ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทในเครือ ปตท. เป็นตัวการทำให้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นใกล้ชายฝั่งมาบตาพุด จ.ระยอง ในขณะนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคม 2555 น้ำมันดิบหลายพันบาร์เรลจากแท่นขุดเจาะเวสต์ แอตลาส ของบริษัท พีทีทีอีพี ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.ส.ผ. ของไทย เกิดรั่วไหลทะลักลงสู่แปลงขุดเจาะน้ำมันดิบมอนทาราในทะเลติมอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เป็นเวลานานเกือบ 10 สัปดาห์ ทำให้เกิดคราบน้ำมันลอยเป็นแพกินพื้นที่เกือบ 90,000 ตารางกิโลเมตร หนำซ้ำ คราบน้ำมันส่วนหนึ่งยังลอยถึงน่านน้ำของอินโดนีเซีย ทำให้ ปตท. ต้องจ่ายค่าชดเชยมูลค่ามหาศาลให้กับออสเตรเลียและอินโดนีเซียรวมแล้วร่วมแสนล้านบาท รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการกำจัดคราบน้ำมันในทะเลด้วย
10 เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบด้วย
1. ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อปี 2534
เกิดเหตุน้ำมันดิบของคูเวตมากถึง 240-336 ล้านแกลลอน รั่วไหลไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซียครอบคลุมพื้นที่ใหญ่กว่าเกาะฮาวายเสียอีก ไม่นับรวมน้ำมันในบ่อน้ำมันที่ถูกเผาไปอีกราว 1-1.5 พันล้านบาร์เรล สาเหตุมาจากทหารอิรักที่ยาตราทัพบุกยึดคูเวตได้เปิดวาล์วบ่อน้ำมัน 600 บ่อ และท่อส่งน้ำมันระหว่างถอนทหารออกจากคูเวตเพื่อขัดขวางทหารอเมริกันไม่ให้ตีโต้เร็วเกินไปนัก กว่าจะดับไฟที่ลุกโชนเหนือบ่อน้ำมันได้ต้องใช้เวลานานถึง 10 เดือน
ในส่วนของการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้น กองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ได้ใช้ระเบิดสมาร์ทบอม์หยุดยั้งการรั่วไหลของน้ำมันจากท่อส่งน้ำมัน แต่การฟื้นฟูต้องชะลอออกไปชั่วขณะ จนกระทั่งสงครามยุติลงแล้ว ระหว่างนั้นได้วางทุ่นกักน้ำมัน (boom) เพื่อดักจับคราบน้ำมันซึ่งเกิดไฟลุกโชนกลางอ่าวเปอร์เซียเป็นวงกว้างขนาด 25 ไมล์ รวมทั้งใช้อุปกรณ์สกิมเมอร์ (skimmer) 21 ตัว เพื่อนำคราบน้ำมันไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ และยังใช้รถบรรทุกดูดคราบน้ำมันไปทิ้งด้วย ทั้งหมดนี้สามารถกำจัดคราบน้ำมันได้ราว 58.8 ล้านแกลลอน
จากรายงานของยูเนสโกระบุว่า เหตุน้ำมันรั่วไหลที่อ่าวเปอร์เซียในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการประมงท้องถิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รายงานนี้สรุปด้วยว่าราวครึ่งหนึ่งของคราบน้ำมันได้ระเหยกลายเป็นไอ อีกราวหนึ่งในแปดได้รับการชำระล้าง อีกหนึ่งในสี่ซัดเข้าชายฝั่งของซาอุดีอาระเบีย
2. แท่นขุดเจาะน้ำมัน “ดีพวอเทอร์ ฮอไรซอน” กลางอ่าวเม็กซิโก นอกชายฝั่งสหรัฐฯ ของบริษัท “บริติช ปริโตเลียม” หรือ “บีพี” บริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของอังกฤษ
ได้เกิดระเบิดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2553 ขณะคนงานกำลังขุดเจาะน้ำมันที่ระดับความลึก 1,500 เมตร เป็นเหตุให้คนงานเสียชีวิตทันที 11 ราย บาดเจ็บ 17 ราย ขณะเดียวกัน ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโกมาก ถึง 4.9 ล้านบาร์เรล กว่าจะสามารถอุดท่อขุดเจาะที่รั่วออกมาได้ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์การรั่วไหลของน้ำมันดิบครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ชายฝั่งของสหรัฐฯ ปนเปื้อนด้วยคราบน้ำมันดิบเป็นแนวยาว 1,728 กม. สร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศและอุตสาหกรรมประมงอย่างประเมินค่าไม่ได้ ทั้งปะการังและสัตว์ทะเลอย่างเต่าและนกหายากตายไปอย่างน้อย 8,000 ตัว และจนถึงขณะนี้ บริเวณแนวชายฝั่งรัฐเท็กซัส ลุยเซียนา มิสซิสซิปปี อลาบามา และฟลอริดา ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาคราบน้ำมันตกค้างมาอยู่
บริษัทบีพีอ้างว่าได้ใช้เวลานาน 87 วัน ทำความสะอาดคราบน้ำมันทั้งหมดรวมทั้งกู้แท่นขุดเจาะที่จมใต้ทะเลด้วย โดยการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้น สิ่งแรกที่บริษัทบีพีเร่งดำเนินการก็คือการปิดรอยรั่วของบ่อน้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะแล้วเสร็จ ระหว่างนั้น ก็มีการโปรยสารกระจาย (dispersant) อันเป็นสารเร่งจำกัดการแพร่กระจายของคราบน้ำมัน และกำจัดคราบน้ำมันบนผิวน้ำด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เรือตักคราบน้ำมัน การใช้ทุ่นลอยความยาวกว่า 5 ล้าน 5 แสนฟุตเพื่อดักจับและซับคราบน้ำมัน การใช้สารเคมีดูดซับน้ำมันโปรยลงผิวน้ำ หรือแม้แต่การเผาเพื่อกำจัดน้ำมัน ซึ่งยิ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการขุดคุ้ยของสื่อตะวันตกพบว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่ราคาคุยของบริษัทบีพี เพราะจนถึงขณะนี้ การกำจัดคราบน้ำมินดิบยังไม่แล้วเสร็จ
3. น้ำมันดิบทะลักจากบ่อน้ำมันอิกซ์ทอก-1 อ่าวกัมพาเช ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 2522
สาเหตุมาจากแท่นขุดเจาะเซดโค 135 เอฟ ของบริษัทน้ำมันเปเม็กซ์ของเม็กซิโกเกิดระเบิด ระหว่างขุดเจาะน้ำมันที่ความลึกใต้ทะเล 3600 เมตร ทำให้มีน้ำมันดิบรั่วไหลออกมาราววันละ 10,000-30,000 บาร์เรล และตลอดช่วง 10 เดือนหลังจากนั้น มีน้ำมันดิบราว 140 ล้านแกลลอน รั่วไหลไปยังอ่าวเม็กซิโก ทำให้พื้นที่ชายฝั่งจากรัฐเทกซัสไปจนถึงในเมกซิโกปนเปื้อนน้ำมันดิบเป็นคราบยาวถึง 261 กม.
สำหรับการทำความสะอาดคราบน้ำมัน เพื่อจะชะลอการรั่วไหลของน้ำมันดิบจากบ่อน้ำมันที่ได้รับความเสียหาย ตอนแรกมีการใช้โคลน แท่งเหล็กกล้า ลูกบอลเหล็ก และตะกั่ว หย่อนลงไปในบ่อน้ำมัน จากรายงานของเปเม็กซ์หรือการปิโตรเลียมเม็กซิโกเปิดเผยว่า ราวครึ่งหนึ่งของน้ำมันได้เกิดลุกไหม้ขณะทะลักขึ้นมาสู่ผิวน้ำ อีกหนึ่งในสามระเหยกลายเป็นไอ เปเม็กซ์ยังได้ว่าจ้างบริษัทหนึ่งให้โปรยและฉีดพ่นสารกระจาย ซึ่งเป็นสารเพิ่มการกระจายตัวของน้ำมัน อันจะช่วยให้จัดการน้ำมันดิบได้ง่ายขึ้น ด้วยวิธีนี้ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากคราบน้ำมันที่ไหลเข้าฝั่ง
นอกจากนี้ยังได้วางทุ่นกักน้ำมัน เพื่อดักจับคราบน้ำมัน และอุปกรณ์สกิมเมอร์ เพื่อเก็บคราบน้ำมัน จะได้ปกป้องอ่าวและลากูนของเกาะปะการังที่อยู่รายรอบ กระนั้น ระบบนิเวศและสัตว์ทะเลก็ได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย ปริมาณของปลาและและปลาหมึกลดลงไปถึง 50-70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปูในพื้นที่เกือบจะสูญพันธ์ุจากมหาพิบัติภัยครั้งนี้
4. เรือบรรทุกน้ำมันแอตแลนติก เอมเพรส
เกิดชนกับเรือบรรทุกน้ำมันอีกลำหนึ่งนอกชายฝั่งของตรินิแดดและโทเบโก บริเวณหมู่เกาะเวสต์ อินดีส์ เมื่อกลางปี 2522 ระหว่างเกิดพายุใหญ่พัดถล่มทะเลแคริบเบียน ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลมากเป็นประวัติการณ์ถึง 88.3 ล้านตัน หลังจากนั้นเรือบรรทุกน้ำมันแอตแลนติก เอมเพรส ได้เกิดไฟไหม้จนจมสู่ใต้ท้องทะเล มีลูกเรือเสียชีวิต 26 คน ขณะที่คราบน้ำมันเกือบ 90 ล้านตัน ลอยอยู่กลางทะเล
การทำความสะอาดคราบน้ำมันซึ่งเกิดเพลิงลุกไหม้ด้วยนั้น ใช้การโปรยสารกระจายเพื่อให้กำจัดน้ำมันได้ง่ายขึ้น โชคดีที่บริเวณชายฝั่งได้รับผลประทบน้อยมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้
5. เกิดเหตุน้ำมันดิบที่บ่อน้ำมันแห่งหนึ่งในหุบเขาเฟอร์กานา
หนึ่งในแหล่งขุดเจาะและกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดของในอุซเบกิซสถาน ได้รั่วไหลเมื่อปี 2535 คิดเป็นปริมาณากถึง 87.7 ล้านตัน ถือเป็นการรั่วไหลของน้ำมันดิบบนผิวดินครั้งร้ายแรงที่สุด แต่ก็สร้างความเสียหายน้อยมาก เนื่องจากน้ำมันจะซึมสู่่พื้นดิน ทำให้ไม่ต้องลงแรงในการทำความสะอาดคราบน้ำมันเหล่านั้น
6. ระหว่างที่เกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน เรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งได้เกิดอุบัติเหตุชนแท่นขุดเจาะน้ำมันโนวรุซกลางอ่าวเปอร์เซียจนล้มเมื่อปี 2526
ทำให้น้ำมันดิบราว 80 ล้านแกลลอน ซึมจากใต้ทะเลสู่ผิวน้ำวันละประมาณ 1,500 บาร์เรล แต่เนื่องจากอยู่ในช่วงสงคราม กว่าจะซ่อมแซมแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ต้องใช้เวลานานถึง 7 เดือน
ในส่วนของการทำความสะอาดคราบน้ำมันดิบ บริษัทนอร์ปอลของนอร์เวย์ใช้วิธีระเบิดและใช้อุปกรณ์สกิมเมอร์เพื่อเก็บคราบน้ำมันไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ
7. ระหว่างที่เรือบรรทุกน้ำมันเอบีที ซัมเมอร์
ที่บรรทุกน้ำมันเต็มลำเรือกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองรอตเทอร์ดาม ในเนเธอร์แลนด์ ได้เกิดระเบิดระหว่างแล่นห่างจากชายฝั่งอังโกลา 900 ไมล์ เมื่อปี 2534 ทำให้น้ำมันดิบทั้งลำเรือราว 80 ล้านแกลลอน ไหลลงสู่ทะเลกินบริเวณกว้างถึง 80 ตารางไมล์ ก่อนที่เรือจะระเบิดครั้งสุดท้ายก่อนจมลงสู่ทะเลลึกในอีก 3 วันให้หลัง
ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามีน้ำมันไหลลงสู่ทะเลหรือถูกเผาไหม้จำนวนเท่าใด โชคดีที่เกิดห่างจากชายฝั่งมาก ประกอบกับเกิดคลื่นลมแรงทำให้น้ำมันถูกพัดกระจัดกระจาย จนแทบไม่ส่งผลต่อระบบนิเวศ
8. เรือบรรทุกน้ำมันคาสติลโย เดอ เบลล์เวอร์
ซึ่งบรรทุกน้ำมันถึง 78.5 ล้านแกลลอน เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้นอกอ่าวซัลดานฮา ในแอฟริกาใต้ เมื่อปี 2521 แต่ก็ถูกปล่อยให้ลอยเท้งเต้งนอกชายฝั่งกระทั่งหักเป็นสองท่อนแล้วจมสู่ใต้ท้องทะเลลึกพร้อมน้ำมันที่เหลืออีกราว 110,000 ตัน จึงแทบไม่ส่งผลกระทบต่อนิเวศ ส่วนการทำความสะอาดนั้นใช้วิธีโปรยสารกระจายเพื่อช่วยให้จัดการน้ำมันได้ง่ายขึ้น
9. เรือบรรทุกน้ำมันขนาดยักษ์ อาโมโค คาดิซ ของบริษัทอาโมโค
เกิดอุบัติเหตุชนกับหินโสโครกท่ามกลางพายุร้ายและทะเลคลั่ง ห่างจากฝั่งแคว้นบริตตานี ประเทศฝรั่งเศส ราว 5 กม. เมื่อกลางเดือน มี.ค. 2521 ระหว่างบรรทุกน้ำมันจำนวน 1.6 ล้านบาร์เรล จาก ซาอุดีอาระเบีย มุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ ทำให้ตัวเรือหักเป็นสองท่อน น้ำมันดิบจำนวน 1.6 ล้านบาร์เรล รั่วไหลสู่ทะเล สร้างความเสียหายให้กับชายฝั่งฝรั่งเศสเป็นวงกว้าง การทำความสะอาดคราบน้ำมันประสบความล้มเหลวเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายและคลื่นลมรุนแรง การโปรยสารกระจายช่วยให้จัดการน้ำมันได้ง่ายขึ้นไม่ถึง 3,300 ตัน ด้วยซ้ำไป นับเป็นภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดของประเทศฝรั่งเศส ทำลายอุตสาหกรรมประมงและการเลี้ยงหอยออสเตอร์ในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง
10. เรือบรรทุกน้ำมันโอเดสซีย์ของไลบีเรีย
ซึ่งบรรทุกน้ำมันจากทะเลเหนือจนเต็มลำ เกิดอุบัติเหตุเรือหักกลางลำก่อนจะจมสู่ใต้ทะเลเมื่อปี 2521 ห่างจากชายฝั่งโนวาสโกเทีย ประเทศแคนาดา ราว 700 ไมล์ทะเล มีน้ำมันดิบรั่วไหลราว 43 ล้านแกลลอน แต่เนื่องจากอยู่ห่างจากชายฝั่งมาก คราบน้ำมันจึงพัดกระจัดกระจายโดยไม่ต้องมีปฏิบัติการเก็บกวาดคราบน้ำมันแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี สำนักรวบรวมสถิติโลกบางสำนักได้รวมเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหาอุบัติภัยจากน้ำมันดิบรั่วไหลที่คนจดจำไม่มีวันลืมประกอบด้วย (อ่านต่อ)
http://ppantip.com/topic/30795799
-----
credit : stock2morrow
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=47858&p=323812&posted=1#post323812
10 เหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งใหญ่สุดทั่วโลก
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทในเครือ ปตท. เป็นตัวการทำให้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นใกล้ชายฝั่งมาบตาพุด จ.ระยอง ในขณะนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคม 2555 น้ำมันดิบหลายพันบาร์เรลจากแท่นขุดเจาะเวสต์ แอตลาส ของบริษัท พีทีทีอีพี ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.ส.ผ. ของไทย เกิดรั่วไหลทะลักลงสู่แปลงขุดเจาะน้ำมันดิบมอนทาราในทะเลติมอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เป็นเวลานานเกือบ 10 สัปดาห์ ทำให้เกิดคราบน้ำมันลอยเป็นแพกินพื้นที่เกือบ 90,000 ตารางกิโลเมตร หนำซ้ำ คราบน้ำมันส่วนหนึ่งยังลอยถึงน่านน้ำของอินโดนีเซีย ทำให้ ปตท. ต้องจ่ายค่าชดเชยมูลค่ามหาศาลให้กับออสเตรเลียและอินโดนีเซียรวมแล้วร่วมแสนล้านบาท รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการกำจัดคราบน้ำมันในทะเลด้วย
10 เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบด้วย
1. ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อปี 2534
เกิดเหตุน้ำมันดิบของคูเวตมากถึง 240-336 ล้านแกลลอน รั่วไหลไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซียครอบคลุมพื้นที่ใหญ่กว่าเกาะฮาวายเสียอีก ไม่นับรวมน้ำมันในบ่อน้ำมันที่ถูกเผาไปอีกราว 1-1.5 พันล้านบาร์เรล สาเหตุมาจากทหารอิรักที่ยาตราทัพบุกยึดคูเวตได้เปิดวาล์วบ่อน้ำมัน 600 บ่อ และท่อส่งน้ำมันระหว่างถอนทหารออกจากคูเวตเพื่อขัดขวางทหารอเมริกันไม่ให้ตีโต้เร็วเกินไปนัก กว่าจะดับไฟที่ลุกโชนเหนือบ่อน้ำมันได้ต้องใช้เวลานานถึง 10 เดือน
ในส่วนของการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้น กองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ได้ใช้ระเบิดสมาร์ทบอม์หยุดยั้งการรั่วไหลของน้ำมันจากท่อส่งน้ำมัน แต่การฟื้นฟูต้องชะลอออกไปชั่วขณะ จนกระทั่งสงครามยุติลงแล้ว ระหว่างนั้นได้วางทุ่นกักน้ำมัน (boom) เพื่อดักจับคราบน้ำมันซึ่งเกิดไฟลุกโชนกลางอ่าวเปอร์เซียเป็นวงกว้างขนาด 25 ไมล์ รวมทั้งใช้อุปกรณ์สกิมเมอร์ (skimmer) 21 ตัว เพื่อนำคราบน้ำมันไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ และยังใช้รถบรรทุกดูดคราบน้ำมันไปทิ้งด้วย ทั้งหมดนี้สามารถกำจัดคราบน้ำมันได้ราว 58.8 ล้านแกลลอน
จากรายงานของยูเนสโกระบุว่า เหตุน้ำมันรั่วไหลที่อ่าวเปอร์เซียในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการประมงท้องถิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รายงานนี้สรุปด้วยว่าราวครึ่งหนึ่งของคราบน้ำมันได้ระเหยกลายเป็นไอ อีกราวหนึ่งในแปดได้รับการชำระล้าง อีกหนึ่งในสี่ซัดเข้าชายฝั่งของซาอุดีอาระเบีย
2. แท่นขุดเจาะน้ำมัน “ดีพวอเทอร์ ฮอไรซอน” กลางอ่าวเม็กซิโก นอกชายฝั่งสหรัฐฯ ของบริษัท “บริติช ปริโตเลียม” หรือ “บีพี” บริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของอังกฤษ
ได้เกิดระเบิดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2553 ขณะคนงานกำลังขุดเจาะน้ำมันที่ระดับความลึก 1,500 เมตร เป็นเหตุให้คนงานเสียชีวิตทันที 11 ราย บาดเจ็บ 17 ราย ขณะเดียวกัน ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโกมาก ถึง 4.9 ล้านบาร์เรล กว่าจะสามารถอุดท่อขุดเจาะที่รั่วออกมาได้ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์การรั่วไหลของน้ำมันดิบครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ชายฝั่งของสหรัฐฯ ปนเปื้อนด้วยคราบน้ำมันดิบเป็นแนวยาว 1,728 กม. สร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศและอุตสาหกรรมประมงอย่างประเมินค่าไม่ได้ ทั้งปะการังและสัตว์ทะเลอย่างเต่าและนกหายากตายไปอย่างน้อย 8,000 ตัว และจนถึงขณะนี้ บริเวณแนวชายฝั่งรัฐเท็กซัส ลุยเซียนา มิสซิสซิปปี อลาบามา และฟลอริดา ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาคราบน้ำมันตกค้างมาอยู่
บริษัทบีพีอ้างว่าได้ใช้เวลานาน 87 วัน ทำความสะอาดคราบน้ำมันทั้งหมดรวมทั้งกู้แท่นขุดเจาะที่จมใต้ทะเลด้วย โดยการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้น สิ่งแรกที่บริษัทบีพีเร่งดำเนินการก็คือการปิดรอยรั่วของบ่อน้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะแล้วเสร็จ ระหว่างนั้น ก็มีการโปรยสารกระจาย (dispersant) อันเป็นสารเร่งจำกัดการแพร่กระจายของคราบน้ำมัน และกำจัดคราบน้ำมันบนผิวน้ำด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เรือตักคราบน้ำมัน การใช้ทุ่นลอยความยาวกว่า 5 ล้าน 5 แสนฟุตเพื่อดักจับและซับคราบน้ำมัน การใช้สารเคมีดูดซับน้ำมันโปรยลงผิวน้ำ หรือแม้แต่การเผาเพื่อกำจัดน้ำมัน ซึ่งยิ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการขุดคุ้ยของสื่อตะวันตกพบว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่ราคาคุยของบริษัทบีพี เพราะจนถึงขณะนี้ การกำจัดคราบน้ำมินดิบยังไม่แล้วเสร็จ
3. น้ำมันดิบทะลักจากบ่อน้ำมันอิกซ์ทอก-1 อ่าวกัมพาเช ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 2522
สาเหตุมาจากแท่นขุดเจาะเซดโค 135 เอฟ ของบริษัทน้ำมันเปเม็กซ์ของเม็กซิโกเกิดระเบิด ระหว่างขุดเจาะน้ำมันที่ความลึกใต้ทะเล 3600 เมตร ทำให้มีน้ำมันดิบรั่วไหลออกมาราววันละ 10,000-30,000 บาร์เรล และตลอดช่วง 10 เดือนหลังจากนั้น มีน้ำมันดิบราว 140 ล้านแกลลอน รั่วไหลไปยังอ่าวเม็กซิโก ทำให้พื้นที่ชายฝั่งจากรัฐเทกซัสไปจนถึงในเมกซิโกปนเปื้อนน้ำมันดิบเป็นคราบยาวถึง 261 กม.
สำหรับการทำความสะอาดคราบน้ำมัน เพื่อจะชะลอการรั่วไหลของน้ำมันดิบจากบ่อน้ำมันที่ได้รับความเสียหาย ตอนแรกมีการใช้โคลน แท่งเหล็กกล้า ลูกบอลเหล็ก และตะกั่ว หย่อนลงไปในบ่อน้ำมัน จากรายงานของเปเม็กซ์หรือการปิโตรเลียมเม็กซิโกเปิดเผยว่า ราวครึ่งหนึ่งของน้ำมันได้เกิดลุกไหม้ขณะทะลักขึ้นมาสู่ผิวน้ำ อีกหนึ่งในสามระเหยกลายเป็นไอ เปเม็กซ์ยังได้ว่าจ้างบริษัทหนึ่งให้โปรยและฉีดพ่นสารกระจาย ซึ่งเป็นสารเพิ่มการกระจายตัวของน้ำมัน อันจะช่วยให้จัดการน้ำมันดิบได้ง่ายขึ้น ด้วยวิธีนี้ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากคราบน้ำมันที่ไหลเข้าฝั่ง
นอกจากนี้ยังได้วางทุ่นกักน้ำมัน เพื่อดักจับคราบน้ำมัน และอุปกรณ์สกิมเมอร์ เพื่อเก็บคราบน้ำมัน จะได้ปกป้องอ่าวและลากูนของเกาะปะการังที่อยู่รายรอบ กระนั้น ระบบนิเวศและสัตว์ทะเลก็ได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย ปริมาณของปลาและและปลาหมึกลดลงไปถึง 50-70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปูในพื้นที่เกือบจะสูญพันธ์ุจากมหาพิบัติภัยครั้งนี้
4. เรือบรรทุกน้ำมันแอตแลนติก เอมเพรส
เกิดชนกับเรือบรรทุกน้ำมันอีกลำหนึ่งนอกชายฝั่งของตรินิแดดและโทเบโก บริเวณหมู่เกาะเวสต์ อินดีส์ เมื่อกลางปี 2522 ระหว่างเกิดพายุใหญ่พัดถล่มทะเลแคริบเบียน ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลมากเป็นประวัติการณ์ถึง 88.3 ล้านตัน หลังจากนั้นเรือบรรทุกน้ำมันแอตแลนติก เอมเพรส ได้เกิดไฟไหม้จนจมสู่ใต้ท้องทะเล มีลูกเรือเสียชีวิต 26 คน ขณะที่คราบน้ำมันเกือบ 90 ล้านตัน ลอยอยู่กลางทะเล
การทำความสะอาดคราบน้ำมันซึ่งเกิดเพลิงลุกไหม้ด้วยนั้น ใช้การโปรยสารกระจายเพื่อให้กำจัดน้ำมันได้ง่ายขึ้น โชคดีที่บริเวณชายฝั่งได้รับผลประทบน้อยมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้
5. เกิดเหตุน้ำมันดิบที่บ่อน้ำมันแห่งหนึ่งในหุบเขาเฟอร์กานา
หนึ่งในแหล่งขุดเจาะและกลั่นน้ำมันใหญ่ที่สุดของในอุซเบกิซสถาน ได้รั่วไหลเมื่อปี 2535 คิดเป็นปริมาณากถึง 87.7 ล้านตัน ถือเป็นการรั่วไหลของน้ำมันดิบบนผิวดินครั้งร้ายแรงที่สุด แต่ก็สร้างความเสียหายน้อยมาก เนื่องจากน้ำมันจะซึมสู่่พื้นดิน ทำให้ไม่ต้องลงแรงในการทำความสะอาดคราบน้ำมันเหล่านั้น
6. ระหว่างที่เกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน เรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งได้เกิดอุบัติเหตุชนแท่นขุดเจาะน้ำมันโนวรุซกลางอ่าวเปอร์เซียจนล้มเมื่อปี 2526
ทำให้น้ำมันดิบราว 80 ล้านแกลลอน ซึมจากใต้ทะเลสู่ผิวน้ำวันละประมาณ 1,500 บาร์เรล แต่เนื่องจากอยู่ในช่วงสงคราม กว่าจะซ่อมแซมแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ต้องใช้เวลานานถึง 7 เดือน
ในส่วนของการทำความสะอาดคราบน้ำมันดิบ บริษัทนอร์ปอลของนอร์เวย์ใช้วิธีระเบิดและใช้อุปกรณ์สกิมเมอร์เพื่อเก็บคราบน้ำมันไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ
7. ระหว่างที่เรือบรรทุกน้ำมันเอบีที ซัมเมอร์
ที่บรรทุกน้ำมันเต็มลำเรือกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองรอตเทอร์ดาม ในเนเธอร์แลนด์ ได้เกิดระเบิดระหว่างแล่นห่างจากชายฝั่งอังโกลา 900 ไมล์ เมื่อปี 2534 ทำให้น้ำมันดิบทั้งลำเรือราว 80 ล้านแกลลอน ไหลลงสู่ทะเลกินบริเวณกว้างถึง 80 ตารางไมล์ ก่อนที่เรือจะระเบิดครั้งสุดท้ายก่อนจมลงสู่ทะเลลึกในอีก 3 วันให้หลัง
ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามีน้ำมันไหลลงสู่ทะเลหรือถูกเผาไหม้จำนวนเท่าใด โชคดีที่เกิดห่างจากชายฝั่งมาก ประกอบกับเกิดคลื่นลมแรงทำให้น้ำมันถูกพัดกระจัดกระจาย จนแทบไม่ส่งผลต่อระบบนิเวศ
8. เรือบรรทุกน้ำมันคาสติลโย เดอ เบลล์เวอร์
ซึ่งบรรทุกน้ำมันถึง 78.5 ล้านแกลลอน เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้นอกอ่าวซัลดานฮา ในแอฟริกาใต้ เมื่อปี 2521 แต่ก็ถูกปล่อยให้ลอยเท้งเต้งนอกชายฝั่งกระทั่งหักเป็นสองท่อนแล้วจมสู่ใต้ท้องทะเลลึกพร้อมน้ำมันที่เหลืออีกราว 110,000 ตัน จึงแทบไม่ส่งผลกระทบต่อนิเวศ ส่วนการทำความสะอาดนั้นใช้วิธีโปรยสารกระจายเพื่อช่วยให้จัดการน้ำมันได้ง่ายขึ้น
9. เรือบรรทุกน้ำมันขนาดยักษ์ อาโมโค คาดิซ ของบริษัทอาโมโค
เกิดอุบัติเหตุชนกับหินโสโครกท่ามกลางพายุร้ายและทะเลคลั่ง ห่างจากฝั่งแคว้นบริตตานี ประเทศฝรั่งเศส ราว 5 กม. เมื่อกลางเดือน มี.ค. 2521 ระหว่างบรรทุกน้ำมันจำนวน 1.6 ล้านบาร์เรล จาก ซาอุดีอาระเบีย มุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ ทำให้ตัวเรือหักเป็นสองท่อน น้ำมันดิบจำนวน 1.6 ล้านบาร์เรล รั่วไหลสู่ทะเล สร้างความเสียหายให้กับชายฝั่งฝรั่งเศสเป็นวงกว้าง การทำความสะอาดคราบน้ำมันประสบความล้มเหลวเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายและคลื่นลมรุนแรง การโปรยสารกระจายช่วยให้จัดการน้ำมันได้ง่ายขึ้นไม่ถึง 3,300 ตัน ด้วยซ้ำไป นับเป็นภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดของประเทศฝรั่งเศส ทำลายอุตสาหกรรมประมงและการเลี้ยงหอยออสเตอร์ในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง
10. เรือบรรทุกน้ำมันโอเดสซีย์ของไลบีเรีย
ซึ่งบรรทุกน้ำมันจากทะเลเหนือจนเต็มลำ เกิดอุบัติเหตุเรือหักกลางลำก่อนจะจมสู่ใต้ทะเลเมื่อปี 2521 ห่างจากชายฝั่งโนวาสโกเทีย ประเทศแคนาดา ราว 700 ไมล์ทะเล มีน้ำมันดิบรั่วไหลราว 43 ล้านแกลลอน แต่เนื่องจากอยู่ห่างจากชายฝั่งมาก คราบน้ำมันจึงพัดกระจัดกระจายโดยไม่ต้องมีปฏิบัติการเก็บกวาดคราบน้ำมันแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี สำนักรวบรวมสถิติโลกบางสำนักได้รวมเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหาอุบัติภัยจากน้ำมันดิบรั่วไหลที่คนจดจำไม่มีวันลืมประกอบด้วย (อ่านต่อ) http://ppantip.com/topic/30795799
-----
credit : stock2morrow
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=47858&p=323812&posted=1#post323812