ยิ่งนับวัน ผมยิ่งมั่นใจผมเลือกข้างถูกครับ

กระทู้สนทนา
ตอนแรกที่เลือกมาอยู่ข้างคนเสื้อแดง เพียงเพราะเห็นคุณทักษิณถูกกระทำด้วยความไม่เป็นธรรม ต่อมาก็ได้เห็นถึงการกระทำต่างๆที่เป็นไปอย่างหลายมาตรฐาน แต่ทุกการกระทำล้วนพุ่งเป้ามาเพื่อเอาผิดคุณทักษิณให้ได้ ลามไปถึงญาติสนิทมิตรสหายของคุณทักษิณด้วย ทำให้ผมรู้สึกถึงความผิดปกติของสังคมไทยมากยิ่งขึ้น จนเชื่อว่าน่าจะมีอำนาจนอกระบบที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ คอยกำกับดูแลประเทศ ดังที่คุณทักษิณเคยพูดไว้ก่อนถูกโค่นอำนาจลง นั่นคือ ผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่จริง

ผมจึงเริ่มรู้แล้วว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ จึงเป็นเพียงระบอบอำมาตย์ที่คลุมไว้ด้วยเสื้อคลุมประชาธิปไตย อำนาจที่แท้จริงยังคงไม่ใช่เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ดังนั้นจากความต้องการคืนความยุติธรรมให้กับคุณทักษิณกับครอบครัว จึงกลายมาเป็นการความต้องการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นประชาธิปไตยแบบสากลที่ทั่วโลกเขาใช้กันอยู่

เพียงแต่ช่วงแรกๆ ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก ยิ่งมีหลายฝ่ายมาพูดถึงความเป็นคนไร้คุณภาพ เป็นพวกไร้การศึกษา ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง เผด็จการรัฐสภา หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่น่าเคารพออกมาพูดถึง ประเทศไทยยังยากจนอยู่ จึงยังไม่เป็นประชาธิปไตย ผมฟังมากๆเข้า เริ่มไขว้เขว เริ่มลังเล ผมมั่นใจว่าที่ผมเข้าใจถูกมาตลอดนั้น ตกลงแล้วมันเป็นความเข้าใจถูกจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น

แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณชุมพลพูดถึงเรื่องอำนาจที่ยากปฏิเสธ ทำให้จำเป็นต้องเข้าร่วมกับเสียงข้างน้อยจัดตั้งรัฐบาล
แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณวาสนาพูดถึงเรื่องตายเมื่อไหร่ จะออกหนังสือพูดในสิ่งที่ไม่กล้าพูดตอนมีชีวิตอยู่
แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณสนธิพูดถึงเรื่องที่ “ถึงตายก็พูดไม่ได้”
แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณวสันต์พูดถึงเรื่องปลดนายกฯสมัคร ทำกันอย่างสุกเอาเผากิน
แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณวสันต์พูดถึงเรื่องการยุบพรรคนั้น เป็นการยุบไปตามสถานการณ์ในตอนนั้น
แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณอภิชาตพูดถึงความเป็นอดีตผู้พิพากษา ยุติคดียุบพรรค ทั้งๆที่ได้ผ่านการสอบสวนและมีมติให้ยุบพรรคจากอนุกรรมการด้วยมติ 3 ต่อ 2 เสียง
แต่เมื่อ ผมได้ยินคุณสดศรีพูดถึงเรื่องมาตรา 309 เป็นมาตราที่แปลกประหลาด แต่ก็มีหลายฝ่ายไม่ยอมให้แก้มาตรานี้
แต่เมื่อ ผมได้เห็น กสม.ให้ความกระตือรือร้นกับฝ่ายหนึ่ง แต่กับอีกฝ่ายกลับเงียบเฉยเหมือนไม่มีตัวตน

และเมื่อผมได้เห็น คลิปทนายจำเลยคุยกับเลขาฯ ตลก.
เมื่อผมได้เห็น คลิปพยายามจะช่วยให้พรรคหนึ่งรอดจากการยุบพรรค
เมื่อผมได้เห็น การตีความกฎหมายตามพจนานุกรม
เมื่อผมได้เห็น การแปลความหมายของคำว่า “และ”กับ “หรือ” เป็นความหมายเดียวกันตามรัฐธรรมนูญฉบับอังกฤษ
เมื่อผมได้เห็น การเลื่อนฟ้องถึง 18 ครั้งของแกนนำพันธมิตรฯ
เมื่อผมได้เห็น การตักเตือนแกนนำอีกฝ่ายที่ผิดเงื่อนไขการประกันตัว
เมื่อผมได้เห็น มีการใช้ผังล้มเจ้ากำมะลอในการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
เมื่อผมได้เห็น การชุมนุมของม็อบกู้ชาติที่สนามหลวงที่ได้รับความสะดวกจาก กทม. ในขณะที่ชาวบ้านธรรมดาอาจถูกปรับหรือจำ
เมื่อผมได้เห็น อพส.ของเสธ.อ้ายต้องการหยุดประเทศ แช่แข็งนักการเมือง
เมื่อผมได้เห็น กองทัพประชาชนที่ต้องการขับไล่รัฐบาลจากการเลือกตั้ง
เมื่อผมได้เห็น กลุ่มหน้ากากขาวต้องการล้มล้างระบอบทักษิณ
เมื่อผมได้เห็น พรรคการเมืองที่เคยได้ดิบได้ดีจากการทำรัฐประหาร ออกมาเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภา หวังสร้างความวุ่นวาย เพื่อสร้างเงื่อนไขให้กองทัพออกมายึดอำนาจอีกครั้ง

สิ่งที่ผมได้เห็นและสิ่งที่ผมได้ยินตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นแนวทางเดียวที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลของประชาชน เป็นกลุ่มเดิมๆที่เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อปี 49 จนถึงบัดนี้ก็ยังคงต้องการอาศัยอำนาจนอกระบบเข้ามาจัดการกับอำนาจของประชาชน ทำให้ผมเริ่มมั่นใจกับจุดยืนของตัวเองมากยิ่งขึ้น

ยิ่งได้ฟังการไต่สวนจากศาล หลายศพจากการสลายการชุมนุม ล้วนเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ยิ่งได้ฟังการไต่สวนจากศาล หลายห้างไม่ได้เกิดจากการเผาของคนเสื้อแดง
ยิ่งได้ฟังการไต่สวนจากศาล การเผาเกิดขึ้นหลังจากสลายการชุมนุม ดังนั้นการปลุกเร้าของแกนนำเรื่องการเผา จึงเป็นเพียงการป้องปรามไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
ยิ่งได้ฟังการไต่สวนจากศาล เป็นการจลาจลธรรมดา ไม่ใช่การก่อการร้ายอย่างที่ถูกใส่ร้ายกันมาตลอด
ยิ่งได้ฟังการไต่สวนจากศาล 6 ศพที่วัดปทุม ล้วนเกิดจากกระสุนปืนของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ไม่มีเขม่าดินปืนในมือศพ ไม่มีชายชุดดำและอาวุธสงครามที่ยึดได้ภายหลังนั้น ล้วนมาจากการจัดฉาก
ยิ่งได้ฟังศาลอุทธรณ์ยกฟ้องมือยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม เพราะโจทย์ให้การขัดแย้ง

สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันเข้า ทำให้ภาพยิ่งแจ่มชัดยิ่งขึ้น มันเป็นเพียงการช่วงชิงอำนาจของสองฝ่าย
เพียงแต่อีกฝ่ายมาตามกติกา แต่อีกฝ่ายพยายามจะใช้วิธีการนอกกติกา
เพียงแต่อีกฝ่ายมาด้วยอำนาจประชาชน แต่อีกฝ่ายโหยหาอำนาจจากนอกระบบ
เพียงแต่อีกฝ่ายพยายามจะขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้า แต่อีกฝ่ายกลับพยายามอนุรักษ์ประเทศให้ล้าหลัง
เพียงแต่อีกฝ่ายจะทำการใดๆก็ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว แต่อีกฝ่ายจะทำอะไรก็ไม่เคยผิด

ดังนั้น ฝ่ายประชาชนจึงจำเป็นต้องทำงานเพื่อประชาชน เพื่อใช้ประชาชนเป็นเกราะกำบัง แต่อีกฝ่ายเมื่อไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน จึงทำได้อย่างเดียวคือการเอาใจกลุ่มอำมาตย์

เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศจึงต้องวนอยู่กับความขัดแย้ง จะเดินหน้าก็ไม่ได้ นอกเสียจากต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดพ่ายแพ้อย่างราบคาบเท่านั้นเอง และถึงวันนี้ ท่ามกลางความพยายามจุดไฟเผารัฐบาลในทุกวิถีทาง ก็ล้วนแต่กลายเป็นฟืนเปียกไปหมด

ดังนั้นเมื่อถึงตอนนี้ ผมยิ่งมั่นใจว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเลือกข้างถูกมาตลอด นั่นคือการเลือกอยู่ข้างเดียวกับประชาชนไงล่ะครับ และมีแต่ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศเท่านั้นจะนำพาประเทศให้เดินหน้าทัดเทียมนานาประเทศได้ตามวิถีทางของประชาธิปไตย นอกเหนือจากนี้แล้ว มันไม่ใช่ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่