พระพุทธรูปนั้นไม่ใช่ตัวแทนพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสไว้เลยเกี่ยวกับพระพุทธรูปหรือพระธาตุ จะบอกว่าเพราะเมื่อทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ก็เลยไม่ตรัสนั้นคงเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้องเพราะ ทรงมีพุทธญานที่จะหยั่งรู้แต่ที่ไม่บัญญัตินั้นคาดว่าเพราะทรงเกรงว่าจะเป็นเส้นผมบัง
ธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติ เพราะต่อไปผู้คนจะกราบไหว้บูชาเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่จะดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ สิ่งจะเป็นมิจฉาทิฐิในธรรมวินัยนี้ เพราะพระ
องค์ทรงสอนว่ากรรมไม่ได้เกิดจากผู้ใดหรือสิ่งใดบันดาล ไม่ได้เกิดจากตนเองบันดาล และไม่ได้เกิดมาลอย ๆ อย่างบังเอิญ แต่เป็นปฏิจจสมุป
บาท ในสมัยพุทธกาลก็ไม่มีการทำพระพุทธรูป แต่คาดว่ามาทำในสมัยกรีกเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย เพราะชาวกรีกนิยมทำเทวรูปแทนพระเจ้า
ของตน และสิ่งที่จะแทนพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ได้บอกสอนไว้กับพระอานนท์ดังนี้" พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์
บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี
ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็น ศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ฉะนั้นพระพุทธรูปไม่มีบัญญัติในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อมีแล้วแล้วอยากกราบไหว้นั้น ก็ขอให้ตั้งจิตว่าการกราบไหว้บูชานั้นไม่ใช่ที่รูป
หล่อข้างหน้านี้ แต่เพื่อน้อมจิตถวายองค์พระศาสดาในพระเมตตากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก ที่ตรัสรู้และเผยแผ่ธรรมวินัย ตลอดพระชนม์ชีพของ
พระองค์ ซึ่งเป็นการค่อนข้างลำบากในการตั้งจิตไม่ให้หลงยึดที่วัตถุและหลงไปกับความเชื่อเรื่องโชคลาง ของขลัง ฉะนั้นถ้าไม่มีคงยังประ
โยชน์กว่าเพื่อไม่ให้เกิดมิจฉาทิฐิ ส่วนเทพเจ้าอื่น ๆ นอกศาสนาและวัตถุมงคลทั้งหลายนั้นจูงให้เกิดมิจฉาทิฐิทั้งสิ้นและทำให้เราไม่อาจเข้า
ถึงโสดาบันบุคคลด้วย
เพื่อบูชาพระศาสดาให้ถูกต้อง อย่างแท้จริง เกี่ยวกับพระพุทธรูป
ธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติ เพราะต่อไปผู้คนจะกราบไหว้บูชาเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่จะดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ สิ่งจะเป็นมิจฉาทิฐิในธรรมวินัยนี้ เพราะพระ
องค์ทรงสอนว่ากรรมไม่ได้เกิดจากผู้ใดหรือสิ่งใดบันดาล ไม่ได้เกิดจากตนเองบันดาล และไม่ได้เกิดมาลอย ๆ อย่างบังเอิญ แต่เป็นปฏิจจสมุป
บาท ในสมัยพุทธกาลก็ไม่มีการทำพระพุทธรูป แต่คาดว่ามาทำในสมัยกรีกเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย เพราะชาวกรีกนิยมทำเทวรูปแทนพระเจ้า
ของตน และสิ่งที่จะแทนพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ได้บอกสอนไว้กับพระอานนท์ดังนี้" พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์
บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี
ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็น ศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ฉะนั้นพระพุทธรูปไม่มีบัญญัติในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อมีแล้วแล้วอยากกราบไหว้นั้น ก็ขอให้ตั้งจิตว่าการกราบไหว้บูชานั้นไม่ใช่ที่รูป
หล่อข้างหน้านี้ แต่เพื่อน้อมจิตถวายองค์พระศาสดาในพระเมตตากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก ที่ตรัสรู้และเผยแผ่ธรรมวินัย ตลอดพระชนม์ชีพของ
พระองค์ ซึ่งเป็นการค่อนข้างลำบากในการตั้งจิตไม่ให้หลงยึดที่วัตถุและหลงไปกับความเชื่อเรื่องโชคลาง ของขลัง ฉะนั้นถ้าไม่มีคงยังประ
โยชน์กว่าเพื่อไม่ให้เกิดมิจฉาทิฐิ ส่วนเทพเจ้าอื่น ๆ นอกศาสนาและวัตถุมงคลทั้งหลายนั้นจูงให้เกิดมิจฉาทิฐิทั้งสิ้นและทำให้เราไม่อาจเข้า
ถึงโสดาบันบุคคลด้วย