(Steins;Gate Side Story) 遙遠のヴァルハラ (Yōen no Valhalla) กระทู้ที่ 2
ต่อกันจาก
กระทู้นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[21 DEC 2011 เวลา 13:32PM]
อากาศภายในอุโมงค์วงแหวน LHC นั้นเย็น แม้ว่าจะอยู่ลึกลงมาใต้ดิน แต่กลับรู้สึกหนาวเย็นกว่าบนพื้นดินเสียอีก
แต่ความเย็นนั้นนับเป็นเรื่องดีสำหรับร่างกายผมที่ร้อนขึ้นมาจากการวิ่ง
สำหรับทั้งผมและคุริสุที่ไม่ได้มีกำลังกายมากนัก การจะวิ่ง 10 กิโลนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะงั้นเราจึงต้องพยายามฝืนตัวเองอย่างหนัก
ตลอดการวิ่งนี่รู้สึกได้ถึงความทรมานของกล้ามเนื้อที่แทบฉีกขาด ลำคอร้อนและแห้งผากอย่างที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำให้เรามาถึงจุดนัดพบเร็วกว่ากำหนด 30 นาที
“เรา…..มาเร็วเกินไปหน่อยแฮะ……แฮ่ก..แฮ่ก..”
ไม่อาจจะเดินได้อีกต่อไป คุริสุถึงกับทรุดคุกเข่าลง
ผมเองก็ทิ้งตัวที่เต็มไปด้วยความเมื่อยล้าลงนอนไปกับพื้นในท่าที่รู้สึกดีต่อร่างกายที่สุด
แล้วผม ก็ค่อยๆ มองขึ้นไปยังสิ่งที่อยู่เหนือหัวตัวเอง
ไม่ใช่ว่าจะสนใจเพดานที่อยู่สูงและมืดมิดอย่างน่าประหลาดนั่นหรอกนะ
CMS
ในความเงียบสงัดนั้น สถานีแห่งนี้ได้แผ่ความรู้สึกน่าประหลาดออกมา ราวกับว่ามันเป็นแท่นบูชาแห่งหนึ่ง
ที่นี่คือหนึ่งในสถานีสำหรับการทดลองเกี่ยวกับการชนกันของอนุภาคที่มาจาก LHC ความสูงของคานของ CMS นั้นคล้ายกันกับที่มีอยู่ในตึก 6 ชั้นเลย
ที่ตรงกลางของมันนั้น มีสิ่งที่ดูน่าหวาดหวั่นรูปร่างคล้าย Mandala อยู่
เป็นเครื่องกลทั้งหมด และยังมีสมมาตรในทุกๆ มุมอีกด้วย
มีสายระโยงระยางนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อเข้ากับมันราวกับเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยง
ตอนที่ดารุดูรูปภาพของเจ้าสิ่งนี้ก็เคยพูดบ้าบอออกมาว่ามัน ’โมเอะ’
Z Program นั้นถูกทดลองอยู่ในจุดที่ต่างออกไป เพราะงั้น CMS จึงทำหน้าที่เป็นแค่สถานีสังเกตการณ์การเร่งของโปรตอนเท่านั้น
แต่สำหรับผมกับคุริสุแล้ว ที่นี่คือเส้นชัยของเรา
และก็เช่นเดียวกับทางที่เราวิ่งกันมา 10 กิโลเมตร โพรงขนาดมหึมาฝีมือมนุษย์นี่ ไม่มีร่างของมนุษย์คนอื่นปรากฏให้เห็นเลย
ดูเหมือน Neidhart เองจะยังมาไม่ถึง
ดารุเองก็คงกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เหมือนกัน เพื่อให้แน่ใจ ผมเลยลองโทรหา แต่ว่าไม่ว่าจะรอสายนานเท่าไร หมอนั่นก็ไม่รับสาย
“ทำอะไรอยู่นะเนี่ย…..?”
บางทีที่ไม่รับเพราะอาจกำลังมุ่งมาทางนี้ก็ได้
แต่แบบนี้ชั้นรู้สึกเป็นกังวลนะ เจ้าบ้าเอ้ย
ผมตัดสินใจปิดมือถือเก็บไป และจะลองโทรหาใหม่ทีหลัง
ผมเข้าไปหาคุริสุที่พิงกำแพงอยู่
ตอนนี้เรายังพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย
ผมอยากจะใช้เวลานี่พูดคุยกับคุริสุ
ผมไปนั่งที่ข้างๆ คุริสุที่กำลังปรับลมหายใจอยู่ พอเธอหันมามองทางผม ก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ถ้าผมมีน้ำดื่มอยู่ ผมคงเอามันออกมาให้เธอ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีนะ
“นายทำอะไรมาบ้างตลอดปีครึ่งมานี้น่ะ….?”
“ก็แค่โดนกักบริเวณ เหมือนกับเธอนั่นแหละ”
ทุกๆ วัน เราจะได้กินอาหาร 3 มื้อ ได้อาบน้ำทุกเย็น ถ้าโชคดีหน่อย ก็อาจจะได้พวกหนังสือ DVD หรือพวกวิดีโอเกมมาใช้แก้เบื่อบ้าง
เราโดนจับตามองด้วยกล้องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่อาจติดต่อไปยังภายนอก SERN ได้ แต่นอกจากพวกนั้นแล้ว พวกเรามีอิสระเต็มที่
ดารุเองก็ถูกกักไว้ในห้องเดียวกันกับผม แต่แทนที่จะช่วยให้ผมทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หมอนั่นเลือกที่จะปล่อยให้ผมให้ทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเอง
ในห้องเองไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่ดารุ ก็จัดการหาวิธีติดต่อกับ Neidhart จนได้ และก็เป็นคนที่มีหน้าที่สำคัญกับ Operation Valhalla นี่ด้วย
“มีคนพานายไปดูการทดลองรึเปล่า…..?”
“การทดลอง? พูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“การทดลองมนุษย์ของ Z Program น่ะ….”
สีหน้าของคุริสุเต็มไปด้วยความรวดร้าว
“นายไม่ได้เข้าร่วมซักครั้งเลยเหรอ?”
“ไม่นี่…..”
“ชั้นน่ะ โดนบังคับให้ไปดู แล้วพวกนั้นยังอธิบายรายละเอียดให้ฟังอีกด้วย ราวกับคาดหวังว่าชั้นจะมีส่วนร่วมกับมันด้วยยังไงยังงั้น”
มันสมองของคุริสุนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก และ SERN เองก็คงอยากจะใช้มัน
คนที่สร้างโทรศัพท์เตาอบ (ชื่อชั่วคราว) ก็คือดารุ และคนที่พัฒนามันให้กลายเป็นไทม์ลีปแมชชีนก็คือคุริสุ
ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ทำตัวโอ้อวดคุยโตเท่านั้น
นี่คงเป็นสาเหตุที่ผู้คนที่นี่เริ่มปฏิบัติตัวกับพวกเราต่างกันออกไปเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
“ก็แปลว่าเธอโดนบังคับให้ไปดูการทดลองที่เธอรู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกทดลองจะกลายเป็นเจลลี่งั้นเหรอ?”
“ไม่มีผู้ถูกทดลองคนไหนได้รู้ถึงผลลัพธ์หรอก สิ่งที่พวกเขารู้มีแค่การจะได้กลายเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาคนแรกในประวัติศาสตร์เท่านั้น”
“…….”
การไปสังเกตดูการทดลองก็มีค่าเท่ากับมีส่วนรู้เห็นในการฆาตกรรมนั่นเลย
และไม่ว่าจะทำยังไง คุริสุก็ไม่อาจช่วยเหลือผู้ถูกทดลองพวกนั้นได้
นั่นคงทำให้มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเธออย่างแสนสาหัส
ตัวผมเอง….ไม่ได้โดนทำอะไรเลย ไม่โดนบังคับให้ไปดูการทดลองหรือไปที่ไหนๆ
คุณค่ามันสมองของผมกับคุริสุนั้นต่างกันสุดขั้ว และสิ่งที่ SERN ต้องการก็ไม่ใช่ผม แต่เป็นคุริสุกับความเป็นอัจฉริยะนั่น
เดี๋ยวสิ ทำไมถึงรู้สึกอิจฉาล่ะ? นี่ชั้นบ้าไปแล้วรึไงกัน?
“นี่ โอคาเบะ…”
คุริสุไม่ได้มองมาที่ผม สีหน้าของเธอดูว่างเปล่าภายใต้บรรยากาศอึมครึมของห้องนี่
ตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมานี้ คุริสุคงจะเป็นคนเดียวที่ไม่มีโอกาสที่จะได้พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจเลยก็ได้
“ถ้าหนีไปได้แล้ว นายมีแผนจะทำอะไรต่อ?”
“หลังจากที่กลับไปที่อากิฮาบาร่าได้แล้ว ชั้นจะทำการเปลี่ยนแปลงอดีต”
อีกครั้ง
เปลี่ยนอดีตเพื่อเปลี่ยนอนาคต
การเปลี่ยนแปลงที่สามารถรับรู้ได้โดยผู้มี Reading Steiner อย่างผม
“มายูริน่ะ ชั้นจะต้อง…”
ต้องช่วยมายูริให้ได้
ความผิดพลาดในครั้งก่อนๆ นั้น เป็นพลังผลักดันผมในตอนนี้
“นายเจอวิธีที่จะเปลี่ยนมันแล้วรึเปล่า?”
คำถามนั่น ทำให้ผมพูดไม่ออก
ใช่ ผมไม่รู้วิธีที่จะเปลี่ยนมัน
สิ่งที่ผมมี มีแค่ 2 อย่าง
<ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนอดีต>
<ความมุ่งมั่นที่จะนำเพื่อนสมัยเด็กที่สูญเสียไปเมื่อ 1 ปีครึ่งที่แล้วกลับคืนมา>
“ถ้านายอยากจะเปลี่ยนอดีตล่ะก็ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปจากที่นี่ก็ได้”
“อะไรนะ….?”
“จำที่คุณอามาเนะพูดไว้ได้มั้ย?”
คนที่โผล่ขึ้นมาในเว็บบอร์ดสนทนาของญี่ปุ่น อ้างตัวว่าเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาชื่อ John Titor หรือก็คือสมาชิกแล็บหมายเลข 8 อามาเนะ สุซุฮะ – หนึ่งในพรรคพวกที่เชื่อใจได้ของผม
“23 ปีต่อจากนี้ หรือปี 2034 นั้น มนุษยชาติจะทำการสร้างไทม์แมชชีนได้เป็นผลสำเร็จ และผู้ที่ทำได้นั้นก็คือพวก SERN”
“แล้วมันยังไงล่ะ….?”
“ถ้านายอยากจะเปลี่ยนอดีตล่ะก็ ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปจากที่นี่ก็ได้”
คุริสุพูดซ้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
“ถ้านายอยากจะเปลี่ยนอดีตจริงๆ ละก็ เลือกให้ความร่วมมือกับ SERN ในการทดลองซะก็ได้”
ผมรู้สึกไม่เชื่อหูตัวเอง
“พูดจริงรึเปล่านั่น?”
“ถ้าการช่วยมายูริคือทุกสิ่งทุกอย่างที่นายต้องการละก็ นี่เป็นทางที่ดีกว่านะ แค่รอไป 23 ปี นายก็จะมีวิธีที่จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงที่อากิฮาบาระเมื่อปี 2010 ได้”
“SERN กับพวก Rounder คือพวกที่ฆ่ามายูรินะ”
ผมกำหมัดแน่นด้วยความโมโห
“อย่ามาบอกให้ชั้นไปร่วมมือกับพวกมันนะ….!”
“ขอโทษที ชั้นไม่ได้ตั้งใจหมายความว่ายังงั้น….”
คุริสุดูจะตกใจกับท่าทางของผมมาก
แน่นอนว่าผมก็รู้ว่าคุริสุไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่ผมก็ไม่อาจคุมความโกรธนี้ได้ ผมเองก็ประหลาดใจเมื่อกันกับการที่ผมผู้เคยยอมแพ้ไปเมื่อ 1 ปีครึ่งที่แล้ว กลับมีอารมณ์เดือดพล่านแบบนี้
“ถ้านายให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือมายูริที่สุดละก็…..ทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้มีความเป็นไปได้ก็คือนายต้องตัดอารมณ์ความรู้สึกทิ้งแล้วทำในสิ่งที่ต้องทำซะ….”
“ใช่ ถ้าคิดตามหลักการละก็นะ แต่ว่าชั้นน่ะ ไม่ใช่พวกที่ยึดกับหลักการ หรือพวกความเป็นไปได้หรอกนะ”
เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยเรียกตัวเองว่า Mad Scientist ผู้ไม่เลือกวิธีการเพื่อให้เป้าหมายประสบผลสำเร็จ แต่พอมาเจอกับสถานการณ์อย่างตอนนี้ ผมกลับให้อารมณ์เข้าควบคุมได้ง่ายๆ
“แล้ว เราจะทำยังไงเมื่อกลับไปที่อากิฮาบาร่าแล้วล่ะ….?”
คุริสุถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“นายมีความคิดอะไรในการช่วยมายูริรึเปล่า?”
“เราจะสร้างไทม์ลีปแมชชีนขึ้นอีกอัน….”
“เป็นไปไม่ได้หรอก”
คุริสุเบือนหน้าหนีพร้อมกับส่ายหัว
“นั่นน่ะ เป็นผลมาจากความบังเอิญหลายๆ อย่างมันทับซ้อนกันจนเรียกว่าปาฏิหาริย์เลยก็ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำขึ้นมาได้อย่างที่เราต้องการง่ายๆ ซะหน่อย…..”
“เธอกำลังจะบอกว่า ให้อยู่ที่นี่จะดีกว่างั้นเหรอ !?”
ผมตะโกนออกไปด้วยอารมณ์อย่างไม่ลังเล ถึงจะรู้ว่าควรจะควบคุมตัวเองเอาไว้หน่อย แต่ก็ไม่อาจทำได้ คุริสุเองก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบคิดในแง่ร้ายอะไรซะหน่อย ทุกๆ คำพูดของเธอนั้นมักจะเชื่อถือได้
หรือว่าเธอจะเปลี่ยนไปแล้ว ? เหมือนกับที่ตัวผมมันย่ำแย่ไปแล้วกับการถูกกักบริเวณมาตลอด 1 ปีครึ่งนี่
ผมไม่อยากจะเห็น ‘ผู้ช่วย’ เป็นแบบนี้
“ชั้นไม่พูดแบบนั้นหรอกน่า……ก็แค่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชั้นก็ได้คิดอะไรดูหลายๆ อย่างน่ะ”
ใช่ นั่นก็เหมือนกันกับผมแหละ อะไรคือสิ่งที่ถูก? ทำพลาดไปตรงไหน? จะต้องทำยังไง?
และผลจากการขบคิดนั่น ก็คือ Operation Valhalla
“สุซุฮะเป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้านที่ชั้นกับดารุตั้งขึ้นมา เธอต่อสู้เพื่อป้องกันการเกิดดิสโทเปียด้วยน้ำมือของ SERN แล้วสิ่งที่เธอใช้ในการทำสิ่งเหล่านั้นคืออะไร? ลองตอบมาสิ คุริสุ!”
คุริสุสะดุ้งเพราะเสียงอันดังของผม แล้วเธอก็โอบกอดไปที่ไหล่ของตัวเองเล็กน้อย
“ไทม์….แมชชีน…..”
“ใช่แล้ว ไทม์แมชชีนที่ชั้นกับดารุสร้างขึ้นมา ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่มันก็สามารถเดินทางย้อนเวลาได้ ไม่ใช่อย่าง D-Mail ไม่ใช่อย่างไทม์ลีปแมชชีน แต่เป็นการข้ามเวลาทางกายภาพ เหนือกว่าสิ่งที่ SERN จะสามารถทำได้…..!”
เราสามารถสร้างไทม์แมชชีนขึ้นมากันเองได้
เราไม่จำเป็นต้องยืมมือ SERN เพื่อการนั้น เพราะงั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เราจะอยู่ที่นี่
เราไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่
“ชั้นพยายามจะไม่คิดถึงเรื่องคุณอามาเนะเท่าไรน่ะ….”
คุริสุกัดริมฝีปากตัวเอง ราวกับมีสิ่งที่ยากจะพูดออกมาอยู่
อะไรล่ะ?
“ถ้าจะพูดเกี่ยวกับไทม์แมชชีนละก็ ไม่ควรจะมาทำตัวหลอกตัวเองแบบนี้นะ”
อะไรนะ?
“ลองนึกถึงสิ่งที่เธอพบเห็นในปี 2036 สิ”
“พบเห็น….?”
“ให้เจาะจงก็คือ สถานภาพของพวกเราและฮาชิดะเมื่อตอนนั้น”
“……..”
ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อย ลมหายใจหยุดไปโดยไม่รู้ตัว
คุริสุเอามือปิดหน้าพร้อมส่ายหัวเบาๆ
นั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน
“พอคิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้วชั้น…ชั้นก็ไม่รู้ ชั้นไม่เข้าใจเลย ตลอด 1 ปีครึ่งมานี่ ชั้นลองคิดมาตลอด ยิ่งคิดมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเสียสติมากนั้น ชั้นไม่อาจแยกว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิดได้อีกต่อไปแล้ว….”
พอเธอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นดวงตาอันแดงก่ำ
นี่เธอร้องไห้อยู่เหรอ…..?
“ชั้นรู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังเดินไปสู่อนาคตแบบเดียวกับที่คุณอามาเนะได้บอกพวกเราไว้”
“อนาคตแบบเดียวกัน…..?”
“ไทม์แมชชีนที่ไม่สมบูรณ์นั้นสร้างโดยนายกับฮาชิดะ และคุณอามาเนะก็เป็นคนใช้มัน เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตที่มายูริตายและดิสโทเปียจากฝีมือของ SERN”
“ใช่ ก็แบบนั้นแหละ”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
หยุดนะ
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณอามาเนะ ไทม์แมชชีน…..แล้วก็มายูริจากนั้นล่ะ?”
–– หยุดนะ ––
“เธอทำพลาด คุณอามาเนะทำพลาดนะ อย่าบอกนะว่านายลืมเรื่องจดหมายนั่นแล้ว…. ”
ห้ามพูดมากไปกว่านั้นนะ
ห้ามพูดถึง ‘บทสรุป’ ของสิ่งที่ชั้นเบือนสายตาหนีจากมันนะ!
“ชั้นจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนเดิมหรอ ––”
“มันจะโดนดึงกลับมาอยู่ดีนะ โอคาเบะ”
หนวกหูน่า
“ดึงกลับมายังจุดจบเดิมๆ”
“Attractor….Fields…..”
เจตจำนงของจักรวาล
อนาคตที่ถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว
ถึงจะมีการเปลี่ยนขั้นตอน เส้นทางไปบ้าง แต่มันก็จะกลับไปยังอนาคตอันเดิมอยู่ดี
ราวกับจักรวาลเป็นตัวกำหนดว่าอนาคตจะเป็นไปในทางไหน ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ผูกมัด
(Steins;Gate Side Story) 遙遠のヴァルハラ (Yōen no Valhalla) กระทู้ที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้