เช้านี้มีฝนพรมมาในตอนเช้ามืด เก้าอี้ประจำที่นั่งทุกเช้าเปียกชุ่ม ฉันก็ยังจ่มตัวนั่งลงไปพร้อมถ้วยกาแฟเช้า
ไม่แยแสว่า ก้นจะชื้น ชื้นไปถึงไหนช่างมันเถอะ จิบกาแฟ หอมกลิ่นดอกจำปีปนกลิ่นฝน โลกก็ยังสร้างสมดุลให้กลิ่นสาบหมา ลอยมาปนกับกลิ่นกาแฟ กลมกล่อมขึ้นแบบแปลกประหลาด
คัทลียา เพิ่งจะแทงก้านดอก ถ้าฝนไม่ตก ก็จะได้มองมันในวันพรุ่ง แย้มบานไม่ย่อยยับไปด้วยสายฝน ใบไม้เล็กใหญ่หล่นลงพื้นปูนลานหน้าบ้าน เมื่อคืนลมแรงมาพร้อมฝน ฉันฉวยไม้กวาด กวาดพื้นซะเหมือนทุก ๆ วัน ก่อนพระที่วัดใกล้บ้านจะมาบิณฑบาต
เดินเรื่อย ๆ ไปดู กระถางที่เพาะต้นจันทร์ ที่ในหลวงทรงปลูกไว้หน้าโบสถ์ที่วัด ฉันเก็บลูกสุก ๆ ที่หล่นโคนต้น
มาเมื่อคราวไปหาหลวงน้าเดือนก่อน ไม่เห็นวี่แวว ว่าจะขึ้นสักที สำหรับต้นจันทร์ เป็นไม้ยืนต้นใหญ่สูงเป็นสิบเมตร ผลลักษณะแป้นๆ สีเหลือง มีกลิ่นหอมนวล แต่รสชาติออกหวานฝาด แม้จะกินครั้งล่าสุดเมื่อ 30 กว่าปีผ่านมาแล้ว ก็ยังจำได้รสนั้นไม่เคยลืม ไม่นานมานี้ก็ใช้ต้นไม้ต้นนี้เป็นฉากหนึ่งในงานเขียนของฉัน
ฉันชอบมองความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไป และปรากฏการณ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว ความสุกงอม การจำได้ หมายรู้ การรอคอย ฯลฯ คนที่บ้านเคยถามว่ามองอะไรนักหนาอยู่เงียบ ๆ ท้องฟ้า ใบไม้ ใบหญ้า ทะเล ผู้คน ต้นไม้ บางทีก็ถูกข่อนเอาว่า ฉันมองเหมือนไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อนเลย ฉันไม่เคยบอกเหตุผลให้คนนั้นฟังสักที ว่าช่วงที่เงียบ สติและสมองของฉันทำงานอยู่ตลอดเวลา พลันให้นึกถึงบันทึกที่เคยเขียนเมื่อสองปีก่อน
“ใครบางคนพูดว่า สิ่งที่เราพูดออกไป ทำออกไป และวัตถุที่เราเขวี้ยงออกไปแล้ว ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ เสมือนการเยียวยาในบาดแผลที่เกิดขึ้นจาก โทสะ โมหะ ก็คงยากที่ร่างกาย หัวใจ และความรู้สึกจะกลับมาดีเหมือนเดิม แม้จะพยายามมองข้ามมันไปด้วยตกลงใจกันเงียบๆ ทั้งสองฝ่ายก็ตามที”
“วันนี้จะด้วยวัย หรือ ประสบการณ์ที่ผ่านเหตุการณ์มาหลากหลาย บางครั้งก็ยังพ่ายแพ้แก่ โมหะ โทสะ และปฏิกิริยาโต้ตอบที่ผลุนผัน อยู่เนือง ๆ ยังคงบาดเจ็บกับผลพวงที่เกิดขึ้นจากความสะใจฝ่ายเดียวอยู่บ้าง คนที่บ้านฉันรู้ดี”
“จะลดความคาดหวังลงให้น้อยที่สุด ในสิ่งที่ฉันอยากได้จากคนอื่น ตั้งใจทำด้วยตัวเอง แม้ไม่สวยงามมากนักแต่ก็เต็มอิ่มในหัวใจ สุดท้ายคือ ให้ไปให้มาก รับให้น้อย ดูเป็นตรรกะที่น่าขบขัน แต่รับประกันความสุขใจจริงแท้”
“ฉันบอกกับตัวเองว่า จะตัดสิ่งฟุ่มเฟือย ที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อชีวิต ที่ล้นและรกหน้าตาออกไป ทีละอย่าง ๆ แม้จะดูเก้อเขินด้วยไม่คุ้นอยู่บ้าง ขาดความมั่นใจกับสิ่งจอมปลอมบ้าง แต่สุดท้ายทั้งฝ่ายขาวและฝ่ายดำ ฝ่ายเทพและฝ่ายมาร ในตัวตนฉันก็ยิ้มให้กันจนได้ แม้ไม่เคยญาติดีกันและลาขาดจากกันไปไหน”
เหมือนธรรมะบนหน้าเฟสบุ๊ค ที่ฉันเคยเขียนถึงไว้ต่างที่ต่างเวลา แต่ก็เหมือนเป็นคู่แฝดของงานเขียนอันนี้ ธรรมะร้อยพันถูกโพสในหน้ากระดานบนเฟสบุ๊ค แต่ฉันสว่างในหัวใจ ด้วย ข้อความที่โพสในเฟสบุ๊คของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่ว่า "ความไม่อยากทุกอย่างเป็นสุข" มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ฉันรู้สึกดีใจที่มันได้เกิดขึ้นกับฉันในนาทีนั้น
ฉันเคยแยกความแตกต่างของคำว่า ความต้องการและความจำเป็น เพื่อตอบคำถามให้ตัวเองหลายครั้ง เมื่อมีความปรารถนาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางทีสิ่งนั้นก็จับต้องได้ บางทีก็ไม่สามารถจับต้องได้เลย
บางทีต้องแลก บางหนต้องรอ ต้องลงทุน แต่บางทีผลลัพธ์ที่ได้ ก็ไม่เป็นอย่างใจหวัง บางครั้งก็กลายเป็นความสุขชั่วครู่ ชั่วยาม คำตอบดูเหมือนมาช้าเกินไป แต่เวลามาก็มาพร้อมกับมาย้ำแผลเดิมซ้ำ ๆ ว่าสิ่งนั้นมันเป็นความต้องการ พาใจเราเฝ้ารอ ร้อนเร่า ไปเท่านั้นเอง
ให้รางวัลกับชีวิต / ชีวิตเป็นของเราใช้ซะ / อยู่ไม่ถึง 100 ปี ก็ตาย คำยอดนิยมพวกนี้ ถูกยกมาเป็นข้อสรุปในการตัดสินใจในหลายเรื่อง บ่อยๆ ยามที่คร้านจะแยกหรือนิยามมันว่า มันจำเป็นขนาดไหน เพียงไร สุดท้าย ใช้ชีวิตเต็มที่ และก็คงอยู่ไม่ถึง 100 ปี อย่างว่า แต่ชีวิตมันไม่นิ่ง มันขึ้นมันลง มันเหนื่อยและเกินความจำเป็น
ฉันเริ่มเข้าใจ ความสุขอันจำเป็น ไม่ใช่ความสุขที่ต้องการ โดยการรักษาลูกหมาในหัวใจ ไม่ให้มันกระโดดขึ้นกระโดดลงมากจนเกินไปนัก
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุท่านสอนไว้ว่า
ชีวิตขึ้นๆลงๆ- เรามักเข้าใจว่า'สุข'
ก็คือความเพลิดเพลินไปตามสิ่งที่ตนอยาก
แทนที่เราจะเข้าใจว่า ความไม่อยากทุกอย่างเป็นสุข
ชีวิตเราจึงมีการขึ้นๆลงๆ
ตามอารมณ์ของสิ่งนั้นๆ
เพื่อนพ้อง น้อง พี่ คนรู้จัก เวลามีปัญหา ข้อขัดข้อง เจอทางอับ เจอทางตันในชีวิต มักจะขนปัญหาสารพันมาขอคำปรึกษาฉันอยู่เสมอ ๆ บางหน คำถามแรกพอเข้าเค้า เข้าทาง แต่บางครั้งก็ไม่ได้ไกลเคียงกับสิ่งที่ฉันมีพื้นภูมิเป็นฐานอยู่เลย หากแต่การรับฟังอย่างตั้งใจ นั้นมีค่ามากกว่าคำตอบ เพราะคำตอบของฉันอาจไม่ได้มีทุกครั้ง หากมีทางเลือกอื่นที่ดูเหมาะสมกว่าคำตอบ เช่น การกลับไปมองปัญหานั้นในอีกแง่มุมหนึ่ง สรุปทางออกของปัญหาเหล่านั้นด้วยเหตุผลจริง ๆ ไร้อคติ
ให้เวลามันได้ทอดผ่านมาสักหน่อย หรือบางหนก็แค่ยอมรับการพ่ายแพ้ สูญเสีย ร่วมกับคนถามเพื่อเขาหรือเธอจะได้ไม่เดียวดายนัก ลืมมันไปให้เร็วแล้วเริ่มต้นใหม่เท่านั้นเอง
แม้คำตอบของฉันค่อนข้างจะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ก็ชัดเจนด้วยเหตุและผลแบบของฉัน มีที่มาที่ไปอยู่พอสมควรโดยมีสมมุติฐานที่บอกกับตัวเองว่า หากปัญหานั้นเกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะทำอย่างไร
รอบคอบ ใจเย็น-จับประเด็นให้แม่น ๆ -รับฟังทุกอย่าง-ยอมแพ้เสียบ้าง-ไม่อ้าง หรือรอปาฏิหาริย์-เชื่อเรื่องการทำความดี-พรุ่งนี้ไม่สายและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
สิ่งเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้ซึ่ง ๆ หน้า จากการมองปรากฏการณ์ การเขียนและการพบเจอผู้คน มันขัดเกลามารร้ายในตัวฉันให้กลายเป็นหมาน้อยเชื่อง ๆ ด้วยการทบทวนตัวเองอยู่บ่อย ๆ
ฉันเพียรบอกตัวเองให้เล็กลง วางลง เบาลง ลืมตัวซะบ้าง ว่าเป็นใคร อะไร อย่างไร จะได้แบกหามน้อยลง มีความสุขมากขึ้น แม้เมื่อได้สนทนาวิสาสะกับใคร คนนั้นก็จะไดรับความสุข ความสบายใจไปด้วย
ก่อนแดดจะออกมาอุ่นโลกใบสีฟ้า ฉันแลเห็นหมาน้อยในหัวใจของฉัน ที่ก่อนเคยเกเร ดื้อซน ร่ำร้อง อยากได้โน่น อยากได้นี่ เห่ารับแสงตะวันสีส้ม ๆ อย่างมีความสุข
เจ้าหมาน้อยของฉัน
ไม่แยแสว่า ก้นจะชื้น ชื้นไปถึงไหนช่างมันเถอะ จิบกาแฟ หอมกลิ่นดอกจำปีปนกลิ่นฝน โลกก็ยังสร้างสมดุลให้กลิ่นสาบหมา ลอยมาปนกับกลิ่นกาแฟ กลมกล่อมขึ้นแบบแปลกประหลาด
คัทลียา เพิ่งจะแทงก้านดอก ถ้าฝนไม่ตก ก็จะได้มองมันในวันพรุ่ง แย้มบานไม่ย่อยยับไปด้วยสายฝน ใบไม้เล็กใหญ่หล่นลงพื้นปูนลานหน้าบ้าน เมื่อคืนลมแรงมาพร้อมฝน ฉันฉวยไม้กวาด กวาดพื้นซะเหมือนทุก ๆ วัน ก่อนพระที่วัดใกล้บ้านจะมาบิณฑบาต
เดินเรื่อย ๆ ไปดู กระถางที่เพาะต้นจันทร์ ที่ในหลวงทรงปลูกไว้หน้าโบสถ์ที่วัด ฉันเก็บลูกสุก ๆ ที่หล่นโคนต้น
มาเมื่อคราวไปหาหลวงน้าเดือนก่อน ไม่เห็นวี่แวว ว่าจะขึ้นสักที สำหรับต้นจันทร์ เป็นไม้ยืนต้นใหญ่สูงเป็นสิบเมตร ผลลักษณะแป้นๆ สีเหลือง มีกลิ่นหอมนวล แต่รสชาติออกหวานฝาด แม้จะกินครั้งล่าสุดเมื่อ 30 กว่าปีผ่านมาแล้ว ก็ยังจำได้รสนั้นไม่เคยลืม ไม่นานมานี้ก็ใช้ต้นไม้ต้นนี้เป็นฉากหนึ่งในงานเขียนของฉัน
ฉันชอบมองความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไป และปรากฏการณ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว ความสุกงอม การจำได้ หมายรู้ การรอคอย ฯลฯ คนที่บ้านเคยถามว่ามองอะไรนักหนาอยู่เงียบ ๆ ท้องฟ้า ใบไม้ ใบหญ้า ทะเล ผู้คน ต้นไม้ บางทีก็ถูกข่อนเอาว่า ฉันมองเหมือนไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อนเลย ฉันไม่เคยบอกเหตุผลให้คนนั้นฟังสักที ว่าช่วงที่เงียบ สติและสมองของฉันทำงานอยู่ตลอดเวลา พลันให้นึกถึงบันทึกที่เคยเขียนเมื่อสองปีก่อน
“ใครบางคนพูดว่า สิ่งที่เราพูดออกไป ทำออกไป และวัตถุที่เราเขวี้ยงออกไปแล้ว ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ เสมือนการเยียวยาในบาดแผลที่เกิดขึ้นจาก โทสะ โมหะ ก็คงยากที่ร่างกาย หัวใจ และความรู้สึกจะกลับมาดีเหมือนเดิม แม้จะพยายามมองข้ามมันไปด้วยตกลงใจกันเงียบๆ ทั้งสองฝ่ายก็ตามที”
“วันนี้จะด้วยวัย หรือ ประสบการณ์ที่ผ่านเหตุการณ์มาหลากหลาย บางครั้งก็ยังพ่ายแพ้แก่ โมหะ โทสะ และปฏิกิริยาโต้ตอบที่ผลุนผัน อยู่เนือง ๆ ยังคงบาดเจ็บกับผลพวงที่เกิดขึ้นจากความสะใจฝ่ายเดียวอยู่บ้าง คนที่บ้านฉันรู้ดี”
“จะลดความคาดหวังลงให้น้อยที่สุด ในสิ่งที่ฉันอยากได้จากคนอื่น ตั้งใจทำด้วยตัวเอง แม้ไม่สวยงามมากนักแต่ก็เต็มอิ่มในหัวใจ สุดท้ายคือ ให้ไปให้มาก รับให้น้อย ดูเป็นตรรกะที่น่าขบขัน แต่รับประกันความสุขใจจริงแท้”
“ฉันบอกกับตัวเองว่า จะตัดสิ่งฟุ่มเฟือย ที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อชีวิต ที่ล้นและรกหน้าตาออกไป ทีละอย่าง ๆ แม้จะดูเก้อเขินด้วยไม่คุ้นอยู่บ้าง ขาดความมั่นใจกับสิ่งจอมปลอมบ้าง แต่สุดท้ายทั้งฝ่ายขาวและฝ่ายดำ ฝ่ายเทพและฝ่ายมาร ในตัวตนฉันก็ยิ้มให้กันจนได้ แม้ไม่เคยญาติดีกันและลาขาดจากกันไปไหน”
เหมือนธรรมะบนหน้าเฟสบุ๊ค ที่ฉันเคยเขียนถึงไว้ต่างที่ต่างเวลา แต่ก็เหมือนเป็นคู่แฝดของงานเขียนอันนี้ ธรรมะร้อยพันถูกโพสในหน้ากระดานบนเฟสบุ๊ค แต่ฉันสว่างในหัวใจ ด้วย ข้อความที่โพสในเฟสบุ๊คของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่ว่า "ความไม่อยากทุกอย่างเป็นสุข" มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ฉันรู้สึกดีใจที่มันได้เกิดขึ้นกับฉันในนาทีนั้น
ฉันเคยแยกความแตกต่างของคำว่า ความต้องการและความจำเป็น เพื่อตอบคำถามให้ตัวเองหลายครั้ง เมื่อมีความปรารถนาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางทีสิ่งนั้นก็จับต้องได้ บางทีก็ไม่สามารถจับต้องได้เลย
บางทีต้องแลก บางหนต้องรอ ต้องลงทุน แต่บางทีผลลัพธ์ที่ได้ ก็ไม่เป็นอย่างใจหวัง บางครั้งก็กลายเป็นความสุขชั่วครู่ ชั่วยาม คำตอบดูเหมือนมาช้าเกินไป แต่เวลามาก็มาพร้อมกับมาย้ำแผลเดิมซ้ำ ๆ ว่าสิ่งนั้นมันเป็นความต้องการ พาใจเราเฝ้ารอ ร้อนเร่า ไปเท่านั้นเอง
ให้รางวัลกับชีวิต / ชีวิตเป็นของเราใช้ซะ / อยู่ไม่ถึง 100 ปี ก็ตาย คำยอดนิยมพวกนี้ ถูกยกมาเป็นข้อสรุปในการตัดสินใจในหลายเรื่อง บ่อยๆ ยามที่คร้านจะแยกหรือนิยามมันว่า มันจำเป็นขนาดไหน เพียงไร สุดท้าย ใช้ชีวิตเต็มที่ และก็คงอยู่ไม่ถึง 100 ปี อย่างว่า แต่ชีวิตมันไม่นิ่ง มันขึ้นมันลง มันเหนื่อยและเกินความจำเป็น
ฉันเริ่มเข้าใจ ความสุขอันจำเป็น ไม่ใช่ความสุขที่ต้องการ โดยการรักษาลูกหมาในหัวใจ ไม่ให้มันกระโดดขึ้นกระโดดลงมากจนเกินไปนัก
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุท่านสอนไว้ว่า
ชีวิตขึ้นๆลงๆ- เรามักเข้าใจว่า'สุข'
ก็คือความเพลิดเพลินไปตามสิ่งที่ตนอยาก
แทนที่เราจะเข้าใจว่า ความไม่อยากทุกอย่างเป็นสุข
ชีวิตเราจึงมีการขึ้นๆลงๆ
ตามอารมณ์ของสิ่งนั้นๆ
เพื่อนพ้อง น้อง พี่ คนรู้จัก เวลามีปัญหา ข้อขัดข้อง เจอทางอับ เจอทางตันในชีวิต มักจะขนปัญหาสารพันมาขอคำปรึกษาฉันอยู่เสมอ ๆ บางหน คำถามแรกพอเข้าเค้า เข้าทาง แต่บางครั้งก็ไม่ได้ไกลเคียงกับสิ่งที่ฉันมีพื้นภูมิเป็นฐานอยู่เลย หากแต่การรับฟังอย่างตั้งใจ นั้นมีค่ามากกว่าคำตอบ เพราะคำตอบของฉันอาจไม่ได้มีทุกครั้ง หากมีทางเลือกอื่นที่ดูเหมาะสมกว่าคำตอบ เช่น การกลับไปมองปัญหานั้นในอีกแง่มุมหนึ่ง สรุปทางออกของปัญหาเหล่านั้นด้วยเหตุผลจริง ๆ ไร้อคติ
ให้เวลามันได้ทอดผ่านมาสักหน่อย หรือบางหนก็แค่ยอมรับการพ่ายแพ้ สูญเสีย ร่วมกับคนถามเพื่อเขาหรือเธอจะได้ไม่เดียวดายนัก ลืมมันไปให้เร็วแล้วเริ่มต้นใหม่เท่านั้นเอง
แม้คำตอบของฉันค่อนข้างจะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ก็ชัดเจนด้วยเหตุและผลแบบของฉัน มีที่มาที่ไปอยู่พอสมควรโดยมีสมมุติฐานที่บอกกับตัวเองว่า หากปัญหานั้นเกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะทำอย่างไร
รอบคอบ ใจเย็น-จับประเด็นให้แม่น ๆ -รับฟังทุกอย่าง-ยอมแพ้เสียบ้าง-ไม่อ้าง หรือรอปาฏิหาริย์-เชื่อเรื่องการทำความดี-พรุ่งนี้ไม่สายและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
สิ่งเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้ซึ่ง ๆ หน้า จากการมองปรากฏการณ์ การเขียนและการพบเจอผู้คน มันขัดเกลามารร้ายในตัวฉันให้กลายเป็นหมาน้อยเชื่อง ๆ ด้วยการทบทวนตัวเองอยู่บ่อย ๆ
ฉันเพียรบอกตัวเองให้เล็กลง วางลง เบาลง ลืมตัวซะบ้าง ว่าเป็นใคร อะไร อย่างไร จะได้แบกหามน้อยลง มีความสุขมากขึ้น แม้เมื่อได้สนทนาวิสาสะกับใคร คนนั้นก็จะไดรับความสุข ความสบายใจไปด้วย
ก่อนแดดจะออกมาอุ่นโลกใบสีฟ้า ฉันแลเห็นหมาน้อยในหัวใจของฉัน ที่ก่อนเคยเกเร ดื้อซน ร่ำร้อง อยากได้โน่น อยากได้นี่ เห่ารับแสงตะวันสีส้ม ๆ อย่างมีความสุข