
ความพอใจของมัน ผมคิด
ไอ้อั๋นมันเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่อนุบาล
ผมอยู่กับยายเพียงสองคน จำได้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ผมเกิดมา แม่ที่ทำงานเช้า กินเหล้าเย็นสลับกันไปอย่างนั้นหาเงินมาเลี้ยงผมได้น้อยนิด แต่แม่ก็ยังเอาเพียงค่าแรงของตัวเองไปกินเหล้าเท่านั้น ส่วนค่าขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่ตลาดของยาย กลายมาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงของบ้านผมไปโดยปริยาย
ทุกวันที่ผมต้องทนฟังเสียงด่าทอด้วยความเกลียดชังจากแม่ แม่คิดว่าผมเป็นตัวมารที่เกิดมาขัดขวางความสุข แม่เกือบจะได้สามีใหม่ แต่เมื่อเขารู้ว่ามีผมบนโลก เขาก็หายไป แม่พร่ำพูดถึงแต่ว่าอยากหลุดออกไปจากสภาพนี้ กรีดร้องพลางทุบตีผมไปพลาง ยายพยายามเข้ามาช่วย แต่คนแก่ไร้เรี่ยวแรงก็คงพอๆ กับเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างผมในตอนนั้นนั่นแหละ
ระหว่างที่แม่ก่นด่าถึงความผิดหวังในชีวิตที่มีผมเป็นต้นเหตุ ยายผมก็พูดถึงความเจ็บปวดจากโรคภัยที่กำลังรุมอยู่เช่นเดียวกัน หลายครั้งที่ผมต้องฟังเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจากโรคที่กัดกินยายไปเรื่อยๆ
อั๋นอยู่บ้านข้างๆ พ่อกับแม่มันเป็นพ่อค้าในตลาดเช่นเดียวกัน แต่ฐานะบ้านมันดีกว่าผมสักร้อยเท่าเห็นจะได้ อย่างน้อยๆ ก็มีเงินบำรุงบำเรอไอ้อั๋นที่สมองเชื่องช้าและหน้าตาธรรมดาติดจะขี้เหร่จนมันเป็นไอ้อ้วนของเพื่อนๆ ต่างจากผมที่เป็นไม้เสียบผี (อย่างที่เพื่อนคนอื่นว่า) และเมื่อผมกับไอ้อั๋นกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ก็มีแต่คนเรียกเราว่า ‘คู่สิบ’ เพราะผมผอมเหมือนเลขหนึ่ง และไอ้อั๋นมันกลมเป็นเลขศูนย์
‘คู่สิบ’ ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้ว่าผมจะบ้านจน แต่ผมก็ด้อยกว่าไอ้อั๋นแค่นั้น หน้าตา รูปร่าง มันสมองของผมเป็น ‘หนึ่ง’ เหมือนชื่อผม ดังนั้น ‘คู่สิบ’ จึงหมายถึงผมที่นำหน้าไอ้อั๋นเสมอ เหมือนเลขหนึ่งที่อยู่หน้าเลขศูนย์...อย่างน้อยก็จนกว่าจะรู้สถานะทางการเงินระหว่างผมกับมัน
พ่อแม่ของมันฝากฝังมันไว้กับผม ให้ผมช่วยติวพิเศษให้จนมันสามารถเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้สำเร็จ ในห้วงแห่งความสำเร็จที่สอบเข้าได้ ยายผมก็จากไปด้วยอุบัติเหตุตกบันไดเสียชีวิตหลังจากที่ทุกข์ทรมานกับโรคเกี่ยวกับกระดูกอยู่หลายปี ส่วนแม่ผมล่วงหน้ายายไปเมื่อสามปีก่อนด้วยการหลับไม่ตื่นในวันหนึ่ง หลังจากการดื่มเหล้าเข้าไปขวดกว่าๆ แล้วเข้านอน ดีที่ผมได้ทุนเรียนต่อซึ่งจะได้ทั้งค่าเทอมและค่ากินอยู่ บวกกับพ่อแม่ไอ้อั๋นที่เป็นห่วงลูกชายเสียจนจ้างผมดูแลมันอีกเดือนละเป็นพัน พร่ำขอผมเอาไว้ว่าขอให้ดูแลมัน ให้มันมีความสุข ดังนั้นจะว่าไปแล้วไอ้อั๋นมันคงไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น แต่เป็นเพื่อน ‘ผู้มีพระคุณ’ อีกชั้นหนึ่งด้วย
ความเป็น ‘คู่สิบ’ ของเราแน่นหนามากขึ้นไปอีกเมื่อผมสมัครเข้าพรรคนักศึกษา เป็นธรรมดาที่ผมจะไขว้คว้าหากิจกรรมอะไรมาทำเสมอ เพื่อที่จะสนองความต้องการของคนอื่นพอๆ กับได้สนองความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของผม ในขณะที่ไอ้อั๋นก็ตามติดผมแจ จนเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นนายกสโมสรนักศึกษา มันก็กลายมาเป็นเลขาของผมด้วยความเต็มอกเต็มใจ เพราะในช่วงที่เราทำกิจกรรมนี้เองที่ไอ้อั๋นได้เจอกับน้องนุช ดาวคณะแสนงามที่คว้าหัวใจไอ้อั๋นไปเพียงชายตามองเสี้ยววินาทีเดียว แต่น้องนุชก็ไม่มีท่าทีตอบกลับ เธอวางตัวกับเราสองคนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เธอไม่เคยทำท่ารังเกียจไอ้อั๋นเหมือนผู้หญิงคนอื่น ซ้ำยังพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี จนกระทั่งตอนนี้...
ผมกำลังพลิกหนังสืออ่านเตรียมสอบอยู่ในหอของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของมือถือเข้าดังก้องไปทั่วห้องขนาดพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายสามตลบ
อารมณ์หงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะทำให้ผมกดรับสายก่อนส่งเสียงค่อนข้างหนักลงไป “มี’ไรไอ้อั๋น?”
น้ำเสียงเพื่อนอ้อแอ้เต็มที่ ปนเสียงสะอื้นน้อยๆ “มาหากูหน่อยได้มั้ยไอ้หนึ่ง มา...กูไม่อยากนั่งที่นี่คนเดียว”
“ที่ไหน?”
ปลายสายไม่ตอบ มีเพียงเสียงสะอึกเบาๆ และเสียงฟืดฟาดที่ผมเดาได้ว่าน่าจะเป็นเสียงสูดน้ำมูกของมันดังลอดมือถือมา นอกนั้น...เงียบสนิท
ผมตัดสินใจวางสาย ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ เพื่อจะออกไปหามัน