ผมเองนั้นเป็นผู้ที่สนใจในศาสนาและศึกษาหาความรู้ด้านธรรมมะมาเป็นอาหารเสริมใจให้ตัวเองอยู่เสมอ
และก็ได้มีโอกาสภาวนาเจริญสมาธิบ้างตามความเหมาะสม แต่ไม่บ่อยเพราะส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาระหน้าที่การงาน
อาจจะได้แค่อาทิตย์ละ 1 วัน วันละ 10 - 15 นาทีเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ส่วนความก้าวหน้าทางจิตคิดว่า
คงอยู่ระดับอนุบาลยังห่างไกลปริญญาทางใจอยู่อีกเยอะ
มีบางช่วงก็หยุดปฏิบัติไปบ้าง
มีช่วงหนึ่งบริษัทจัดให้มีการฝึกอบรมชำระใจด้วยคอร์สวิปัสสนา
แน่นอนผมย่อมไม่พลาด ครั้งนั้นนั่งกันยาวนานรอบละ 1 ชั่วโมงครึ่ง
ในระหว่างฝึกปฏิบัตินั้นพระอาจารย์จะคอยพูดคลอเป็นจังหวะให้แต่ละคนหายใจเข้าออกตามเสียงอาจารย์
ช่วงระหว่างนั่งบางช่วงจิตผมก็นิ่งบางช่วงก็หลุด สลับกันไป
บางช่วงรู้สึกคันยุบยิบ บางช่วงก็เห็นสายฟ้าเปรี้ยงๆ ขึ้นในจิต (คิดว่าคงเป็นนิมิตรที่เกิดจากวิปัสนานุกิเลส)
แต่มีมีช่วงหนึ่งที่ร่างกายเหมือนจะนั่งต่อไม่ไหว ความรู้สึกเหมือนตัวสั่นเอนไปเอนมา
และช่วงนั้นพระอาจารย์แกพุดว่าให้แผ่เมตตาไปด้วยระหว่างนั่ง ผมได้ยินก็เลยแผ่เมตตา
ปรากฏว่าร่างกายเกิดขนลุกซู่อย่างรุนแรง น้ำตามันไหลซึมออกมาไม่รู้ตัว ความรู้สึกอบอุ่น
สว่างไสวเกิดขึ้นในใจอย่างไม่น่าเชื่อ (เข้าใจว่าคงเป็นปิติ)
และหลังจากเหตุการณ์นั้นทุกครั้งที่ผมนั่งด้วยตนเองทุกครั้งที่แผ่เมตตาโดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงที่แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวร
ขนผมจะลุกซู่ตลอดทุกครั้ง (ขณะพิมพ์ก็เป็น) หรือบางครั้งแผ่ให้เทพเทวดาก็เป็นบ้าง อาการแบบนี้เกิดจากอะไรครับ
อีกเรื่องหนึ่ง
ปกติแล้วเวลานั่ง ผมก็ดูลมหายใจไปเรื่อย ดูจุดกระทบที่ปลายจมูก พอใจเริ่มนิ่งกับจุดกระทบที่ปลายจมูกซักพัก
ก็จะเห็นพวกแสงสว่างเล็กๆ เหมือนหิ่งห้อยลอยไปมา บ้างก็เห็นเหมือนแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ (แสงแฟร์) เข้ากระทบจิต
บางทีก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นในจิต บางทีก็เห็นกลุ่มควัน ซึ่งแน่นอนผมก็มักจะลืมดูลมหายใจแล้วก็ไปดูสิ่งที่ปรากฏนี้แทน
เพราะด้วยเข้าใจว่าเป็นของดี ทั้งที่จริงแล้วน่าจะเป็นวิปัสสนานุกิเลสตัวเบ้อเริ่ม
ช่วงหลังผมเลยพยายามไม่สนใจ แต่จิตมันก็ไปสนใจทุกที จนสมาธิหลุด
กรณีแบบนี้แก้ยังไงดีครับ
เรื่องต่อมา
ในช่วงหลังผมนั่งบ่อยขึ้น และรู้สึกได้ว่ามีพัฒนาการคือความอดทนดีขึ้น นั่งได้นานมากขึ้น
จิตค่อยๆ จับอยู่ในอารมณ์เดียวได้นานขึ้นๆ
และเวลาผมนั่งเสร็จก็จะแผ่ส่วนกุศลตามปกติ
แต่ว่าครั้งหลังๆ เวลาแผ่ไปได้ถึงช่วงเทวดา เทพ พรหม และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
จะเกิดสิ่งนี้ขึ้นคือผมจะเห็นกลุ่มหมอกควันวิ่งวนเข้ามา วิ่งผ่านหน้าเรา หมุนรอบตัวเราบ้าง คลุมตัวเราบ้าง
เปลี่ยนรูปทรงไปบ้าง ทั้งที่ขณะนั้นผมลืมตา (ปิดไฟแต่ลืมตา) ลักษณะควันไม่ได้ขาว ไม่ได้ดำ คล้ายๆควันธูป
ไม่มีกลิ่น ไม่ร้อน ไม่เย็น หมุนวน อยู่อย่างนั้นจนซักพักก็หายไป
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นนิมิตหรือไม่ครับ
ยังมีอีกเรื่อง
เคยยั่งสมาธิอยู่ (ปิดไฟหลับตา) แล้วปรากฏว่าดันเห็นภาพข้างหน้า
ชัดแจ๋ว (คือคมชัดเห็นทุกรายละเอียดว่าของตรงนั้นวางอยู่นั่น เหมือนภาพจริงๆ
ขณะที่เราลืมตาเลย ลองเอียงหน้า (ทั้งที่หลับตา)
ก็เห็นมุมภาพมันเปลี่ยนไปด้วย ก็เลยแปลกใจสงสัย และสมาธิหลุดตามเคย
แบบนี้ใช่ตัวกิเลสตัวใหญ่อีกตัวที่มาคอยขัดหรือเปล่าครับ
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่เคยพบเลยอยากทราบว่าบางเรื่องมันแปลก และไม่เข้าใจว่าคืออะไร
และใคร่สงสัยมานาน
ทั้งนี้การฝึกสมาธินั้นใจผมตั้งไว้ถึงการหลุดพ้น
และแน่นอนว่า ณ.ปัจจุบันยังคงห่าง
แต่ผลพลอยได้ที่ได้จากการฝึกสมาธิคือ
จิตใจที่สดใส อบอุ่นขณะที่ถอนจากสมาธิออกมาแล้ว
และร่างกายสดชื่นตัวเบาสบาย ซึ่งเป็นสภาวะที่ผมชอบมากๆ
สสุดท้ายต้องขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบหรือแม้กระทั่งคลิกเข้ามาอ่าน
และขอฝากคลิปธรรมะนี้ไว้สำหรับผู้ที่สนใจ ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจมากๆ
ขอบคุณครับ
http://www.youtube.com/watch?v=vfijNR46elg
ประสบการณ์แปลกๆ ที่ได้จากการฝึกสมาธิ ใคร่สงสัยว่าคือสิ่งใด
และก็ได้มีโอกาสภาวนาเจริญสมาธิบ้างตามความเหมาะสม แต่ไม่บ่อยเพราะส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาระหน้าที่การงาน
อาจจะได้แค่อาทิตย์ละ 1 วัน วันละ 10 - 15 นาทีเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ส่วนความก้าวหน้าทางจิตคิดว่า
คงอยู่ระดับอนุบาลยังห่างไกลปริญญาทางใจอยู่อีกเยอะ
มีบางช่วงก็หยุดปฏิบัติไปบ้าง
มีช่วงหนึ่งบริษัทจัดให้มีการฝึกอบรมชำระใจด้วยคอร์สวิปัสสนา
แน่นอนผมย่อมไม่พลาด ครั้งนั้นนั่งกันยาวนานรอบละ 1 ชั่วโมงครึ่ง
ในระหว่างฝึกปฏิบัตินั้นพระอาจารย์จะคอยพูดคลอเป็นจังหวะให้แต่ละคนหายใจเข้าออกตามเสียงอาจารย์
ช่วงระหว่างนั่งบางช่วงจิตผมก็นิ่งบางช่วงก็หลุด สลับกันไป
บางช่วงรู้สึกคันยุบยิบ บางช่วงก็เห็นสายฟ้าเปรี้ยงๆ ขึ้นในจิต (คิดว่าคงเป็นนิมิตรที่เกิดจากวิปัสนานุกิเลส)
แต่มีมีช่วงหนึ่งที่ร่างกายเหมือนจะนั่งต่อไม่ไหว ความรู้สึกเหมือนตัวสั่นเอนไปเอนมา
และช่วงนั้นพระอาจารย์แกพุดว่าให้แผ่เมตตาไปด้วยระหว่างนั่ง ผมได้ยินก็เลยแผ่เมตตา
ปรากฏว่าร่างกายเกิดขนลุกซู่อย่างรุนแรง น้ำตามันไหลซึมออกมาไม่รู้ตัว ความรู้สึกอบอุ่น
สว่างไสวเกิดขึ้นในใจอย่างไม่น่าเชื่อ (เข้าใจว่าคงเป็นปิติ)
และหลังจากเหตุการณ์นั้นทุกครั้งที่ผมนั่งด้วยตนเองทุกครั้งที่แผ่เมตตาโดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงที่แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวร
ขนผมจะลุกซู่ตลอดทุกครั้ง (ขณะพิมพ์ก็เป็น) หรือบางครั้งแผ่ให้เทพเทวดาก็เป็นบ้าง อาการแบบนี้เกิดจากอะไรครับ
อีกเรื่องหนึ่ง
ปกติแล้วเวลานั่ง ผมก็ดูลมหายใจไปเรื่อย ดูจุดกระทบที่ปลายจมูก พอใจเริ่มนิ่งกับจุดกระทบที่ปลายจมูกซักพัก
ก็จะเห็นพวกแสงสว่างเล็กๆ เหมือนหิ่งห้อยลอยไปมา บ้างก็เห็นเหมือนแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ (แสงแฟร์) เข้ากระทบจิต
บางทีก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นในจิต บางทีก็เห็นกลุ่มควัน ซึ่งแน่นอนผมก็มักจะลืมดูลมหายใจแล้วก็ไปดูสิ่งที่ปรากฏนี้แทน
เพราะด้วยเข้าใจว่าเป็นของดี ทั้งที่จริงแล้วน่าจะเป็นวิปัสสนานุกิเลสตัวเบ้อเริ่ม
ช่วงหลังผมเลยพยายามไม่สนใจ แต่จิตมันก็ไปสนใจทุกที จนสมาธิหลุด
กรณีแบบนี้แก้ยังไงดีครับ
เรื่องต่อมา
ในช่วงหลังผมนั่งบ่อยขึ้น และรู้สึกได้ว่ามีพัฒนาการคือความอดทนดีขึ้น นั่งได้นานมากขึ้น
จิตค่อยๆ จับอยู่ในอารมณ์เดียวได้นานขึ้นๆ
และเวลาผมนั่งเสร็จก็จะแผ่ส่วนกุศลตามปกติ
แต่ว่าครั้งหลังๆ เวลาแผ่ไปได้ถึงช่วงเทวดา เทพ พรหม และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
จะเกิดสิ่งนี้ขึ้นคือผมจะเห็นกลุ่มหมอกควันวิ่งวนเข้ามา วิ่งผ่านหน้าเรา หมุนรอบตัวเราบ้าง คลุมตัวเราบ้าง
เปลี่ยนรูปทรงไปบ้าง ทั้งที่ขณะนั้นผมลืมตา (ปิดไฟแต่ลืมตา) ลักษณะควันไม่ได้ขาว ไม่ได้ดำ คล้ายๆควันธูป
ไม่มีกลิ่น ไม่ร้อน ไม่เย็น หมุนวน อยู่อย่างนั้นจนซักพักก็หายไป
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นนิมิตหรือไม่ครับ
ยังมีอีกเรื่อง
เคยยั่งสมาธิอยู่ (ปิดไฟหลับตา) แล้วปรากฏว่าดันเห็นภาพข้างหน้า
ชัดแจ๋ว (คือคมชัดเห็นทุกรายละเอียดว่าของตรงนั้นวางอยู่นั่น เหมือนภาพจริงๆ
ขณะที่เราลืมตาเลย ลองเอียงหน้า (ทั้งที่หลับตา)
ก็เห็นมุมภาพมันเปลี่ยนไปด้วย ก็เลยแปลกใจสงสัย และสมาธิหลุดตามเคย
แบบนี้ใช่ตัวกิเลสตัวใหญ่อีกตัวที่มาคอยขัดหรือเปล่าครับ
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่เคยพบเลยอยากทราบว่าบางเรื่องมันแปลก และไม่เข้าใจว่าคืออะไร
และใคร่สงสัยมานาน
ทั้งนี้การฝึกสมาธินั้นใจผมตั้งไว้ถึงการหลุดพ้น
และแน่นอนว่า ณ.ปัจจุบันยังคงห่าง
แต่ผลพลอยได้ที่ได้จากการฝึกสมาธิคือ
จิตใจที่สดใส อบอุ่นขณะที่ถอนจากสมาธิออกมาแล้ว
และร่างกายสดชื่นตัวเบาสบาย ซึ่งเป็นสภาวะที่ผมชอบมากๆ
สสุดท้ายต้องขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบหรือแม้กระทั่งคลิกเข้ามาอ่าน
และขอฝากคลิปธรรมะนี้ไว้สำหรับผู้ที่สนใจ ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจมากๆ
ขอบคุณครับ
http://www.youtube.com/watch?v=vfijNR46elg