ผ่านมา 2 ปีกับการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การนำของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นับว่าเป็นอีกรัฐบาลหนึ่งที่สามารถผลักดันนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้อย่างเป็นรูปธรรม
“กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกองทุนหมู่บ้านนโยบายรถคันแรกการขึ้นค่าแรง 300 บาทแท็บเล็ต ป.1” รัฐบาลได้ทำให้เห็นเป็นจริงแล้วผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินงบประมาณเข้าสู่ระบบอย่างสมบูรณ์
ทว่าเกือบทุกนโยบายกลับถูกมองในสายตาว่าจะเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศหรือไม่
โครงการรถคันแรกนับเป็นนโยบายที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด เพราะกระตุ้นให้ประชาชนก่อหนี้โดยไม่มีความจำเป็นแต่ควรเอางบประมาณที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไปพัฒนาด้านการศึกษาและคมนาคมแทน
เช่นเดียวกับนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท วัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน แต่กลับสร้างปัญหาครั้งใหญ่โดยเฉพาะต้นทุนภาคการผลิตที่สูงขึ้น เมื่อผู้ประกอบการรับไม่ไหวก็ต้องทยอยปิดกิจการหรือลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานออก ก่อนที่จะซ้ำเติมด้วยภาวะครองชีพที่สูงขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดทำรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ค. และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือน มิ.ย. 2556 พบว่าเดือน ก.ย. 2554 ถึงเดือน มิ.ย. 2556 ราคาสินค้าหลายหมวดเพิ่มขึ้น อาทิ ราคาผักสดเพิ่มขึ้น 25.8% ราคาผลไม้สดเพิ่มขึ้น 16.3% ราคาอาหารบริโภคในบ้านสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 5.4%
ทุกวันนี้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมามากไปกว่าการสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลตามขั้นตอนเท่านั้น นำมาซึ่งวาทกรรม “แพงทั้งแผ่นดิน” ทั่วประเทศในเวลานี้
นอกจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่ค่อยเข้าตาแล้ว ในส่วนของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ เริ่มมีสภาพง่อนแง่นไม่ต่างกัน
“โครงการการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท” คือรูปธรรมของปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ไล่ตั้งแต่การประมูลโครงการที่ถูกเพ่งเล็งถึงความโปร่งใสว่ารัฐบาลได้ประกาศราคากลางให้สาธารณชนรับทราบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 103/7 หรือไม่ โดยเป็นประเด็นที่อยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างเข้มข้น
มาจนถึงปัญหาการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสอง โดยโครงการนี้จะนับหนึ่งไม่ได้เลยหากว่าไม่ผ่านกระบวนการดังกล่าวตามที่ศาลปกครองกลางได้ให้แนวทางไว้
แม้ว่ารัฐบาลจะมั่นใจว่าภายใน 2 เดือนการทำประชาพิจารณ์จะแล้วเสร็จ แต่หนีไม่พ้นคำถามว่าการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในช่วงเวลาแค่นั้นกับโครงการขนาด 3.5 แสนล้านบาท จะทำได้อย่างครบถ้วนตามที่คำพิพากษาศาลปกครองได้หรือไม่
แน่นอนว่าถ้ารัฐบาลทำประชาพิจารณ์แบบหละหลวมก็ย่อมนำมาซึ่งการต่อสู้คดีในชั้นศาลปกครองอีก ส่งผลให้โครงการนี้เดินหน้าไม่ได้สักที
ไม่ต่างอะไรกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาท เริ่มมีแนวโน้มว่าอาจเป็นอีกหนึ่งอภิมหาโครงการที่ไปไม่รอด เนื่องจากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่มี “คณิต ณ นคร” เป็นประธานให้ความเห็นว่าการตราร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะการกู้เงินถือเป็นเงินแผ่นดินที่ต้องเข้าสู่ระบบงบประมาณปกติ
ความเห็นของ คปก.ถึงจะไม่มีผลผูกพัน แต่ในอนาคตทั้งฝ่ายค้านและ สว.บางส่วนเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญทันทีที่ผ่านขั้นตอนของรัฐสภา และหากกฎหมายฉบับนี้ต้องตกไปย่อมหมายถึงความชอบธรรมที่สั่นคลอนตามลงไปด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ “การปราบคอร์รัปชั่นการสร้างความสมานฉันท์” เป็นอีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ผลผลิตแห่งความล้มเหลวในเรื่องการป้องกันการทุจริตต้องยกให้กับ “โครงการรับจำนำข้าว” ขณะนี้มีคดีเข้าสู่ระบบการตรวจสอบของ ป.ป.ช.เป็นจำนวนมาก ขณะที่ท่าทีของรัฐบาลที่ผ่านมาต่อปัญหานี้มักเลือกหนีปัญหามากกว่าชี้แจงถึงสาเหตุของปัญหา
ส่วนการสร้างความสมานฉันท์นับว่าสาหัสพอสมควร จากที่รัฐบาลไม่เคยส่งสัญญาณห้ามปรามคนเสื้อแดงให้เลิกการคุกคามสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม
ไม่เพียงแต่จะสร้างบรรยากาศที่ดีไม่ได้แล้ว รัฐบาลในนามพรรคเพื่อไทยได้ใช้กลไกนิติบัญญัติเพื่อซ้ำเติมปัญหาเข้าไปอีก ดังจะเห็นได้จากการปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่มีเนื้อหานิรโทษกรรมความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ดังนั้น ภาพรวมในการทำงานของรัฐบาลทั้งหมดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าคงยากที่รัฐบาลจะอยู่ครบเทอมจนถึงปี 2558 จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมกระแสข่าวการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ถึงได้เกิดขึ้นอย่างหนาหู
ที่มา:
http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/การเมือง/234272/2ปีรัฐบาลปูสาหัสเสี่ยงไปไม่รอด
ปล.ความจริงแล้ว พวกม๊อบต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาล ไม่ต้องออกมากันหรอกครับ...ยังงัยรัฐบาลนี้ตายเองอยู่แล้ว...เอิ๊ก ๆ ๆ
2ปีรัฐบาลปูสาหัสเสี่ยงไปไม่รอด
“กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกองทุนหมู่บ้านนโยบายรถคันแรกการขึ้นค่าแรง 300 บาทแท็บเล็ต ป.1” รัฐบาลได้ทำให้เห็นเป็นจริงแล้วผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินงบประมาณเข้าสู่ระบบอย่างสมบูรณ์
ทว่าเกือบทุกนโยบายกลับถูกมองในสายตาว่าจะเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศหรือไม่
โครงการรถคันแรกนับเป็นนโยบายที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด เพราะกระตุ้นให้ประชาชนก่อหนี้โดยไม่มีความจำเป็นแต่ควรเอางบประมาณที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไปพัฒนาด้านการศึกษาและคมนาคมแทน
เช่นเดียวกับนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท วัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน แต่กลับสร้างปัญหาครั้งใหญ่โดยเฉพาะต้นทุนภาคการผลิตที่สูงขึ้น เมื่อผู้ประกอบการรับไม่ไหวก็ต้องทยอยปิดกิจการหรือลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานออก ก่อนที่จะซ้ำเติมด้วยภาวะครองชีพที่สูงขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดทำรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ค. และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือน มิ.ย. 2556 พบว่าเดือน ก.ย. 2554 ถึงเดือน มิ.ย. 2556 ราคาสินค้าหลายหมวดเพิ่มขึ้น อาทิ ราคาผักสดเพิ่มขึ้น 25.8% ราคาผลไม้สดเพิ่มขึ้น 16.3% ราคาอาหารบริโภคในบ้านสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 5.4%
ทุกวันนี้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมามากไปกว่าการสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลตามขั้นตอนเท่านั้น นำมาซึ่งวาทกรรม “แพงทั้งแผ่นดิน” ทั่วประเทศในเวลานี้
นอกจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่ค่อยเข้าตาแล้ว ในส่วนของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ เริ่มมีสภาพง่อนแง่นไม่ต่างกัน
“โครงการการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท” คือรูปธรรมของปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ไล่ตั้งแต่การประมูลโครงการที่ถูกเพ่งเล็งถึงความโปร่งใสว่ารัฐบาลได้ประกาศราคากลางให้สาธารณชนรับทราบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 103/7 หรือไม่ โดยเป็นประเด็นที่อยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างเข้มข้น
มาจนถึงปัญหาการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสอง โดยโครงการนี้จะนับหนึ่งไม่ได้เลยหากว่าไม่ผ่านกระบวนการดังกล่าวตามที่ศาลปกครองกลางได้ให้แนวทางไว้
แม้ว่ารัฐบาลจะมั่นใจว่าภายใน 2 เดือนการทำประชาพิจารณ์จะแล้วเสร็จ แต่หนีไม่พ้นคำถามว่าการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในช่วงเวลาแค่นั้นกับโครงการขนาด 3.5 แสนล้านบาท จะทำได้อย่างครบถ้วนตามที่คำพิพากษาศาลปกครองได้หรือไม่
แน่นอนว่าถ้ารัฐบาลทำประชาพิจารณ์แบบหละหลวมก็ย่อมนำมาซึ่งการต่อสู้คดีในชั้นศาลปกครองอีก ส่งผลให้โครงการนี้เดินหน้าไม่ได้สักที
ไม่ต่างอะไรกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาท เริ่มมีแนวโน้มว่าอาจเป็นอีกหนึ่งอภิมหาโครงการที่ไปไม่รอด เนื่องจากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่มี “คณิต ณ นคร” เป็นประธานให้ความเห็นว่าการตราร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะการกู้เงินถือเป็นเงินแผ่นดินที่ต้องเข้าสู่ระบบงบประมาณปกติ
ความเห็นของ คปก.ถึงจะไม่มีผลผูกพัน แต่ในอนาคตทั้งฝ่ายค้านและ สว.บางส่วนเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญทันทีที่ผ่านขั้นตอนของรัฐสภา และหากกฎหมายฉบับนี้ต้องตกไปย่อมหมายถึงความชอบธรรมที่สั่นคลอนตามลงไปด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ “การปราบคอร์รัปชั่นการสร้างความสมานฉันท์” เป็นอีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ผลผลิตแห่งความล้มเหลวในเรื่องการป้องกันการทุจริตต้องยกให้กับ “โครงการรับจำนำข้าว” ขณะนี้มีคดีเข้าสู่ระบบการตรวจสอบของ ป.ป.ช.เป็นจำนวนมาก ขณะที่ท่าทีของรัฐบาลที่ผ่านมาต่อปัญหานี้มักเลือกหนีปัญหามากกว่าชี้แจงถึงสาเหตุของปัญหา
ส่วนการสร้างความสมานฉันท์นับว่าสาหัสพอสมควร จากที่รัฐบาลไม่เคยส่งสัญญาณห้ามปรามคนเสื้อแดงให้เลิกการคุกคามสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม
ไม่เพียงแต่จะสร้างบรรยากาศที่ดีไม่ได้แล้ว รัฐบาลในนามพรรคเพื่อไทยได้ใช้กลไกนิติบัญญัติเพื่อซ้ำเติมปัญหาเข้าไปอีก ดังจะเห็นได้จากการปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่มีเนื้อหานิรโทษกรรมความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ดังนั้น ภาพรวมในการทำงานของรัฐบาลทั้งหมดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าคงยากที่รัฐบาลจะอยู่ครบเทอมจนถึงปี 2558 จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมกระแสข่าวการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ถึงได้เกิดขึ้นอย่างหนาหู
ที่มา:http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/การเมือง/234272/2ปีรัฐบาลปูสาหัสเสี่ยงไปไม่รอด
ปล.ความจริงแล้ว พวกม๊อบต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาล ไม่ต้องออกมากันหรอกครับ...ยังงัยรัฐบาลนี้ตายเองอยู่แล้ว...เอิ๊ก ๆ ๆ