ปัจจุบันวงการวิทยาศาสตร์ได้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นสมอง และการฝึกสมาธิ ถึงแม้จะเป็นการค้นพบเพียงน้อยนิด
แต่ก็ทำให้เราทราบว่าสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออก รวมถึงยังทำให้ทราบว่าการฝึกสมาธิทำให้เกิดผลดีกับสมอง
คำสอนที่สำคัญอย่างหนึ่งในพระไตรปิฎกคือคำสอนในเรื่องการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำเป็นหลักคือ
การตามลมหายใจ หรือ “อานาปานสติ” ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งที่สำคัญตามมาคือ “สติ” โดยในพระไตรปิฎกได้บันทึกคำสอนเกี่ยวกับอานาปานสติไว้ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง”
สำหรับสาเหตุที่พระพุทธเจ้าให้เราใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือในการให้ได้มาซึ่งสตินั้น ก็เป็นเพราะว่าลมหายใจเป็นของที่มีติดอยู่กับตัวของเราทุกคน
ไม่ว่าจะไปที่ไหนอย่างไร เราจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวในการนำลมหายใจติดตัวไปด้วย
ลมหายใจกับสมอง
การตามลมหายใจหรือการทำสมาธิแบบอานาปานสติ นอกจากจะทำให้เราเกิดความสงบในจิตใจแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์ยังพบ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการทำงานของสมองด้วย ในต่างประเทศมีการทำวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนข้อมูลดังกล่าว อาทิเช่น นักวิทยาศาสตร์
ในสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองกับพระภิกษุที่ปฏิบัติสมาธิมาอย่างดี รวมถึงได้ทำการทดลองกับปุถุชนธรรมดาที่ฝึกนั่งสมาธิมาเป็นระยะเวลานาน 1 ปี
ผลการวิจัยพบว่า คนที่ฝึกสมาธิเหล่านี้มีความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงยังมีการจัดตารางชีวิตประจำวัน หรือจัดตารางการทำงานได้เรียบง่าย
และมีความสับสนน้อยกว่าคนอื่น โดยระดับคลื่นสมองของพระภิกษุมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดระหว่างเข้าสมาธิ หรือแม้แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว
ก็พบว่าคลื่นสมองของท่านยังอยู่ในระดับที่ต่างจากคนปกติเป็นอันมาก ส่วนในปุถุชนนั้น จำนวนการปฏิบัติสมาธิและระยะเวลาในการฝึก จะมีผลโดยตรง
ต่อคลื่นสมองแกมมา (คลื่นสมองแกมมาเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงความทรงจำ ระดับการเรียนรู้ ระดับสมาธิและการมองโลกในแง่ดี)
คือ ยิ่งทำสมาธิมากและทำได้ดี ระดับคลื่นสมองแกมมาก็จะยิ่งสูง
ขณะที่ผลการตรวจคลื่นสมองด้วยเครื่องสนามแม่เหล็ก (MRI) ก็พบว่า การฝึกนั่งสมาธิแม้เพียง 2-3 เดือน
จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาและการเปลี่ยนแปลงทางสมองได้ ในขณะที่ผู้ฝึกเองยอมรับว่า สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น
และหลับได้สนิทมากกว่าเดิม รวมถึงมีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล อาการเครียด อาการซึมเศร้าลดลงเช่นกัน หลังจากเริ่มฝึกสมาธิ
คลื่นสมองกับสมาธิ
ในทางวิทยาศาสตร์ เราแบ่งคลื่นสมองออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1. คลื่นเบต้า (beta wave) เป็นคลื่นในภาวะปกติของคนเรา เกิดจากการรับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส ยิ่งมีข้อมูลที่ต้องสนใจเข้ามามาก
คลื่นยิ่งมีความสับสน คลื่นยิ่งสูง คล้ายกราฟรูปฟันปลา
2. คลื่นอัลฟา (alpha wave) เกิดขึ้นในขณะที่เจ้าของอยู่ในสภาวะสงบ ไม่วุ่นวาย คลื่นจะมีรอบน้อยกว่าคลื่นเบต้า เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยกว่า
แต่ขนาดของคลื่นจะใหญ่กว่าคลื่นเบต้า
3. คลื่นธีต้า (theta wave) จะมีความถี่น้อยลงไปอีก แต่มีขนาดคลื่นสูงใหญ่กว่าแบบอัลฟา แต่ไม่ค่อยพบคลื่นแบบนี้ในคนปกติ นานๆ จึงจะเห็นสักครั้ง
โดยอาจเกิดขึ้นในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น
4. คลื่นเดลต้า (delta wave) เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยที่สุด แต่ขนาดคลื่นจะใหญ่ที่สุด เกิดขึ้นในขณะหลับลึกส่วนในบางตำราจะจัดให้มีคลื่นแบบที่ 5
เรียกว่า คลื่นคอสมิก โดยในหนังสือของ “พระธรรมวิสุทธิกวี” หรือ “พระสาสนโสภณ (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)” ได้เปรียบเทียบคลื่นของสมองกับระดับ
ของการฝึกสมาธิไว้ดังนี้
1. คลื่นเบต้า คือ คลื่นสมองของคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ซึ่งก็คือปุถุชนธรรมดา
2. คลื่นอัลฟา คือ คลื่นสมองของคนที่เริ่มฝึกสมาธิแบบ “ขณิกสมาธิ” (คือสมาธิที่เป็นไปชั่วคราว)
3. คลื่นเธต้า คือ คลื่นสมองของคนที่จิตสงบมากจนเกือบถึงขั้นจะเป็น “อุปจารสมาธิ”
4. คลื่นเดลต้า คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตสงบมากขึ้น
5. คลื่นคอสมิก คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตใจสงบมากเทียบได้กับระดับ “อัปปนาสมาธิ”
จะเห็นว่าการฝึกสมาธิด้วยการตามลมหายใจดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนภิกษุไว้ใน “อานาปานสติสูตร” ดังกล่าวแล้วจะทำให้คลื่นสมองของเรามีระเบียบ
โดยยิ่งเราทำให้คลื่นสมองเป็นระเบียบได้มากเท่าไร (หรืออีกนัยหนึ่งทำให้คลื่นเบต้ามีน้อยที่สุด) ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์แก่ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
เพราะทำให้ร่างกายและจิตใจมีการผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะเป็นคนที่
สามารถรับมือกับเหตุการณ์ร้ายๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป
เมื่อการทำสมาธิส่งผลดีกับสมองถึงขนาดนี้ แล้วเราจะไม่หันมาสนใจในเรื่องการทำสมาธิกันไว้หน่อยหรือครับ
***********************
นิตยสาร HealthToday ปีที่ 11 ฉบับที่ 127 ตุลาคม 2554
โดย.นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการแพทย์หน้า 56-57.
Posted by dmhstaff/sty-lib
ผู้แต่ง: นิตยสาร HealthToday - dmhstaff@dmhthai.com - 7/11/2011
http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1132
สมองกับอัศจรรย์แห่งสมาธิ
แต่ก็ทำให้เราทราบว่าสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออก รวมถึงยังทำให้ทราบว่าการฝึกสมาธิทำให้เกิดผลดีกับสมอง
คำสอนที่สำคัญอย่างหนึ่งในพระไตรปิฎกคือคำสอนในเรื่องการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำเป็นหลักคือ
การตามลมหายใจ หรือ “อานาปานสติ” ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งที่สำคัญตามมาคือ “สติ” โดยในพระไตรปิฎกได้บันทึกคำสอนเกี่ยวกับอานาปานสติไว้ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง”
สำหรับสาเหตุที่พระพุทธเจ้าให้เราใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือในการให้ได้มาซึ่งสตินั้น ก็เป็นเพราะว่าลมหายใจเป็นของที่มีติดอยู่กับตัวของเราทุกคน
ไม่ว่าจะไปที่ไหนอย่างไร เราจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวในการนำลมหายใจติดตัวไปด้วย
ลมหายใจกับสมอง
การตามลมหายใจหรือการทำสมาธิแบบอานาปานสติ นอกจากจะทำให้เราเกิดความสงบในจิตใจแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์ยังพบ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการทำงานของสมองด้วย ในต่างประเทศมีการทำวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนข้อมูลดังกล่าว อาทิเช่น นักวิทยาศาสตร์
ในสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองกับพระภิกษุที่ปฏิบัติสมาธิมาอย่างดี รวมถึงได้ทำการทดลองกับปุถุชนธรรมดาที่ฝึกนั่งสมาธิมาเป็นระยะเวลานาน 1 ปี
ผลการวิจัยพบว่า คนที่ฝึกสมาธิเหล่านี้มีความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงยังมีการจัดตารางชีวิตประจำวัน หรือจัดตารางการทำงานได้เรียบง่าย
และมีความสับสนน้อยกว่าคนอื่น โดยระดับคลื่นสมองของพระภิกษุมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดระหว่างเข้าสมาธิ หรือแม้แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว
ก็พบว่าคลื่นสมองของท่านยังอยู่ในระดับที่ต่างจากคนปกติเป็นอันมาก ส่วนในปุถุชนนั้น จำนวนการปฏิบัติสมาธิและระยะเวลาในการฝึก จะมีผลโดยตรง
ต่อคลื่นสมองแกมมา (คลื่นสมองแกมมาเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงความทรงจำ ระดับการเรียนรู้ ระดับสมาธิและการมองโลกในแง่ดี)
คือ ยิ่งทำสมาธิมากและทำได้ดี ระดับคลื่นสมองแกมมาก็จะยิ่งสูง
ขณะที่ผลการตรวจคลื่นสมองด้วยเครื่องสนามแม่เหล็ก (MRI) ก็พบว่า การฝึกนั่งสมาธิแม้เพียง 2-3 เดือน
จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาและการเปลี่ยนแปลงทางสมองได้ ในขณะที่ผู้ฝึกเองยอมรับว่า สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น
และหลับได้สนิทมากกว่าเดิม รวมถึงมีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล อาการเครียด อาการซึมเศร้าลดลงเช่นกัน หลังจากเริ่มฝึกสมาธิ
คลื่นสมองกับสมาธิ
ในทางวิทยาศาสตร์ เราแบ่งคลื่นสมองออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1. คลื่นเบต้า (beta wave) เป็นคลื่นในภาวะปกติของคนเรา เกิดจากการรับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส ยิ่งมีข้อมูลที่ต้องสนใจเข้ามามาก
คลื่นยิ่งมีความสับสน คลื่นยิ่งสูง คล้ายกราฟรูปฟันปลา
2. คลื่นอัลฟา (alpha wave) เกิดขึ้นในขณะที่เจ้าของอยู่ในสภาวะสงบ ไม่วุ่นวาย คลื่นจะมีรอบน้อยกว่าคลื่นเบต้า เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยกว่า
แต่ขนาดของคลื่นจะใหญ่กว่าคลื่นเบต้า
3. คลื่นธีต้า (theta wave) จะมีความถี่น้อยลงไปอีก แต่มีขนาดคลื่นสูงใหญ่กว่าแบบอัลฟา แต่ไม่ค่อยพบคลื่นแบบนี้ในคนปกติ นานๆ จึงจะเห็นสักครั้ง
โดยอาจเกิดขึ้นในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น
4. คลื่นเดลต้า (delta wave) เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยที่สุด แต่ขนาดคลื่นจะใหญ่ที่สุด เกิดขึ้นในขณะหลับลึกส่วนในบางตำราจะจัดให้มีคลื่นแบบที่ 5
เรียกว่า คลื่นคอสมิก โดยในหนังสือของ “พระธรรมวิสุทธิกวี” หรือ “พระสาสนโสภณ (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)” ได้เปรียบเทียบคลื่นของสมองกับระดับ
ของการฝึกสมาธิไว้ดังนี้
1. คลื่นเบต้า คือ คลื่นสมองของคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ซึ่งก็คือปุถุชนธรรมดา
2. คลื่นอัลฟา คือ คลื่นสมองของคนที่เริ่มฝึกสมาธิแบบ “ขณิกสมาธิ” (คือสมาธิที่เป็นไปชั่วคราว)
3. คลื่นเธต้า คือ คลื่นสมองของคนที่จิตสงบมากจนเกือบถึงขั้นจะเป็น “อุปจารสมาธิ”
4. คลื่นเดลต้า คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตสงบมากขึ้น
5. คลื่นคอสมิก คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตใจสงบมากเทียบได้กับระดับ “อัปปนาสมาธิ”
จะเห็นว่าการฝึกสมาธิด้วยการตามลมหายใจดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนภิกษุไว้ใน “อานาปานสติสูตร” ดังกล่าวแล้วจะทำให้คลื่นสมองของเรามีระเบียบ
โดยยิ่งเราทำให้คลื่นสมองเป็นระเบียบได้มากเท่าไร (หรืออีกนัยหนึ่งทำให้คลื่นเบต้ามีน้อยที่สุด) ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์แก่ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
เพราะทำให้ร่างกายและจิตใจมีการผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะเป็นคนที่
สามารถรับมือกับเหตุการณ์ร้ายๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป
เมื่อการทำสมาธิส่งผลดีกับสมองถึงขนาดนี้ แล้วเราจะไม่หันมาสนใจในเรื่องการทำสมาธิกันไว้หน่อยหรือครับ
***********************
นิตยสาร HealthToday ปีที่ 11 ฉบับที่ 127 ตุลาคม 2554
โดย.นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการแพทย์หน้า 56-57.
Posted by dmhstaff/sty-lib
ผู้แต่ง: นิตยสาร HealthToday - dmhstaff@dmhthai.com - 7/11/2011
http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1132