เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 58-59

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 56-57 http://ppantip.com/topic/30839760

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl


ตอนที่ 58




                 เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงที่พินทุมณีเทวีทรงหว่านเมล็ดไว้ในใจพระขนิษฐา เริ่มแตกต้นอ่อนและเจริญงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งพุ่มพฤกษ์ในฤดูฝน  เหลืออีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเวลาแห่งการศึกจะมาถึง  แน่งน้อยโฉมโสภาทรงอึดอับคับข้องในพระทัยยิ่งนัก  ยามบรรทมก็มิอาจบรรทมได้อย่างสนิทใจ ความวิตกกังวลคอยแต่จะรุมเร้าเข้ามา


                ‘อีกไม่ช้าเธอเป็นบ้าไปแน่ๆ’ เสียงที่ไร้ผู้คนได้ยินกล่าวอยู่ข้างพระวรกาย  หลังจากเคียงฟ้าเฝ้ามองอาการมาหลายวัน


                ‘นี่ฉันจะทำยังไงดี?’


                “นี่ข้าจะทำกระไรดี?”  


               สองเสียงกล่าวออกมาด้วยใจตรงกัน แต่ต่างกันที่กังวลไปคนละเรื่อง  ดวงหทัยของมหิตาเทวีอยู่ที่ภูวิษะเจ้า  ส่วนใจของเคียงฟ้าจดจ่ออยู่กับมหิตาเทวี ต่างฝ่ายจึงพากันกลุ้มใจไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อคิดไม่ออกหญิงสาวจึงละความสนใจจากนางเทวีไปชั่วขณะแล้วเดินออกไปภายนอก  หล่อนเดินจนรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งลงที่ศาลาริมหนองน้ำในอุทยานหลวง


              “อาจารย์คะ...ฉันจะช่วยมหิตาได้ยังไง?” หล่อนรู้ว่านี่เป็นอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เคียงฟ้าไม่อาจทำใจเป็นผู้เฝ้าดูและวางเฉยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้  หล่อนรู้...อีกไม่นานมหิตาเทวีต้องก่อเรื่องร้ายขึ้นมาแน่ๆ บางที...นางอาจจะ...ทำในสิ่งที่พินทุมณีเทวีตรัสยุยงไว้ก็เป็นได้


              ‘…ทำใจ’ เสียงนั้นลอยลมมาแผ่วๆ จนหล่อนไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า จึงลองเรียกดูอีกครั้ง


              “อาจารย์คะ  ได้ยินเสียงฟ้าไหม?” เงียบ...ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หล่อนจึงได้แต่ถอนหายใจดังเฮือก


               ในขณะเดียวกันอีกห้วงของกาลเวลา ใครบางคนที่เคียงฟ้าเรียกหากำลังเฝ้ามองดูหล่อนผ่านกระจกเงาบานใหญ่  เงาที่สะท้อนกลับมานั้นหาใช่เงาเจ้าของร่างไม่  หากเป็นภาพของหญิงสาวที่ท่องอยู่ในอดีตกาล ภาพนั้นกระจ่างชัดไม่ต่างกับมองเห็นด้วยตาตนเอง


               “ขอให้เจ้าได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา จิตจะได้ไม่วนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์  ไม่นานหรอกเคียงฟ้าเอ๋ย เวลาแห่งการตัดสินใจจะมาถึง”


               เงาของผู้พูดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในกระจก หากแต่อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นแตกต่างจากรูปลักษณ์จริงที่สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีดำ  ร่างในกระจกเปลือยแผ่นอกกว้าง ทรงสังวาลย์เส้นใหญ่ และพาหุรัดทั้งสองพาหา  ผ้าภูษาเป็นสีขาวประกายทอง  ชายผ้าที่ยาวลงมาปิดชานุด้านหนึ่งปักตราดอกสีแดง ครู่ต่อมาทั้งเงาและร่างนั้นก็พลันหายไปจากหน้ากระจก  ในเงาไม่สะท้อนภาพแปลกปลอมอันใด นอกจากผนังด้านตรงกันข้ามกับกระจกเท่านั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




               “กุสุมาลย์ได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงทุ้มนุ่มลึกเรียกเรื่อยริน  


               เจ้าของนามไม่ต้องการพบหน้าวิทยาธรเทพ หากแต่ไม่อาจทนคลื่นที่รบเร้าจากเสียงก้องกังวานนั้นได้  ยิ่งทำนิ่งเฉยไม่ใส่ใจเสียงนั้นยิ่งเร่งเร้าจนมิติที่หญิงงามซ่อนเงาอยู่สั่นไหว  


               “กระไรกันนี่?”


                วิญญาณสาวเหลียวมองรอบกาย พบว่าบรรยากาศบีบคั้นจนมองไม่เห็นสิ่งใด  ทุกสรรพสิ่งค่อยกลืนหาย กุสุมาลย์หลับตานิ่งพยายามฝืนกายไว้  แต่ครู่เดียวที่หลับตาลงทุกอย่างก็คลายตัวลง ไม่มีเสียงเร่งเร้า ไม่มีสิ่งใดน่าหวาดหวั่นเช่นเมื่อครู่  นางจึงค่อยลืมตาขึ้นแล้วพบบุรุษที่แสนชังน้ำหน้ายืมยิ้มอยู่ข้างกาย


                 “ท่าน!!”


                 “เป็นเราเอง  ปล่อยให้เรียกอยู่เนิ่นนาน” กุสุมาลย์ถลึงตาใส่เจ้าของอำนาจที่นำนางมา


                 “มีธุระกระไร? ไฉนต้องบีบเค้นลากตัวเรามา”


                 “เราแค่ใคร่ขอเชิญแม่คุณมานั่งสนทนากัน”


                 “ข้าไม่มีเรื่องใดจะสนทนากับท่าน”


                 “อย่าเพิ่งตัดรอนสิ...ดูนี่ก่อนเป็นไร” หญิงงามจึงค่อยคลายสีหน้าบึ้งตึง  แล้วจึงพบว่าตนเองนั่งอยู่ในศาลาซึ่งปลูกสร้างอยู่ในสวนกว้างแห่งหนึ่ง


                 “ที่นี่?...” ลุกเดินออกจากศาลาแล้วเหลียวมองไปรอบกาย ทุกอย่างช่างคุ้นเคยดังเห็นมาจนเจนตา สวนอันกว้างใหญ่และงดงามด้วยพฤกษานานาพันธุ์นี้จะเป็นที่ใดไปมิได้  นอกจากอุทยานหลวงแห่งนครจุมภะ


                “ท่านพาข้ากลับมาที่นี่ทำไม?”


                “อยากให้แม่ช่วยสักหน่อย”


                “ช่วย?  ถ้าเป็นช่วยเหลือนางบาปนั่น ท่านอย่าหวัง” ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นมาทันที


                “มิใช่  เราใคร่จะซักถามแม่ ในฐานะพยานเสียหน่อย” อีกฝ่ายตอบ


                “พยาน?”


                “นางอยู่ที่นั่น”  กุสุมาลย์มองตามทิศที่บุรุษองอาจชี้มือไป  จึงพบเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งเดินชมสวนอยู่  มองดูก็รู้ว่าพวกนางเป็นนางกำนัล  ตรงกลางมีพินทุมณีเทวีเป็นเดือนเด่น


                “พระพี่นาง?” ผีสาวอุทาน ด้วยนึกไม่ถึง ในใจคิดไปว่าคนที่จะพบเป็นมหิตาเทวีแต่เมื่อไม่ใช่นางจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


                “ใช่...เป็นนาง  เราเรียกแม่มาด้วยเหตุว่า  นอกจากมหิตาเทวีแล้วแม่ยังเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหญิงนางนี้ด้วย” กุสุมาลย์เม้มริมฝีปากแน่น


               “แค้นนางหรือไม่  ประสงค์จะคิดบัญชีกับนางหรือไม่?  นางทำกรรมร่วมกับมหิตาล่อลวงแม่ให้เสียโฉม” มือเรียวนั้นกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ


               “หากข้ามิได้กระทำสิ่งใดกับนาง แม้แต่จองเวร  แล้วนางจะหลุดรอดจากกงกรรมหรือไม่”


               “ไม่!” เสียงนั้นตอบหนักแน่น “แม้เจ้ากรรมละเว้นให้ ไม่จองเวร แต่กรรมที่กระทำอย่างไรก็ต้องชดใช้  กงล้อกรรมมันเริ่มหมุนตั้งแต่นางกระทำผิดแล้ว”


               “หลังจากที่ข้าตาย นางกระทำสิ่งใดอีกหรือไม่”


               “อีกมาก...ก่อกรรมเลวเพิ่มจนทับถมตัวเอง”


              “นางจะได้รับโทษสถานใด?”


               “ก่อนจะพิจารณาโทษ จึงต้องเรียกแม่มาซักถามเสียก่อน” สายตานั้นจริงจังนักมิมีแววกรุ้มกริ่มหยอกล้อเหมือนอย่างเคย


               “วิมุตติไฉนวิทยเทพอย่างท่าน  จึงได้รับสิทธิ์ในการพิพากษ์กรรม”  หญิงงามเงยหน้าขึ้นสบตา ในแววตานั้นหามีความทุกข์ ความแค้น หรือความรักอันใด สิ่งที่ปรากฏออกมามีเพียงความฉงนฉงายเท่านั้น


               “เพราะกรรมของพินทุมณีเทวีเกี่ยวเนื่องกับเมือง  การล่มสลายของเมืองนางมีส่วนร่วม จึงถูกนับรวมเข้าไปคดีที่เราดูแลอยู่  ไม่เฉพาะภูวิษะเจ้าหรือมหิตาเท่านั้น”


              “พินทุมณีนางหญิงชั่ว!!...ข้าอุตส่าห์ไม่จองเวร  คิดว่าเจ้ามิมีเจตนาจะทำร้ายข้า  แต่นี่กลับ...เป็นถึงราชธิดาแท้ๆ ไฉนจึงทำให้เมืองของตนล่มสลายกัน  บรรพกษัตริย์ตลอดจนผีเมืองคงไม่ให้อภัยนาง”


              “หึ หึ” บุรุษข้างกายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน  ทำให้ผีสาวหันขวับกลับไปจ้องทันที


              “มีกระไรน่าขบขัน  เมืองทั้งเมืองล่มสลาย ผู้คนต้องตายมากมาย ครอบครัวแตกแยกกระสานเซ็นเช่นนี้ ท่านยังเห็นเป็นเรื่องน่าขันไปได้รึ?”


              “มิได้...แม่คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิด  ที่ข้าขบขันเป็นนางต่างหาก  แม่แค้นถึงเพียงนี้แต่ยังใช้เหตุและผลแยกแยะเจตนาที่ทำร้ายตนได้อีก  นี่สิ..จะว่าพิกลก็พิกลนัก  ทีมหิตาเทวีไฉนจึงจองแค้นนักหนา”


              “วิมุตติท่านมิใช่คนเขลา  ไม่จำเป็นต้องถามข้ากระมัง  เหตุผลนั้นท่านคงเข้าใจกระจ่างแจ้งดีอยู่แล้ว” หญิงงามจ้องหน้าด้วยสายตารวดร้าวนัก  บ่งบอกให้รู้ว่านางจริงจังกับสิ่งที่กล่าวมาเท่าใด


               “ขออภัยเถิด...เรามิใช่สัพพัญญู  แม้รู้ด้วยตาแต่ไม่อาจกระจ่างแจ้งด้วยใจ สู้ให้แม่แถลงไขเองดีกว่า”


               “ถือเป็นคำให้การใช่หรือไม่?”


               “จะว่าใช่ก็ใช่ จะไม่ก็ไม่  เราอยากรับฟังในฐานะสหาย”


               “สหาย? ข้ารึเคยเป็นสหายของท่าน” นารีแสนงามเดินปั้นปึ่งเลี่ยงไปนั่งห่างออกไป  ทำเอาสัตบุรุษยิ้มขำแล้วเดินตามไปทอดร่างลงนั่งเคียงนาง


              “หรือแม่อยากให้เรารับฟังในฐานะบุรุษที่ใคร่พึ่งพิงก็ย่อมได้ ” สิ้นคำกล่าวหน้านวลของกุสุมาลย์ก็ร้อนผะผ่าว


              “ท่าน...ข้าจะไม่พูดกับท่านแล้วนะ  หากยังเกี้ยวพาราสีอีก” ดวงตาคู่งามค้อนขวัก


             “มิได้เกี้ยว  หากอยากให้นางพึ่งพาโดยสัตย์จริง  จงเชื่อในวิทยฐานะของเราเถิด” กึ่งเทพรูปทองสำทับถึงภาระหน้าที่แห่งตน


             “ถ้าอย่างนั้นท่านอยากจะถามกระไรก็เชิญเถิด”


             “ต้องการให้เคียงฟ้ากระทำสิ่งใดเพื่อแม่ได้บ้าง  ความทุกข์ความแค้นจะได้ทุเลาลง” หญิงงามเงียบไปเนิ่นนาน นัยน์ตาเลื่อนลอยอยู่ในภวังค์แห่งตน


              “นาง...ไม่อาจทำสิ่งใดได้ดอก  สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขมิได้  เอาชีวิตเราคืนมามิได้”


             “แม่ต้องการมีชีวิตอีกครั้ง?” วิมุตติขยับปากจะกล่าวว่าหากปล่อยวางก็สามารถไปสู่ภพภูมิอื่นได้  แต่ยั้งไว้มิทันได้พูดเมื่อเห็นนางกำลังจะเอื้อนเอ่ยขึ้นมา


             “ไม่...แต่ข้ากำลังรอ”


             “รอสิ่งใด?”


             “บางทีอาจจะรอการมาของท่าน  รอให้ทุกสิ่งยุติลงจริงๆ เสียที”


             “ความจริงแล้วแม่ยุติทุกสิ่งลงได้ด้วยตัวเอง มิต้องรอให้เราหรือใครมาปัดเป่าให้ก็ย่อมได้”


              “มิได้”


              “ไฉนเล่า?”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่