พรางใจซ่อนใยรัก ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
หล่อนมาทำอะไรที่นี่กันแน่ ?

ชาคริยาหมุนหลอดคนกาแฟด้วยอาการเลื่อนลอย น้ำแข็งละลายแทบไม่เหลือเป็นก้อนจึงยิ่งผสมกับกาแฟเต็มแก้วจนเป็นของเหลวสีตุ่น ดูท่ารสชาติคงแย่ไม่แพ้กัน หากหญิงสาวหรือจะสนใจ ก็หล่อนไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มกาแฟเสียหน่อย

วงหน้ารูปไข่ก้มลอบถอนใจ นัยน์ตาใต้แพขนตาหนาเหลือบผ่านกระจกกั้นผนังที่นั่งชิดสู่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามในซอยเล็ก บริเวณนี้เป็นย่านซึ่งคนกรุงเทพฯ นิยมมาเดินไม่เว้นช่วง ส่วนร้านอาหารนั่นก็มีชื่อเสียงติดอันดับ ประตูกรอบไม้กรุกระจกหลากสีจนแลไม่เห็นด้านในจึงมีคนเข้าออกตลอดวัน ทว่า “เป้าหมาย” ที่หล่อนเฝ้าอยู่ยังหายลับคล้ายไม่คิดจะกลับออกมา

เล็บมือสั้นกุดเผลอเขี่ยริมฝีปากซึ่งทาบด้วยลิปสติกสีชมพูบาง ๆ อย่างครุ่นคิด ขณะเดียวกันอีกมือก็พลิกนิตยสารเล่มโตที่ถูกพับครึ่งไว้บนโต๊ะให้เผยอโชว์ปก สายตาเปลี่ยนมาตวัดชำเลืองดุจเด็กน้อยแอบอ่านหนังสือต้องห้าม แต่ความจริงแล้วบนปกนั้นห่างไกลคำว่าต้องห้ามอักโข จากหัวหนังสือก็ทราบว่าเนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกับแวดวงธุรกิจ ต่ำลงมาคือชายหนุ่มวัยสามสิบเศษในชุดสูทเต็มยศนั่งไขว่ห้างด้วยท่วงท่าเบาสบาย ใบหน้าไม่จัดว่าหล่อเหลาหากก็มีเสน่ห์อย่างประหลาด โดยเฉพาะยามริมฝีปากไม่หนาไม่บางยกมุมยิ้มนิด ๆ ชวนผูกมิตร แต่ถ้าพินิจให้ชัดจะพบว่า รอยยิ้มนั่นหาเลยขึ้นไปถึงดวงตาคมปลาบราวจะมองทะลุหัวใจผู้จับจ้อง จนหญิงสาวต้องเตือนตัวเองว่าอย่าอุปาทานกับรูปภาพให้มากความนักเลย

ด้านล่างสุดของปกนิตยสารบรรจุไว้ด้วยตัวอักษรอีกหนึ่งบรรทัด

‘กรินทร์ เพียรดำรง...นักธุรกิจผู้น่าจับตาแห่งปี’

ไม่รู้คนเขียนข้อความนี้จะหลุดหัวเราะไหม ถ้าได้ตระหนักว่าชาคริยากำลัง “จับตา” ชายหนุ่มคนนี้ตามตัวอักษรไม่มีผิดเพี้ยน

ดึงมือปล่อยหนังสือพับคืนที่ ระหว่างนั้นเปลือกตาก็หลุบต่ำ เนื้อหาด้านในนิตยสารมีการสัมภาษณ์บุคคลบนหน้าปกอย่างละเอียด ทว่าหญิงสาวมิต้องพินิจซ้ำด้วยอ่านมาหลายเที่ยวจนแทบจดจำขึ้นใจแล้ว

กรินทร์เป็นทายาทผู้เดียวของครอบครัวเชื้อจีนชนชั้นกลาง สมัยเด็กเกเรจนผู้เป็นบิดาอ่อนใจ เมื่อลูกชายถูกไล่ออกก่อนจบชั้นมัธยมปลายจึงคิดส่งไปทำงานกับญาติที่ฮ่องกงเป็นดัดสันดาน แต่หลังจากกรินทร์ไปที่นั่นได้แค่เดือนเดียว บุพการีทั้งสองก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต

‘นั่นทำให้ผมสำนึกตัว’ กรินทร์เกริ่นในบทสัมภาษณ์ ‘พ่อกับแม่คือผู้มีพระคุณเพียงหนึ่งเดียวของผม แต่เพราะความเกเรทำให้ไม่ทันดูใจพวกท่าน ผมละอายเหลือเกิน’

หลังบินด่วนมาร่วมงานศพ เขาก็ตัดสินใจกลับฮ่องกงตามความต้องการเดิมของบุพการี และใช้ชีวิตที่นั่นหลายปีจนย้อนสู่เมืองไทย หวังกลับตัวกลับใจทำงานชดเชยความผิดหวังของบิดามารดา ติดที่ว่ากิจการของครอบครัวเป็นลักษณะกงสี ลุงป้าน้าอาไม่อยากต้อนรับหลานชายผู้เคยมีประวัติเกเรมาดำเนินกิจการต่อจากบิดา กรินทร์ทราบเรื่องนี้ดีจึงตัดสินใจขอให้ญาติซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดาเนื่องจากตอนบุพการีเสียชีวิตเขายังเป็นผู้เยาว์ ทำการโอนทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่แก่ตนแลกกับคำมั่นว่าจะไม่เกี่ยวข้องในกิจการของครอบครัวอีก จากนั้นกรินทร์ซึ่งได้มาเพียงบ้านหลังเล็ก ๆ กับที่ดินนิดหน่อยเพราะทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่เป็นของกงสีไม่มีอยู่ในชื่อบุพการีของเขา ก็ใช้มันเปลี่ยนเป็นเงินก้อนหนึ่ง นำไปเปิดบริษัทด้านโลจิสติกส์เนื่องจากสมัยอยู่ฮ่องกงเคยฝึกงานทางด้านนี้มา ประกอบกับความคล่องแคล่วในการเจรจาภาษาอังกฤษและจีนกวางตุ้งกับจีนกลาง ธุรกิจจึงก้าวหน้ารวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

‘แล้วที่มีข่าวว่าเพราะคุณกรินทร์เคยรู้จักกับมาเฟียฮ่องกง จนได้รับการช่วยเหลือจัดหางานสำหรับกิจการช่วงต้น แลกกับการขนส่งสินค้าบางอย่างให้ทางนั้น...เป็นความจริงไหมคะ’ ผู้สัมภาษณ์หยอดคำถามพุ่งเป้าทันที ส่วนคำตอบนั้นก็มาในรูปตัวอักษรยาวเหยียดจนไม่อาจสังเกตอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ แม้แต่น้อย

‘ช่วงอยู่ฮ่องกงผมคบค้าผู้คนมากหน้าหลายตา ใครมีปูมหลังอย่างไรบ้างก็สุดจะทราบจริง ๆ ส่วนลูกค้ารายแรกของผมก็มาจากการแนะนำของเพื่อนบางคน และเขาติดใจบอกกันปากต่อปากจนผมมีวันนี้ขึ้น แต่ธุรกิจแบบนี้มันพูดยาก หลายรายดำเนินการผิดพลาดก็ล้มหายตายจากกันไป ปัจจุบันผมแทบไม่ได้ติดต่อกับลูกค้าสมัยนั้นเลยไม่ทราบความเป็นไปมากนัก ว่าแต่คุณนำมาทางนี้ผมก็อดโล่งใจไม่ได้ นึกว่าจะถามถึงเรื่องครึกโครมในตอนนี้เสียอีก’

‘โอ...จริงด้วยซิคะ’ ตัวหนังสือของฝ่ายผู้สัมภาษณ์สาวเปล่งอารมณ์อยากรู้ล้นทะลัก ‘ข่าวของคุณกับนางเอกหนังคนดังนั่น...มีคนเห็นคุณขึ้นคอนโดเธอด้วยนะคะ’

‘เข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว’ คำแก้ตัวตามติดในบรรทัดถัดมา ‘ผมมีที่พักแถวนั้นแล้วเผอิญเป็นสมาชิกฟิตเนสซึ่งเปิดที่คอนโดนั่นต่างหาก แต่ยอมรับว่าเคยคุยกับเธออยู่บ้าง...สักสองสามครั้งเห็นจะได้’

เมื่อหยอดกรุยทางมาเช่นนี้ อีกสองหน้ากระดาษที่เหลือจึงมีแต่คำสนทนาเกี่ยวกับนางเอกสาวจนชาคริยาไม่คิดจะอ่านซ้ำสองให้เสียเวลา และอดนึกไม่ได้ว่าหากชายหนุ่มจงใจเปิดประเด็นเพื่อเลี่ยงการสอบถามถึงพฤติกรรมในอดีต ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ต้องสารภาพว่าชาคริยาอ่านบทสัมภาษณ์อย่างมึนงงมากในคราแรก เพราะด้วยอาชีพพยาบาลและชีวิตส่วนตัวของหล่อนนั้นแทบไม่เคยข้องแวะกับวงการธุรกิจประเภทนี้เลย บางส่วนของบทสัมภาษณ์จึงเหมือนเขียนขึ้นจากภาษาต่างดาวก็มิปาน อย่างเช่นคำว่าโลจิสติกส์ที่เคยผ่านหูหากไม่คิดจะใส่ใจหาความหมาย จนต้องลองค้นข้อมูลค่อยทราบว่าโลจิสติกส์เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่งและกระจายสินค้า รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายจนหล่อนคร้านจะนึกถึง ในส่วนด้านอื่นซึ่งเข้าใจได้ง่ายกว่าเช่นเรื่องมาเฟียฮ่องกงนั้นก็เหมือนละครเสียจนไม่อยากคิดว่าจริง คงมีแค่ข่าววงการบันเทิงที่เพื่อนร่วมงานเคยเปรยผ่านหูเวลาหาเรื่องคุยกัน ทว่าช่วงนั้นหล่อนไม่เคยได้ยินชื่อกรินทร์มาก่อนด้วยซ้ำ มีหรือจะสนใจรายละเอียดระหว่างเขากับนางเอกคนดังนัก

หากบอกว่าชีวิตของหล่อนกับชายหนุ่มนามกรินทร์ เสมือนเส้นขนานที่คงไม่มีทางบรรจบก็คงไม่ใช่คำพูดเกินเลย

แต่เหมือนฟ้าเล่นตลกให้วันนี้หล่อนต้องคอยตามชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เริ่มด้วยการหาข่าวจากอินเตอร์เน็ตจนแน่ใจว่าคนบนหน้าปกนิตยสารจะมาร่วมงานเปิดห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่แถวนี้ ชาคริยาถึงกับยอมสละเวลาในวันหยุดซึ่งหาได้ยากยิ่งมาเฝ้ารอแต่เช้า หลังเห็นกรินทร์ในหมู่คนที่ร่วมขบวนตัดริบบิ้นเปิดงาน หล่อนก็พยายามเบียดเสียดฝูงชนแอบตามชายหนุ่มทางระยะห่าง กระทั่งเขาเดินออกจากห้างสรรพสินค้าพร้อมผู้ติดตามคนหนึ่ง มุ่งสู่ย่านร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลก่อนเลี้ยวเข้าร้านอาหารแห่งนั้น ส่วนหล่อนเองเกรงว่าในร้านคนพลุกพล่าน หากถูกจับไปนั่งโต๊ะห่างเกินไปจะสังเกตเป้าหมายลำบาก จึงตัดสินใจปักหลักเฝ้าทางออกร้านอาหารยังร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามเสียแทน

ว่าแต่หล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่ แอบตามชายคนนี้ไปจนจบวันหรืออย่างไร...ชาคริยาก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน

หญิงสาวยกมือนวดขมับซึ่งเริ่มปวดตุบ สำนึกร้องเตือนว่านี่ไม่ใช่ธุระของหล่อนเลย เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง จะคว้าเอากระดูกมาแขวนคอทำไมอีก ลุกขึ้น...แล้วเดินจากไปไม่ดีกว่าหรือ

ยังไม่ทันจะตรองให้จบ ชายหนุ่มนามกรินทร์...ตัวเป็น ๆ หาใช่เพียงรูปถ่ายไร้ชีวิตก็ผลักประตูกรุกระจกออกมาเสียก่อน ทั้งที่อากาศร้อนอบอ้าวหากเขาก็ยังใส่เชิ้ตยาวผูกเนกไทด์อย่างเรียบร้อย กรินทร์ยืนคุยกับผู้ติดตามทางหน้าร้านอาหารชั่วครู่ คราแรกชายผู้ติดตามมีอาการไม่ยินยอม แต่กรินทร์ทำท่าออกคำสั่งเฉียบขาดสองสามประโยค ผู้ติดตามก็ต้องล่าถอยไปยืนหลบมุมแถวหน้าร้าน ปล่อยให้เจ้านายสาวเท้าฉีกตัวไปอีกทาง ตอนนั้นเองที่ชาคริยาลุกพรวดขึ้น และทั้งที่ในสมองยังลังเล ปากกลับเรียกบริกรพลางวางเงินเท่าค่าเครื่องดื่มซึ่งเตรียมไว้แต่ต้น ก่อนรุดตามเป้าหมายไปอีกครั้งทันที

ขายาว ๆ ของชายหนุ่มขยับเป็นจังหวะค่อนข้างเร็ว ไม่นานก็หลุดจากซอยเล็กออกมาสู่ถนน ชาคริยาจึงเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเขาอยู่ก็มิปาน โชคดีว่ารอบด้านมีฝูงชนเดินขวักไขว่เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ อาการรีบร้อนของหล่อนถึงดูไม่สะดุดตานัก ทั้งเป้าหมายยังสูงเด่นเหนือคลื่นมหาชนรายรอบจนไม่ต้องใช้ความพยายามในการมองหาแม้แต่น้อย การลอบติดตามของมือสมัครเล่นอย่างหญิงสาวจึงนับว่าราบรื่นมาก

แต่นั่นเป็นเพียงช่วงแรกเท่านั้น ด้วยหลังสภาพเช่นนี้ผ่านไปราวยี่สิบนาที ชายหนุ่มเพิ่งสาวเท้าผ่านรถยนต์คันโตที่จอดชิดริมทางเท้า แล้วจู่ ๆ ก็ผลุบหายไปในซอยเล็กทางซ้าย เพราะกลัวว่าเป้าหมายจะคลาดสายตาหล่อนจึงเร่งตามเข้าซอยทันที ก่อนชะงักลงในเวลาต่อมา

ชาคริยาเพิ่งสังเกตว่าผู้คนรอบกายล้วนหายไปกันหมด

บริเวณนี้ไม่ใช่ส่วนที่ร้านค้ากระจุกรวมกันอยู่แล้ว แต่ห่างจากย่านนั้นมาประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ สองฟากกั้นด้วยกำแพงปูนสีเทาสูงจรดก้นซอยตัน ชาคริยาชะโงกย้อนมองถนนตัดขวางด้านที่เพิ่งผ่านมา เลยไปตามทางซึ่งกรินทร์คงเดินไปถึงถ้าไม่เลี้ยวเข้าตรอกเสียก่อน สุดถนนตรงนั้นพบรั้วสังกะสีกั้นปิดทางสัญจรด้วยมีการซ่อมทางขนานใหญ่ มิน่าถึงไร้ผู้คนเพราะไม่ใช่ทั้งทางผ่านและย่านร้านค้าซึ่งควรเสียเวลาแวะเวียน หญิงสาวไม่เคยเดินแถวนี้มาก่อน จึงจนปัญญาจะเดาว่าบริเวณโดยรอบสร้างไว้เพื่อประโยชน์ใด แต่ดูเหมือนเป้าหมายหล่อนจะรู้แก่ใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฝีเท้ายาว ๆ ตรงหน้าจึงไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่