ชาติตะวันตกออกมาเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับมาเบิกบานอีกครั้งในอียิปต์หลังกองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มประธานาธิบดีโมฮัมมัดมอร์ซีออกจากตำแหน่ง เมื่อคืนวันพุธที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยกองทัพอียิปต์อ้างว่า ก่อการรัฐประหารดังกล่าวเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ออกมาประท้วงเรียกร้องให้นายมอร์ซีออกจากตำแหน่งแต่ชาติตะวันตกมองว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่วิธีการแบบประชาธิปไตย และนายมอร์ซีซึ่งเข้ามารับตำแหน่งหลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยต้องถูกโค่นออกจากอำนาจ
นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุว่า กังวลเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับการรัฐประหารครั้งนี้ และเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่อียิปต์โดยเร็ว โดยเขาระบุในการหารือกับผู้ช่วยที่ใกล้ชิดว่า "เราเชื่อว่าอนาคตของอียิปต์นั้นอยู่ในมือของชาวอียิปต์เอง แต่ถึงอย่างนั้น เราก็กังวลเป็นอย่างมากต่อการตัดสินใจของกองทัพอียิปต์ ที่ออกมาโค่นอำนาจประธานาธิบดีมอร์ซี และระงับการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราว"
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าโอบามาได้สั่งให้มีการตรวจสอบข้อกำหนดทางกฎหมายในการส่งความช่วยเหลือของสหรัฐฯไปให้อียิปต์แล้ว และก่อนหน้านี้ทางการสหรัฐฯได้อนุมัติเงินช่วยเหลือทางด้านการทหารให้กับอียิปต์มากถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 39,000 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพุธที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่ทูตในกรุงไคโรอพยพออกจากพื้นที่แล้ว
ด้านหัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป นางแคทเธอรีน แอชตัน ได้ออกมากล่าวประนามเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ และเรียกร้องให้มีการกลับมาใช้วิธีการที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว และหวังว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะครอบคลุมในทุกกระบวนการ และใช้หลักการบริหารที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน
ด้านสหราชอาณาจักรได้ออกมาแสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ล่าสุดเช่นกัน โดยนายวิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทน และหลีกเลี่ยงความรุนแรง อย่างไรก็ตาม อังกฤษไม่สนับสนุนการแทรกแซงทางการทหารในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และหวังว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว และเปิดกว้างสำหรับทุกฝ่าย
ด้านโฆษกรัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดาเรียกร้องความสงบ และหวังว่าจะมีการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายและนำประชาธิปไตยกลับมาให้เร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน กษัตริย์อับดุลลาห์ของซาอุดิอาระเบียออกมากล่าวชื่นชมการแทรกแซงของกองทัพ และกล่าวแสดงความยินดีกับนายแอดลี มานซัวร์ ในการเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศคนใหม่ ขณะที่กลุ่มอิสลามในประเทศซูดานระบุเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ว่า พวกเขาหวังว่าความสงบและความมั่นคงจะกลับมาสู่ประเทศอียิปต์อีกครั้ง
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372909397
ชาติตะวันตกประนามรัฐประหารอียิปต์เรียกร้องให้รีบมีประชาธิปไตโดยเร็ว
นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุว่า กังวลเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับการรัฐประหารครั้งนี้ และเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่อียิปต์โดยเร็ว โดยเขาระบุในการหารือกับผู้ช่วยที่ใกล้ชิดว่า "เราเชื่อว่าอนาคตของอียิปต์นั้นอยู่ในมือของชาวอียิปต์เอง แต่ถึงอย่างนั้น เราก็กังวลเป็นอย่างมากต่อการตัดสินใจของกองทัพอียิปต์ ที่ออกมาโค่นอำนาจประธานาธิบดีมอร์ซี และระงับการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราว"
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าโอบามาได้สั่งให้มีการตรวจสอบข้อกำหนดทางกฎหมายในการส่งความช่วยเหลือของสหรัฐฯไปให้อียิปต์แล้ว และก่อนหน้านี้ทางการสหรัฐฯได้อนุมัติเงินช่วยเหลือทางด้านการทหารให้กับอียิปต์มากถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 39,000 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพุธที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่ทูตในกรุงไคโรอพยพออกจากพื้นที่แล้ว
ด้านหัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป นางแคทเธอรีน แอชตัน ได้ออกมากล่าวประนามเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ และเรียกร้องให้มีการกลับมาใช้วิธีการที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว และหวังว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะครอบคลุมในทุกกระบวนการ และใช้หลักการบริหารที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน
ด้านสหราชอาณาจักรได้ออกมาแสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ล่าสุดเช่นกัน โดยนายวิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทน และหลีกเลี่ยงความรุนแรง อย่างไรก็ตาม อังกฤษไม่สนับสนุนการแทรกแซงทางการทหารในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และหวังว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว และเปิดกว้างสำหรับทุกฝ่าย
ด้านโฆษกรัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดาเรียกร้องความสงบ และหวังว่าจะมีการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายและนำประชาธิปไตยกลับมาให้เร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน กษัตริย์อับดุลลาห์ของซาอุดิอาระเบียออกมากล่าวชื่นชมการแทรกแซงของกองทัพ และกล่าวแสดงความยินดีกับนายแอดลี มานซัวร์ ในการเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศคนใหม่ ขณะที่กลุ่มอิสลามในประเทศซูดานระบุเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ว่า พวกเขาหวังว่าความสงบและความมั่นคงจะกลับมาสู่ประเทศอียิปต์อีกครั้ง
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372909397