ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 กันยายน เมื่อเข้าสู่วาระการพิจารณา นายนิคม ไวยรัชพานิช
รองประธานรัฐภสา ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อเปิด
ให้มีการอภิปรายมาตรา 5 ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงเลือกตั้ง ส.ว.ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไม่เป็น
บุพการี คู่สมรสหรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายสุเทพ
เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัยต์ (ปชป.) อภิปรายว่า ตนได้แปรญัตติข้อความใน
มาตรา 5 เนื่องจากตนไม่เห็นด้วยการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมฉบับนี้ และยิ่งได้อ่านรายละเอียดของ
คณะ กมธ. ยิ่งทำให้เห็นว่า คณะ กมธ.ไม่ได้ใช้วิจารณญาณอย่างบริสุทธิ์ใจ เพราะทำให้เกิดความสงสัย
ว่ามีเจตนาที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องหรือไม่
ดังนั้น ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ กมธ.เสียงข้างมาก จะเห็นได้ว่าการที่คณะ กมธ.ยกเลิกข้อความใน
มาตรา 115 (5)(6)(7)(9) ของรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้บุพการี คู่สมรส บุตร ของ
ส.ส.ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ว.และคนที่มีตำแหน่งในพรรคการเมืองเคยเป็นรัฐมนตรี หรือผู้ดำรง
ตำแหน่งทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างน้อย 5 ปีถึงจะลงรับสมัคร ส.ว. ซึ่ง กมธ.เสียงข้างมาก
ได้ยกเลิกไปทั้งหมด โดยต่อจากนี้ไปใครก็ตามสามารถมีสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว.ได้ทุกคน
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การดำเนินการของ กมธ. ตนมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะ กมธ.ไม่บริสุทธิ์ใจ
เป็นความตั้งใจที่จะเข้าไปบริหารจัดการการเลือกตั้ง ส.ว.อย่างเด็ดขาด ด้วยความรู้สึกของคนที่เป็น
ห่วงบ้านเป็นห่วงเมือง จึงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะนี่เป็นการเปิดช่องทางให้พรรคการเมืองสามารถส่ง
ตัวแทนเข้าไปยังวุฒิสภาที่จะมาครอบงำรัฐสภาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายต่อบ้านเมือง เพราะเท่ากับว่า
องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็จะไม่เป็นอิสระไปด้วย เพราะจะมีการแทรกแซงจากพรรคการเมืองที่มี
เสียงข้างมาก และศาลรัฐธรรมนูญก็คงไม่กล้าวินิจฉัยเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้อย่างอิสระ แม้
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จะต้องการให้วุฒิสภาปราศจากการครอบงำของพรรคการเมือง แต่การ
แก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก จงใจที่จะเปิดช่องให้พรรคการเมืองเข้าไปแทรกแซงได้อย่างเต็มที่
"การกระทำของ กมธ.ชุดนี้ทำผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญชัดเจนและร้ายไปกว่านั้นผมมองเป็น
อย่างอื่นไม่ได้ เพราะในทรรศนะของผม คณะ กมธ.กำลังทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 3 อย่าง
ชัดเจน ยางอายไม่มี เพราะถ้ามียางอายจะต้องไม่ทำสิทธิพิเศษให้กับตัวเองแบบนี้ นี่คือผลประโยชน์
ซับซ้อน บริษัทเอกชนบางแห่งยังทำไม่ได้ มีแต่สภาเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ควรได้รับการ
ตำหนิจากสังคม ผมเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวว่า จะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำเพื่อประโยชน์
ของตัวเอง และมีผลให้ระบบการตรวจสอบของบ้านเมืองเสียหาย และผมยังคิดว่าประชาชนทุกคน
ควรที่จะออกมาต่อต้านการกระทำเช่นนี้ด้วย เพราะประชาชนทุกคนมีสิทธิ ผมคนหนึ่งที่จะร่วมต่อสู้
กับพี่น้อง เป็นไงเป็นกัน" นายสุเทพกล่าว
จากนั้น นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ. ลุกขึ้นชี้แจงว่า
ทั้งหมดที่บัญญัติลงในร่างฯนั้น กมธ.ได้ยึดหลักสำคัญในการคืนอำนาจให้กับประชาชนแล้ว และคงไม่
สามารถไปตั้งเงื่อนไขหรือตัดสิทธิผู้ใดได้ เพราะต้องยกให้อำนาจของประชาชนเป็นผู้ตัดสินเอง แม้ว่า
มาตรา 126 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งให้ประชาชนเลือก ส.ว.นั้น ก็ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องบุพการี
คู่สมรสหรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่ให้ประชาชน
ได้ตัดสินเอง ขณะเดียวกันเรื่องสมาชิกพรรคการเมืองก็ระบุไว้เพียงสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในปัจจุบันที่คนส่วน
ใหญ่ที่มีความสนใจทางการเมืองและไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่กลับ
เป็นโทษแก้ตัวเอง เพราะถูกตัดสิทธิโดยที่ไม่เคยรู้ตัว ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า กมธ.ไม่ได้ทำเพื่อผล
ประโยชน์ซับซ้อนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กมธ.ไม่ขัดข้องหากมีแนวโน้มว่า ที่ประชุมจะมีการรับ
ผิดชอบร่วมในการที่จะตัดสิทธิพลเมืองและตัดสิทธิทางการเมือง ด้วยการไม่ยกสิทธิให้ประชาชน
ตัดสินใจตามที่เสนอมา กมธ.ก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากฟังเสียงของ กมธ.ให้รอบด้านอีกครั้งหนึ่งก่อน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1378294445&grpid=&catid=01&subcatid=0100
ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ใครกันแน่ที่ไม่มียางอาย อยู่ดีๆ ก็ไปตัดสิทธิปชช. เพียงเพราะเขาเป็นครอบครัวส.ส.
อะไรที่มาจากปชช. เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ทำไมถึงจะคิดว่าไม่ดี จะบอกว่า ปชช.ยังไม่พร้อม
อีกละสิ แล้วเมื่อไหร่ ถึงจะพร้อม ความพร้อมของปชช.ที่จะให้เลือกส.ว.เอง จะใช้อะไร เป็นตัวเกณฑ์
ในการตัดสิน ....
"สุเทพ" ชี้ กมธ.แก้ไข รธน.จงใจเขียนเอื้อพรรคการเมือง หวังครอบงำ ส.ว. ...... ข่าวมติชนออนไลน์
รองประธานรัฐภสา ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อเปิด
ให้มีการอภิปรายมาตรา 5 ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงเลือกตั้ง ส.ว.ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไม่เป็น
บุพการี คู่สมรสหรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายสุเทพ
เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัยต์ (ปชป.) อภิปรายว่า ตนได้แปรญัตติข้อความใน
มาตรา 5 เนื่องจากตนไม่เห็นด้วยการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมฉบับนี้ และยิ่งได้อ่านรายละเอียดของ
คณะ กมธ. ยิ่งทำให้เห็นว่า คณะ กมธ.ไม่ได้ใช้วิจารณญาณอย่างบริสุทธิ์ใจ เพราะทำให้เกิดความสงสัย
ว่ามีเจตนาที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องหรือไม่
ดังนั้น ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ กมธ.เสียงข้างมาก จะเห็นได้ว่าการที่คณะ กมธ.ยกเลิกข้อความใน
มาตรา 115 (5)(6)(7)(9) ของรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้บุพการี คู่สมรส บุตร ของ
ส.ส.ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ว.และคนที่มีตำแหน่งในพรรคการเมืองเคยเป็นรัฐมนตรี หรือผู้ดำรง
ตำแหน่งทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างน้อย 5 ปีถึงจะลงรับสมัคร ส.ว. ซึ่ง กมธ.เสียงข้างมาก
ได้ยกเลิกไปทั้งหมด โดยต่อจากนี้ไปใครก็ตามสามารถมีสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว.ได้ทุกคน
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การดำเนินการของ กมธ. ตนมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะ กมธ.ไม่บริสุทธิ์ใจ
เป็นความตั้งใจที่จะเข้าไปบริหารจัดการการเลือกตั้ง ส.ว.อย่างเด็ดขาด ด้วยความรู้สึกของคนที่เป็น
ห่วงบ้านเป็นห่วงเมือง จึงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะนี่เป็นการเปิดช่องทางให้พรรคการเมืองสามารถส่ง
ตัวแทนเข้าไปยังวุฒิสภาที่จะมาครอบงำรัฐสภาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายต่อบ้านเมือง เพราะเท่ากับว่า
องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็จะไม่เป็นอิสระไปด้วย เพราะจะมีการแทรกแซงจากพรรคการเมืองที่มี
เสียงข้างมาก และศาลรัฐธรรมนูญก็คงไม่กล้าวินิจฉัยเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้อย่างอิสระ แม้
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จะต้องการให้วุฒิสภาปราศจากการครอบงำของพรรคการเมือง แต่การ
แก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก จงใจที่จะเปิดช่องให้พรรคการเมืองเข้าไปแทรกแซงได้อย่างเต็มที่
"การกระทำของ กมธ.ชุดนี้ทำผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญชัดเจนและร้ายไปกว่านั้นผมมองเป็น
อย่างอื่นไม่ได้ เพราะในทรรศนะของผม คณะ กมธ.กำลังทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 3 อย่าง
ชัดเจน ยางอายไม่มี เพราะถ้ามียางอายจะต้องไม่ทำสิทธิพิเศษให้กับตัวเองแบบนี้ นี่คือผลประโยชน์
ซับซ้อน บริษัทเอกชนบางแห่งยังทำไม่ได้ มีแต่สภาเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ควรได้รับการ
ตำหนิจากสังคม ผมเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวว่า จะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำเพื่อประโยชน์
ของตัวเอง และมีผลให้ระบบการตรวจสอบของบ้านเมืองเสียหาย และผมยังคิดว่าประชาชนทุกคน
ควรที่จะออกมาต่อต้านการกระทำเช่นนี้ด้วย เพราะประชาชนทุกคนมีสิทธิ ผมคนหนึ่งที่จะร่วมต่อสู้
กับพี่น้อง เป็นไงเป็นกัน" นายสุเทพกล่าว
จากนั้น นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ. ลุกขึ้นชี้แจงว่า
ทั้งหมดที่บัญญัติลงในร่างฯนั้น กมธ.ได้ยึดหลักสำคัญในการคืนอำนาจให้กับประชาชนแล้ว และคงไม่
สามารถไปตั้งเงื่อนไขหรือตัดสิทธิผู้ใดได้ เพราะต้องยกให้อำนาจของประชาชนเป็นผู้ตัดสินเอง แม้ว่า
มาตรา 126 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งให้ประชาชนเลือก ส.ว.นั้น ก็ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องบุพการี
คู่สมรสหรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่ให้ประชาชน
ได้ตัดสินเอง ขณะเดียวกันเรื่องสมาชิกพรรคการเมืองก็ระบุไว้เพียงสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในปัจจุบันที่คนส่วน
ใหญ่ที่มีความสนใจทางการเมืองและไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่กลับ
เป็นโทษแก้ตัวเอง เพราะถูกตัดสิทธิโดยที่ไม่เคยรู้ตัว ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า กมธ.ไม่ได้ทำเพื่อผล
ประโยชน์ซับซ้อนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กมธ.ไม่ขัดข้องหากมีแนวโน้มว่า ที่ประชุมจะมีการรับ
ผิดชอบร่วมในการที่จะตัดสิทธิพลเมืองและตัดสิทธิทางการเมือง ด้วยการไม่ยกสิทธิให้ประชาชน
ตัดสินใจตามที่เสนอมา กมธ.ก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากฟังเสียงของ กมธ.ให้รอบด้านอีกครั้งหนึ่งก่อน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1378294445&grpid=&catid=01&subcatid=0100
ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ใครกันแน่ที่ไม่มียางอาย อยู่ดีๆ ก็ไปตัดสิทธิปชช. เพียงเพราะเขาเป็นครอบครัวส.ส.
อะไรที่มาจากปชช. เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ทำไมถึงจะคิดว่าไม่ดี จะบอกว่า ปชช.ยังไม่พร้อม
อีกละสิ แล้วเมื่อไหร่ ถึงจะพร้อม ความพร้อมของปชช.ที่จะให้เลือกส.ว.เอง จะใช้อะไร เป็นตัวเกณฑ์
ในการตัดสิน ....