แบบฉบับอริยชน หลวงปู่มั่นฯ เล่าโดยพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย

แบบฉบับของอริยชน หลวงปู่มั่น
(ความยาวเทปต้นฉบับ ๗.๔๑ นาที)  
พิมพ์บทความถอดจากเทปบันทึกเสียงของหลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย  (เสียงบันทึกเทป ปี พ.ศ.๒๕๐๘)

"...คำที่ตรัสรู้ตามผู้อื่นนั้นต้องเห็นซะก่อนว่า .คำที่พระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้ามีความเป็นอยู่ยังไง จะต้องเห็นจนกระทั่ง การลุก เหิน เดิน นั่ง การพูด การจา บทบาททุกสิ่ง ทุกส่วน จนกระทั่งประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย ท่านวางตัวของท่านยังไง  อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเห็นความเป็นอยู่ของท่านทุกอย่างแล้ว  จึงจะสามารถน้อมนำเราให้เป็นไปตามรูปของท่านได้  จึงเรียกว่า สาวกพุทธ ผู้ตรัสรู้ตามผู้อื่น ที่นี้ในส่วนบางผู้บางคนเค้าบอกว่า ไม่สำคัญหรอก เราเอาตำรามาดู แล้วก็เจริญเมตตาภาวนาอยู่ตามบ้านของเราก็เป็นไปได้เหมือนกัน เอ่อจะจริงเหมือนกัน บางทีก็จริงเหมือนกัน  แต่บางทีก็อาจจะไม่จริง ซึ่งอาตมาเองก็พูดคล้ายๆว่ากับเข้าข้างตัวเองก็ได้ คล้ายๆว่าจะเอาตัวอย่างมาเล่าสู่ฟัง คืออาตมาเองเนี่ยไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าในครั้งสมัยพุทธกาล แต่ว่าได้เห็นอริยชน  ในระยะที่อาตมาผ่านมา  ได้เห็น ซึ่งอาตมาเองเนี่ยเข้าใจว่าเป็นอริยชน แต่ผู้อื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ อันนั้นก็แล้วแต่


คืออาตมาเห็นท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ซึ่งอาตมาแน่ประจักษ์เหลือเกินว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ว่ากันง่ายๆเงี้ยะ ทีนี้อาตมาเองก็ได้เห็นบทบาทของท่าน  การลุก การนั่ง การพูด จนกระทั่งเหตุการณ์อะไรต่ออะไรต่างๆ ซึ่งอาตมาเห็นท่านประสบแล้ว ท่านจะต้องวางตัวของท่านยังไง  เช่นเค้าชมท่าน เค้าตำหนิท่าน หรือคนมานำเรื่องมาเล่าให้ท่านฟังว่า มีคนตำหนิ มีคนมาเล่าให้ฟังว่า  มีคนชมอะไรก็แล้วแต่  ท่านจะวางตัวของท่านยังไง แล้วท่านจะพูดก็ วาทะนั้นท่านว่ายังไง พยายามสังเกตุแล้ว แหม  รู้สึกมัน มันปลื้มใจ โดยทุกสิ่งทุกส่วนของท่านเนี่ยที่กระตุ้นมาเป็นมาด้วยระบบของธรรม อาศัยธรรมเป็นสิ่งนำพาให้เป็นไปตามรูปของธรรมหมดเลย  อันนี้เรื่องกิเลสที่จะกระตุ้นให้กิริยาอาการ การเคลื่อนไหวของท่าน เพียงแค่กิริยาหนึ่ง อาตมาไม่เคยเห็น เพราะฉะนั้นจึงว่าอาตมากล้าพูดได้ว่าท่านอาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์แน่นอน


ซึ่งในสายตาอาตมาที่มองเนี่ย  คือที่อาตมาพูดนี้อยากจะให้เข้าใจอีกอย่างว่า  อาตมาได้เห็นความเป็นอยู่ของพระอริยเจ้าหรือพระอรหันตคือท่านอาจารย์มั่น คือได้เห็นจนกระทั่งการลุก การเหิน เดิน นั่ง ดื่ม ฉัน ตลอดคลุกคลีเวลากับหมู่คณะ  ท่านวางตัวของท่านยังไง ท่านจะพูดยังไง จนกระทั่งประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านทำยังไง อาตมาได้ดูละเอียดลออ แต่ถึงแม้ว่าอาตมาเองดำเนินตัวเองของตัวเองไม่เป็นไปตามรูปของท่าน  แต่ว่าสำหรับมโนภาพที่ได้เห็น เห็นความจริงนั่นแหล่ะ มันยังชัดประจักษ์อยู่  แต่ยังมีอย่างเดียวว่า การดำเนินตัวของเรายังไม่เป็นไปตามอย่างท่านได้ แต่ตัวของเราก็ยังพอใจเหลือเกินได้ว่า เราได้เห็น ที่พูดก็อยากจะนำมาอวดผล เพราะโยมเค้ามาพูดว่า  สาวกพุทธตรัสรู้ตามผู้อื่นเนี่ยสำคัญ  


อย่างคนเค้าบอกว่า ไม่สำคัญอะไรหรอก เราฟังวิทยุก็ได้ เค้าอธิบายให้ฟังไปในทางภาคปฏิบัติ เราฟังแล้วเราก็สามารถประพฤติปฏิบัติได้ บางคนก็บอกว่า ไม่ไม่สำคัญหรอก ท่านอาจารย์องค์เนี้ยท่านสามารถพูดธรรมะได้ดี เค้าลือว่าท่านเป็นอรหันต์  และเอาตำราของท่านมาดูก็สามารถ เพื่อดำเนินให้เป็นไปได้  อาตมาก็รู้สึกจะยาก เพราะว่าสิ่งที่นำพาให้เราเป็นไปในรูปของอริยชนนั้นไม่มี เพราะไม่มีตัวอย่างไม่มีแบบฉบับ  ความเป็นอยู่ของอริยชน เช่น เราเข้าไปใกล้ชิดผู้ที่ท่านเป็นอริยบุคคล เราจะได้เห็นความดีเด่นหลายอย่าง  ความสมบูรณ์ด้วยสติ  ซึ่งเป็นตัวคุ้มครอง ความสมบูรณ์ด้วยตัวอริยมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นตัวพิพากษาความ หรือว่าการตัดสินใจ ของท่านมันสมบูรณ์แค่ไหน ประสบการณ์ของท่านแต่ละท่านแต่ละคราวเนี่ย ท่านวางตัวของท่านยังไง ซึ่งเราจะได้เห็นละเอียดลออ การดำเนินของเรานั้นจึงจะเข้าสู่รูปนั้นได้ ถ้าเราไม่เห็นตัวอย่างนั้นแล้ว การปรับตัวของตัวเองนั้นเข้าสู่ ระบบนั้นเป็นไปได้ยากที่สุด  


เพราะฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญโดยลำพัง หรือดูตำราบำเพ็ญก็ดี ฟังวิทยุแล้วบำเพ็ญก็ดี โดยส่วนมากแล้วก็พอที่จะมองออก ส่วนกิริยาอาการแสดงออกไม่ค่อยระม่อมละไมนัก มักจะกระโด๊ก กระเด๊ก หรือบางทีความรุนแรงทางวาจามักจะมี  เพราะไม่มีแบบฉบับที่ให้เรามองเห็นเราจะได้ปรับปรุงตัวของเราให้เข้าสู่รูปนั้น มันไม่มีตัวอย่าง เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าไปถึงครูบาอาจารย์จึงได้เปรียบ ได้เปรียบอยู่กับที่ผู้ไม่ได้เห็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่มีความประพฤติดี ปฏิบัติชอบ แต่พูดแล้วไม่ใช่ตัวเองจะอวดว่า เราไปเห็นท่านอาจารย์มั่น ดีกว่าพระทั้งปวง ไม่ใช่อย่างนั้น เปรียบเทียบให้ฟัง

เพราะถ้าเราเห็นตัวอย่างแล้วมันทำตัวของเราเนี่ย ดำเนินให้เป็นไปตามรูปนั้นได้ แล้วก็ตัวอย่างเนี่ย มันสามารถที่จะกดดันหรือข่มขี่ทิฐิมานะบางอย่างของเราได้ เช่นดุจในตัวอย่างครั้งสมัยพุทธกาลเนี่ย เราคงจะทราบได้ว่าพระสารีบุตรเถระเจ้านี่ท่านไปเห็นตัวอย่างจากใครมาจึงเป็นเหตุให้บรรลุธรรมในเบื้องต้นจึงเป็นโสดาบันบุคคล  อันนี้พวกเราก็พอที่จะทราบได้ ในครั้งพระอัสสชิ พระเถระเจ้า ตรัสรู้ใหม่ พระองค์ส่งประกาศศาสนา จรไป


ส่วนพระสารีบุตรเถระเจ้าและพระโมคคัลลามีบารมีเป็นเครื่องกระตุ้นนำพา คือว่าท่านเป็นลูกของคนรวยและเป็นลูกเศรษฐี ถึงตอนเช้าก็เบิกเงินก็พากันไปเที่ยวดูมหรสพ ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ตามอัธยาศัย เมื่อหมดตังค์ก็เบิกเพิ่มอีกได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งถึงวันบารมีที่จะนำพานี้ก็คือ เมื่อดูอะไรแล้วมันก็ไม่ติด มันไม่เพลิดเพลิน เมื่อมองถึงอะไรความเป็นอยู่ในโลกแล้วมันทำให้ท้อแท้ในใจชอบกล ก็นึกอยากจะแสวงหาโมกธรรม คืออยากจะแสวงหาการตรัสรู้  แต่ก็ได้ยินบรรดาอาจารย์ประกาศตัวเป็นอริยชน บางองค์ก็ประกาศเป็นถึงศาสดา ก็เข้าไปสู่สำนักของผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นศาสดาไปศึกษาธรรมของท่าน และก็จบไตรเพทแสดงว่าจบวิชาแล้ว  ท่านก็มาสังเกตตัวของตัวเองว่ายังไม่ได้โมกธรรม เพราะว่าใจของตัวเองมันยังรักอยู่ คือมันหลง หลงรัก หลงชัง เมื่อเค้าชมเชยในใจก็เบิกบาน เมื่อเค้าตำหนิจิตใจมันก็เหี่ยวแห้ง ท่านมองเห็นชัดๆ เห็นรูปที่ควรรักมันยังรักอยู่ เห็นที่ควรอยากได้มันยังอยากได้อยู่ มันยังมีอยู่ในบางคราว ท่านจึงพิจารณาเห็นว่าตัวของท่านเองยังเป็นปุถุชนยังไม่มีโมกธรรม ส่วนพระโมคัลลาก็เช่นกัน ก็บอกกันว่า ถ้านั้นเราคงต้องออกคนละทางกัน แสวงหาครูอาจารย์ที่ได้โมกขธรรม เมื่อเราไปเจอแล้วจงเอาโมขธรรมมาสอนกันนะ อย่าทิ้งกันนะ ให้เวียนมาหากันก่อน อานัติสัญญากันไว้ก่อน....."

จัดพิมพ์และเผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมทาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่