ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 56-57
http://ppantip.com/topic/30839760
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 58
เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงที่พินทุมณีเทวีทรงหว่านเมล็ดไว้ในใจพระขนิษฐา เริ่มแตกต้นอ่อนและเจริญงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งพุ่มพฤกษ์ในฤดูฝน เหลืออีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเวลาแห่งการศึกจะมาถึง แน่งน้อยโฉมโสภาทรงอึดอับคับข้องในพระทัยยิ่งนัก ยามบรรทมก็มิอาจบรรทมได้อย่างสนิทใจ ความวิตกกังวลคอยแต่จะรุมเร้าเข้ามา
‘อีกไม่ช้าเธอเป็นบ้าไปแน่ๆ’ เสียงที่ไร้ผู้คนได้ยินกล่าวอยู่ข้างพระวรกาย หลังจากเคียงฟ้าเฝ้ามองอาการมาหลายวัน
‘นี่ฉันจะทำยังไงดี?’
“นี่ข้าจะทำกระไรดี?”
สองเสียงกล่าวออกมาด้วยใจตรงกัน แต่ต่างกันที่กังวลไปคนละเรื่อง ดวงหทัยของมหิตาเทวีอยู่ที่ภูวิษะเจ้า ส่วนใจของเคียงฟ้าจดจ่ออยู่กับมหิตาเทวี ต่างฝ่ายจึงพากันกลุ้มใจไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อคิดไม่ออกหญิงสาวจึงละความสนใจจากนางเทวีไปชั่วขณะแล้วเดินออกไปภายนอก หล่อนเดินจนรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งลงที่ศาลาริมหนองน้ำในอุทยานหลวง
“อาจารย์คะ...ฉันจะช่วยมหิตาได้ยังไง?” หล่อนรู้ว่านี่เป็นอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เคียงฟ้าไม่อาจทำใจเป็นผู้เฝ้าดูและวางเฉยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ หล่อนรู้...อีกไม่นานมหิตาเทวีต้องก่อเรื่องร้ายขึ้นมาแน่ๆ บางที...นางอาจจะ...ทำในสิ่งที่พินทุมณีเทวีตรัสยุยงไว้ก็เป็นได้
‘…ทำใจ’ เสียงนั้นลอยลมมาแผ่วๆ จนหล่อนไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า จึงลองเรียกดูอีกครั้ง
“อาจารย์คะ ได้ยินเสียงฟ้าไหม?” เงียบ...ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หล่อนจึงได้แต่ถอนหายใจดังเฮือก
ในขณะเดียวกันอีกห้วงของกาลเวลา ใครบางคนที่เคียงฟ้าเรียกหากำลังเฝ้ามองดูหล่อนผ่านกระจกเงาบานใหญ่ เงาที่สะท้อนกลับมานั้นหาใช่เงาเจ้าของร่างไม่ หากเป็นภาพของหญิงสาวที่ท่องอยู่ในอดีตกาล ภาพนั้นกระจ่างชัดไม่ต่างกับมองเห็นด้วยตาตนเอง
“ขอให้เจ้าได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา จิตจะได้ไม่วนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์ ไม่นานหรอกเคียงฟ้าเอ๋ย เวลาแห่งการตัดสินใจจะมาถึง”
เงาของผู้พูดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในกระจก หากแต่อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นแตกต่างจากรูปลักษณ์จริงที่สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีดำ ร่างในกระจกเปลือยแผ่นอกกว้าง ทรงสังวาลย์เส้นใหญ่ และพาหุรัดทั้งสองพาหา ผ้าภูษาเป็นสีขาวประกายทอง ชายผ้าที่ยาวลงมาปิดชานุด้านหนึ่งปักตราดอกสีแดง ครู่ต่อมาทั้งเงาและร่างนั้นก็พลันหายไปจากหน้ากระจก ในเงาไม่สะท้อนภาพแปลกปลอมอันใด นอกจากผนังด้านตรงกันข้ามกับกระจกเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“กุสุมาลย์ได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงทุ้มนุ่มลึกเรียกเรื่อยริน
เจ้าของนามไม่ต้องการพบหน้าวิทยาธรเทพ หากแต่ไม่อาจทนคลื่นที่รบเร้าจากเสียงก้องกังวานนั้นได้ ยิ่งทำนิ่งเฉยไม่ใส่ใจเสียงนั้นยิ่งเร่งเร้าจนมิติที่หญิงงามซ่อนเงาอยู่สั่นไหว
“กระไรกันนี่?”
วิญญาณสาวเหลียวมองรอบกาย พบว่าบรรยากาศบีบคั้นจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทุกสรรพสิ่งค่อยกลืนหาย กุสุมาลย์หลับตานิ่งพยายามฝืนกายไว้ แต่ครู่เดียวที่หลับตาลงทุกอย่างก็คลายตัวลง ไม่มีเสียงเร่งเร้า ไม่มีสิ่งใดน่าหวาดหวั่นเช่นเมื่อครู่ นางจึงค่อยลืมตาขึ้นแล้วพบบุรุษที่แสนชังน้ำหน้ายืมยิ้มอยู่ข้างกาย
“ท่าน!!”
“เป็นเราเอง ปล่อยให้เรียกอยู่เนิ่นนาน” กุสุมาลย์ถลึงตาใส่เจ้าของอำนาจที่นำนางมา
“มีธุระกระไร? ไฉนต้องบีบเค้นลากตัวเรามา”
“เราแค่ใคร่ขอเชิญแม่คุณมานั่งสนทนากัน”
“ข้าไม่มีเรื่องใดจะสนทนากับท่าน”
“อย่าเพิ่งตัดรอนสิ...ดูนี่ก่อนเป็นไร” หญิงงามจึงค่อยคลายสีหน้าบึ้งตึง แล้วจึงพบว่าตนเองนั่งอยู่ในศาลาซึ่งปลูกสร้างอยู่ในสวนกว้างแห่งหนึ่ง
“ที่นี่?...” ลุกเดินออกจากศาลาแล้วเหลียวมองไปรอบกาย ทุกอย่างช่างคุ้นเคยดังเห็นมาจนเจนตา สวนอันกว้างใหญ่และงดงามด้วยพฤกษานานาพันธุ์นี้จะเป็นที่ใดไปมิได้ นอกจากอุทยานหลวงแห่งนครจุมภะ
“ท่านพาข้ากลับมาที่นี่ทำไม?”
“อยากให้แม่ช่วยสักหน่อย”
“ช่วย? ถ้าเป็นช่วยเหลือนางบาปนั่น ท่านอย่าหวัง” ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“มิใช่ เราใคร่จะซักถามแม่ ในฐานะพยานเสียหน่อย” อีกฝ่ายตอบ
“พยาน?”
“นางอยู่ที่นั่น” กุสุมาลย์มองตามทิศที่บุรุษองอาจชี้มือไป จึงพบเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งเดินชมสวนอยู่ มองดูก็รู้ว่าพวกนางเป็นนางกำนัล ตรงกลางมีพินทุมณีเทวีเป็นเดือนเด่น
“พระพี่นาง?” ผีสาวอุทาน ด้วยนึกไม่ถึง ในใจคิดไปว่าคนที่จะพบเป็นมหิตาเทวีแต่เมื่อไม่ใช่นางจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ใช่...เป็นนาง เราเรียกแม่มาด้วยเหตุว่า นอกจากมหิตาเทวีแล้วแม่ยังเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหญิงนางนี้ด้วย” กุสุมาลย์เม้มริมฝีปากแน่น
“แค้นนางหรือไม่ ประสงค์จะคิดบัญชีกับนางหรือไม่? นางทำกรรมร่วมกับมหิตาล่อลวงแม่ให้เสียโฉม” มือเรียวนั้นกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ
“หากข้ามิได้กระทำสิ่งใดกับนาง แม้แต่จองเวร แล้วนางจะหลุดรอดจากกงกรรมหรือไม่”
“ไม่!” เสียงนั้นตอบหนักแน่น “แม้เจ้ากรรมละเว้นให้ ไม่จองเวร แต่กรรมที่กระทำอย่างไรก็ต้องชดใช้ กงล้อกรรมมันเริ่มหมุนตั้งแต่นางกระทำผิดแล้ว”
“หลังจากที่ข้าตาย นางกระทำสิ่งใดอีกหรือไม่”
“อีกมาก...ก่อกรรมเลวเพิ่มจนทับถมตัวเอง”
“นางจะได้รับโทษสถานใด?”
“ก่อนจะพิจารณาโทษ จึงต้องเรียกแม่มาซักถามเสียก่อน” สายตานั้นจริงจังนักมิมีแววกรุ้มกริ่มหยอกล้อเหมือนอย่างเคย
“วิมุตติไฉนวิทยเทพอย่างท่าน จึงได้รับสิทธิ์ในการพิพากษ์กรรม” หญิงงามเงยหน้าขึ้นสบตา ในแววตานั้นหามีความทุกข์ ความแค้น หรือความรักอันใด สิ่งที่ปรากฏออกมามีเพียงความฉงนฉงายเท่านั้น
“เพราะกรรมของพินทุมณีเทวีเกี่ยวเนื่องกับเมือง การล่มสลายของเมืองนางมีส่วนร่วม จึงถูกนับรวมเข้าไปคดีที่เราดูแลอยู่ ไม่เฉพาะภูวิษะเจ้าหรือมหิตาเท่านั้น”
“พินทุมณีนางหญิงชั่ว!!...ข้าอุตส่าห์ไม่จองเวร คิดว่าเจ้ามิมีเจตนาจะทำร้ายข้า แต่นี่กลับ...เป็นถึงราชธิดาแท้ๆ ไฉนจึงทำให้เมืองของตนล่มสลายกัน บรรพกษัตริย์ตลอดจนผีเมืองคงไม่ให้อภัยนาง”
“หึ หึ” บุรุษข้างกายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ทำให้ผีสาวหันขวับกลับไปจ้องทันที
“มีกระไรน่าขบขัน เมืองทั้งเมืองล่มสลาย ผู้คนต้องตายมากมาย ครอบครัวแตกแยกกระสานเซ็นเช่นนี้ ท่านยังเห็นเป็นเรื่องน่าขันไปได้รึ?”
“มิได้...แม่คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ที่ข้าขบขันเป็นนางต่างหาก แม่แค้นถึงเพียงนี้แต่ยังใช้เหตุและผลแยกแยะเจตนาที่ทำร้ายตนได้อีก นี่สิ..จะว่าพิกลก็พิกลนัก ทีมหิตาเทวีไฉนจึงจองแค้นนักหนา”
“วิมุตติท่านมิใช่คนเขลา ไม่จำเป็นต้องถามข้ากระมัง เหตุผลนั้นท่านคงเข้าใจกระจ่างแจ้งดีอยู่แล้ว” หญิงงามจ้องหน้าด้วยสายตารวดร้าวนัก บ่งบอกให้รู้ว่านางจริงจังกับสิ่งที่กล่าวมาเท่าใด
“ขออภัยเถิด...เรามิใช่สัพพัญญู แม้รู้ด้วยตาแต่ไม่อาจกระจ่างแจ้งด้วยใจ สู้ให้แม่แถลงไขเองดีกว่า”
“ถือเป็นคำให้การใช่หรือไม่?”
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะไม่ก็ไม่ เราอยากรับฟังในฐานะสหาย”
“สหาย? ข้ารึเคยเป็นสหายของท่าน” นารีแสนงามเดินปั้นปึ่งเลี่ยงไปนั่งห่างออกไป ทำเอาสัตบุรุษยิ้มขำแล้วเดินตามไปทอดร่างลงนั่งเคียงนาง
“หรือแม่อยากให้เรารับฟังในฐานะบุรุษที่ใคร่พึ่งพิงก็ย่อมได้ ” สิ้นคำกล่าวหน้านวลของกุสุมาลย์ก็ร้อนผะผ่าว
“ท่าน...ข้าจะไม่พูดกับท่านแล้วนะ หากยังเกี้ยวพาราสีอีก” ดวงตาคู่งามค้อนขวัก
“มิได้เกี้ยว หากอยากให้นางพึ่งพาโดยสัตย์จริง จงเชื่อในวิทยฐานะของเราเถิด” กึ่งเทพรูปทองสำทับถึงภาระหน้าที่แห่งตน
“ถ้าอย่างนั้นท่านอยากจะถามกระไรก็เชิญเถิด”
“ต้องการให้เคียงฟ้ากระทำสิ่งใดเพื่อแม่ได้บ้าง ความทุกข์ความแค้นจะได้ทุเลาลง” หญิงงามเงียบไปเนิ่นนาน นัยน์ตาเลื่อนลอยอยู่ในภวังค์แห่งตน
“นาง...ไม่อาจทำสิ่งใดได้ดอก สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขมิได้ เอาชีวิตเราคืนมามิได้”
“แม่ต้องการมีชีวิตอีกครั้ง?” วิมุตติขยับปากจะกล่าวว่าหากปล่อยวางก็สามารถไปสู่ภพภูมิอื่นได้ แต่ยั้งไว้มิทันได้พูดเมื่อเห็นนางกำลังจะเอื้อนเอ่ยขึ้นมา
“ไม่...แต่ข้ากำลังรอ”
“รอสิ่งใด?”
“บางทีอาจจะรอการมาของท่าน รอให้ทุกสิ่งยุติลงจริงๆ เสียที”
“ความจริงแล้วแม่ยุติทุกสิ่งลงได้ด้วยตัวเอง มิต้องรอให้เราหรือใครมาปัดเป่าให้ก็ย่อมได้”
“มิได้”
“ไฉนเล่า?”
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 58-59
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 58
เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงที่พินทุมณีเทวีทรงหว่านเมล็ดไว้ในใจพระขนิษฐา เริ่มแตกต้นอ่อนและเจริญงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งพุ่มพฤกษ์ในฤดูฝน เหลืออีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเวลาแห่งการศึกจะมาถึง แน่งน้อยโฉมโสภาทรงอึดอับคับข้องในพระทัยยิ่งนัก ยามบรรทมก็มิอาจบรรทมได้อย่างสนิทใจ ความวิตกกังวลคอยแต่จะรุมเร้าเข้ามา
‘อีกไม่ช้าเธอเป็นบ้าไปแน่ๆ’ เสียงที่ไร้ผู้คนได้ยินกล่าวอยู่ข้างพระวรกาย หลังจากเคียงฟ้าเฝ้ามองอาการมาหลายวัน
‘นี่ฉันจะทำยังไงดี?’
“นี่ข้าจะทำกระไรดี?”
สองเสียงกล่าวออกมาด้วยใจตรงกัน แต่ต่างกันที่กังวลไปคนละเรื่อง ดวงหทัยของมหิตาเทวีอยู่ที่ภูวิษะเจ้า ส่วนใจของเคียงฟ้าจดจ่ออยู่กับมหิตาเทวี ต่างฝ่ายจึงพากันกลุ้มใจไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อคิดไม่ออกหญิงสาวจึงละความสนใจจากนางเทวีไปชั่วขณะแล้วเดินออกไปภายนอก หล่อนเดินจนรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งลงที่ศาลาริมหนองน้ำในอุทยานหลวง
“อาจารย์คะ...ฉันจะช่วยมหิตาได้ยังไง?” หล่อนรู้ว่านี่เป็นอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เคียงฟ้าไม่อาจทำใจเป็นผู้เฝ้าดูและวางเฉยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ หล่อนรู้...อีกไม่นานมหิตาเทวีต้องก่อเรื่องร้ายขึ้นมาแน่ๆ บางที...นางอาจจะ...ทำในสิ่งที่พินทุมณีเทวีตรัสยุยงไว้ก็เป็นได้
‘…ทำใจ’ เสียงนั้นลอยลมมาแผ่วๆ จนหล่อนไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า จึงลองเรียกดูอีกครั้ง
“อาจารย์คะ ได้ยินเสียงฟ้าไหม?” เงียบ...ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หล่อนจึงได้แต่ถอนหายใจดังเฮือก
ในขณะเดียวกันอีกห้วงของกาลเวลา ใครบางคนที่เคียงฟ้าเรียกหากำลังเฝ้ามองดูหล่อนผ่านกระจกเงาบานใหญ่ เงาที่สะท้อนกลับมานั้นหาใช่เงาเจ้าของร่างไม่ หากเป็นภาพของหญิงสาวที่ท่องอยู่ในอดีตกาล ภาพนั้นกระจ่างชัดไม่ต่างกับมองเห็นด้วยตาตนเอง
“ขอให้เจ้าได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา จิตจะได้ไม่วนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์ ไม่นานหรอกเคียงฟ้าเอ๋ย เวลาแห่งการตัดสินใจจะมาถึง”
เงาของผู้พูดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในกระจก หากแต่อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นแตกต่างจากรูปลักษณ์จริงที่สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีดำ ร่างในกระจกเปลือยแผ่นอกกว้าง ทรงสังวาลย์เส้นใหญ่ และพาหุรัดทั้งสองพาหา ผ้าภูษาเป็นสีขาวประกายทอง ชายผ้าที่ยาวลงมาปิดชานุด้านหนึ่งปักตราดอกสีแดง ครู่ต่อมาทั้งเงาและร่างนั้นก็พลันหายไปจากหน้ากระจก ในเงาไม่สะท้อนภาพแปลกปลอมอันใด นอกจากผนังด้านตรงกันข้ามกับกระจกเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“กุสุมาลย์ได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงทุ้มนุ่มลึกเรียกเรื่อยริน
เจ้าของนามไม่ต้องการพบหน้าวิทยาธรเทพ หากแต่ไม่อาจทนคลื่นที่รบเร้าจากเสียงก้องกังวานนั้นได้ ยิ่งทำนิ่งเฉยไม่ใส่ใจเสียงนั้นยิ่งเร่งเร้าจนมิติที่หญิงงามซ่อนเงาอยู่สั่นไหว
“กระไรกันนี่?”
วิญญาณสาวเหลียวมองรอบกาย พบว่าบรรยากาศบีบคั้นจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทุกสรรพสิ่งค่อยกลืนหาย กุสุมาลย์หลับตานิ่งพยายามฝืนกายไว้ แต่ครู่เดียวที่หลับตาลงทุกอย่างก็คลายตัวลง ไม่มีเสียงเร่งเร้า ไม่มีสิ่งใดน่าหวาดหวั่นเช่นเมื่อครู่ นางจึงค่อยลืมตาขึ้นแล้วพบบุรุษที่แสนชังน้ำหน้ายืมยิ้มอยู่ข้างกาย
“ท่าน!!”
“เป็นเราเอง ปล่อยให้เรียกอยู่เนิ่นนาน” กุสุมาลย์ถลึงตาใส่เจ้าของอำนาจที่นำนางมา
“มีธุระกระไร? ไฉนต้องบีบเค้นลากตัวเรามา”
“เราแค่ใคร่ขอเชิญแม่คุณมานั่งสนทนากัน”
“ข้าไม่มีเรื่องใดจะสนทนากับท่าน”
“อย่าเพิ่งตัดรอนสิ...ดูนี่ก่อนเป็นไร” หญิงงามจึงค่อยคลายสีหน้าบึ้งตึง แล้วจึงพบว่าตนเองนั่งอยู่ในศาลาซึ่งปลูกสร้างอยู่ในสวนกว้างแห่งหนึ่ง
“ที่นี่?...” ลุกเดินออกจากศาลาแล้วเหลียวมองไปรอบกาย ทุกอย่างช่างคุ้นเคยดังเห็นมาจนเจนตา สวนอันกว้างใหญ่และงดงามด้วยพฤกษานานาพันธุ์นี้จะเป็นที่ใดไปมิได้ นอกจากอุทยานหลวงแห่งนครจุมภะ
“ท่านพาข้ากลับมาที่นี่ทำไม?”
“อยากให้แม่ช่วยสักหน่อย”
“ช่วย? ถ้าเป็นช่วยเหลือนางบาปนั่น ท่านอย่าหวัง” ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“มิใช่ เราใคร่จะซักถามแม่ ในฐานะพยานเสียหน่อย” อีกฝ่ายตอบ
“พยาน?”
“นางอยู่ที่นั่น” กุสุมาลย์มองตามทิศที่บุรุษองอาจชี้มือไป จึงพบเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งเดินชมสวนอยู่ มองดูก็รู้ว่าพวกนางเป็นนางกำนัล ตรงกลางมีพินทุมณีเทวีเป็นเดือนเด่น
“พระพี่นาง?” ผีสาวอุทาน ด้วยนึกไม่ถึง ในใจคิดไปว่าคนที่จะพบเป็นมหิตาเทวีแต่เมื่อไม่ใช่นางจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ใช่...เป็นนาง เราเรียกแม่มาด้วยเหตุว่า นอกจากมหิตาเทวีแล้วแม่ยังเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหญิงนางนี้ด้วย” กุสุมาลย์เม้มริมฝีปากแน่น
“แค้นนางหรือไม่ ประสงค์จะคิดบัญชีกับนางหรือไม่? นางทำกรรมร่วมกับมหิตาล่อลวงแม่ให้เสียโฉม” มือเรียวนั้นกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ
“หากข้ามิได้กระทำสิ่งใดกับนาง แม้แต่จองเวร แล้วนางจะหลุดรอดจากกงกรรมหรือไม่”
“ไม่!” เสียงนั้นตอบหนักแน่น “แม้เจ้ากรรมละเว้นให้ ไม่จองเวร แต่กรรมที่กระทำอย่างไรก็ต้องชดใช้ กงล้อกรรมมันเริ่มหมุนตั้งแต่นางกระทำผิดแล้ว”
“หลังจากที่ข้าตาย นางกระทำสิ่งใดอีกหรือไม่”
“อีกมาก...ก่อกรรมเลวเพิ่มจนทับถมตัวเอง”
“นางจะได้รับโทษสถานใด?”
“ก่อนจะพิจารณาโทษ จึงต้องเรียกแม่มาซักถามเสียก่อน” สายตานั้นจริงจังนักมิมีแววกรุ้มกริ่มหยอกล้อเหมือนอย่างเคย
“วิมุตติไฉนวิทยเทพอย่างท่าน จึงได้รับสิทธิ์ในการพิพากษ์กรรม” หญิงงามเงยหน้าขึ้นสบตา ในแววตานั้นหามีความทุกข์ ความแค้น หรือความรักอันใด สิ่งที่ปรากฏออกมามีเพียงความฉงนฉงายเท่านั้น
“เพราะกรรมของพินทุมณีเทวีเกี่ยวเนื่องกับเมือง การล่มสลายของเมืองนางมีส่วนร่วม จึงถูกนับรวมเข้าไปคดีที่เราดูแลอยู่ ไม่เฉพาะภูวิษะเจ้าหรือมหิตาเท่านั้น”
“พินทุมณีนางหญิงชั่ว!!...ข้าอุตส่าห์ไม่จองเวร คิดว่าเจ้ามิมีเจตนาจะทำร้ายข้า แต่นี่กลับ...เป็นถึงราชธิดาแท้ๆ ไฉนจึงทำให้เมืองของตนล่มสลายกัน บรรพกษัตริย์ตลอดจนผีเมืองคงไม่ให้อภัยนาง”
“หึ หึ” บุรุษข้างกายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ทำให้ผีสาวหันขวับกลับไปจ้องทันที
“มีกระไรน่าขบขัน เมืองทั้งเมืองล่มสลาย ผู้คนต้องตายมากมาย ครอบครัวแตกแยกกระสานเซ็นเช่นนี้ ท่านยังเห็นเป็นเรื่องน่าขันไปได้รึ?”
“มิได้...แม่คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ที่ข้าขบขันเป็นนางต่างหาก แม่แค้นถึงเพียงนี้แต่ยังใช้เหตุและผลแยกแยะเจตนาที่ทำร้ายตนได้อีก นี่สิ..จะว่าพิกลก็พิกลนัก ทีมหิตาเทวีไฉนจึงจองแค้นนักหนา”
“วิมุตติท่านมิใช่คนเขลา ไม่จำเป็นต้องถามข้ากระมัง เหตุผลนั้นท่านคงเข้าใจกระจ่างแจ้งดีอยู่แล้ว” หญิงงามจ้องหน้าด้วยสายตารวดร้าวนัก บ่งบอกให้รู้ว่านางจริงจังกับสิ่งที่กล่าวมาเท่าใด
“ขออภัยเถิด...เรามิใช่สัพพัญญู แม้รู้ด้วยตาแต่ไม่อาจกระจ่างแจ้งด้วยใจ สู้ให้แม่แถลงไขเองดีกว่า”
“ถือเป็นคำให้การใช่หรือไม่?”
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะไม่ก็ไม่ เราอยากรับฟังในฐานะสหาย”
“สหาย? ข้ารึเคยเป็นสหายของท่าน” นารีแสนงามเดินปั้นปึ่งเลี่ยงไปนั่งห่างออกไป ทำเอาสัตบุรุษยิ้มขำแล้วเดินตามไปทอดร่างลงนั่งเคียงนาง
“หรือแม่อยากให้เรารับฟังในฐานะบุรุษที่ใคร่พึ่งพิงก็ย่อมได้ ” สิ้นคำกล่าวหน้านวลของกุสุมาลย์ก็ร้อนผะผ่าว
“ท่าน...ข้าจะไม่พูดกับท่านแล้วนะ หากยังเกี้ยวพาราสีอีก” ดวงตาคู่งามค้อนขวัก
“มิได้เกี้ยว หากอยากให้นางพึ่งพาโดยสัตย์จริง จงเชื่อในวิทยฐานะของเราเถิด” กึ่งเทพรูปทองสำทับถึงภาระหน้าที่แห่งตน
“ถ้าอย่างนั้นท่านอยากจะถามกระไรก็เชิญเถิด”
“ต้องการให้เคียงฟ้ากระทำสิ่งใดเพื่อแม่ได้บ้าง ความทุกข์ความแค้นจะได้ทุเลาลง” หญิงงามเงียบไปเนิ่นนาน นัยน์ตาเลื่อนลอยอยู่ในภวังค์แห่งตน
“นาง...ไม่อาจทำสิ่งใดได้ดอก สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขมิได้ เอาชีวิตเราคืนมามิได้”
“แม่ต้องการมีชีวิตอีกครั้ง?” วิมุตติขยับปากจะกล่าวว่าหากปล่อยวางก็สามารถไปสู่ภพภูมิอื่นได้ แต่ยั้งไว้มิทันได้พูดเมื่อเห็นนางกำลังจะเอื้อนเอ่ยขึ้นมา
“ไม่...แต่ข้ากำลังรอ”
“รอสิ่งใด?”
“บางทีอาจจะรอการมาของท่าน รอให้ทุกสิ่งยุติลงจริงๆ เสียที”
“ความจริงแล้วแม่ยุติทุกสิ่งลงได้ด้วยตัวเอง มิต้องรอให้เราหรือใครมาปัดเป่าให้ก็ย่อมได้”
“มิได้”
“ไฉนเล่า?”