ธรรมะหายากกว่าวัตถุ...ความหมายของภาพในพุทธประวัติ...ที่แท้จริง

ก่อนอื่น จขกท. ขออนุโมทนากับทุกท่านที่เปิดใจอ่านจบตอน เพราะปัจจุบันนี้ คนที่ตั้งใจจะอ่านมักหาได้น้อย
ครั้นในบทความที่นำมาลงจะตัดย่นย่อ ก็กลัวจะเสียความจริง ที่พ่อแม่ครูอาจารย์พูดไว้

ส่วนคำว่า " ธรรมะหายากกว่าวัตถุ " ที่จริงแล้วเป็นคำพูดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ ซึ่งองค์ท่านพูดไว้เมื่อคราวเกิดเหตุ หม้อยาแตก ในสมัยที่หลวงปู่สมชาย ยังเป็นสามเณรอยู่ ซึ่งหลวงปู่ฯ มีหน้าที่ดูแลต้มหม้อยา  แต่วันนั้นท่านฯ ได้เข้าไปยืนอยู่ใต้ถุนกุฏิของหลวงปู่มั่นฯ เพื่อฟังธรรมะ ที่หลวงปู่มั่นเทศน์ให้ครูอาจารย์ที่เป็นศิษย์รุ่นพี่ๆได้ฟัง  หลวงปู่สมชายฯ เล่าในประวัติของท่านว่า วันนั้น หลวงปู่มั่นฯ ได้เทศน์ได้จับใจลึกซึ้งยิ่งนัก ธรรมที่ท่านเทศน์นั้นยิ่งกว่าได้ยินด้วยหู แต่เข้าไปถึงจิตใจเลยทีเดียว  สามเณรสมชายยืนฟังจนลืมหม้อยาที่ต้มไว้ เมื่อกลับมาที่หม้อยา สามเณรที่อยู่ด้วยกันก็ขู่ว่าต้องโดนไล่ออก...ขณะนั้น หลวงปู่มั่นฯ ได้เดินผ่านมาพอดี จึงพูดเบาๆว่า " ธรรมะนั้นหายากกว่าวัตถุ และดีกว่าวัตถุด้วย".....

ติดตามบทความแรกได้ที่
http://ppantip.com/topic/31761680

คัดจากหนังสือบันทึกคำ
พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย
ตอบปัญหาธรรม แก่อุบาสกผู้สงสัย
(ภาคที่สาม)
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๘   ณ วัดเขาสุกิม



อุบาสกกราบเรียน       ท่านอาจารย์ครับ  กระผมเห็นภาพพุทธประวัติ ภาพประสูติปรากฏว่ามีดอกบัวเจ็ดดอก คงมีความหมายว่าดอกบัวนี้รองรับเมื่อพระราชกุมารก้าวย่างไป เพราะกระผมได้ยินเขาว่าเมื่อพระราชกุมารประสูตินั้น พระราชกุมารก้าวเดินไปได้เจ็ดก้าว และกล่าวคาถาเจ็ดตัว นี่ ประการหนึ่ง  อีกประการหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนจะมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ ฝ่าพระบาททุกก้าวย่าง และพระองค์ประทับนั่งตรงไหนก็มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับทุกครั้ง และเวลาพระองค์บรรทมก็ปรากฏดอกบัวผุดขึ้นมารองรับเสมอใช่ไหมครับท่านอาจารย์

หลวงปู่ตอบ               อุบาสก อย่างมงาย อาตมาจะนำเหตุผลของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้  ข้อนี้เทียบได้กับการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าเกิดด้วยนามกาย พระองค์ตรัสรู้ ณ จังหวัดคยา อันเป็นหนใต้ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจเสด็จเที่ยวประกาศพระศาสนาไปหนเหนือแล้ว  เสด็จด้วยพระบาท บ่ายพระพักตร์สู่อุดรทิศ ย่างพระบาทได้เจ็ดก้าวนั้น น่าจะทรงแผ่ศาสนาแพร่หลายในเจ็ดชนบท หรือเพียงเสด็จด้วยพระองค์เอง  ลองนับประมาณก็ได้เช่นนั้น นับชนบทที่อยู่ในอาณาจักรเดียวกันเป็นหนึ่ง คือ  กาสีกับโกศลหนึ่ง  มคธกับอังคะหนึ่ง  สักกะหนึ่ง  วัชชีหนึ่ง  มัลละหนึ่ง  อังสะหนึ่ง  กุรุหนึ่ง  รวมเป็นเจ็ด  


นอกจากนี้มีแต่ชนบทน้อยที่ขึ้นในชนบทใหญ่ ทรงหยุดเพียงนี้ไม่ก้าวต่อไป นี่เป็นเหตุผลของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า และที่ว่าดอกบัวผุดรับ คือ พระพุทธองค์สมควรแก่เครื่องบูชาอันประเสริฐ คือ ดอกบัว เพราะคนสมัยนั้นแบ่งชั้นวรรณะให้รู้ว่าใครเป็นใคร จึงเป็นเหตุให้มีวรรณะสี่เหล่า พวกของใครพวกของเขาไม่ปะปนกัน ฉันใด เรื่องการบูชาเขาถือขลังฉันนั้น ตัวอย่าง ใครเป็นผู้สมควรแก่เครื่องบูชาอันประเสริฐคือดอกบัว จะต้องเป็นผู้ประเสริฐ เพราะการบูชาเขาจัดเป็นสัญลักษณ์ไว้ว่า เป็นผู้ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ เพราะพระพุทธองค์คู่ควรแก่ดอกบัว คนทั้งหลายจึงนิยมบูชาพระองค์ด้วยดอกบัว เขาถือดอกบัวเป็นของสำคัญมากในสมัยนั้น


แม้แต่พระพุทธองค์ในคราวตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ทรงท้อพระทัยในการจะประกาศพระศาสนา เพราะธรรมะเป็นของลึกซึ้ง คัมภีรภาพมากมายยากที่บุคคลจะตรัสรู้ตามได้  พระองค์จึงนึกถึงอุปนิสัยของเวไนยสัตว์เทียบได้กับดอกบัวสี่เหล่า ให้อุบาสกคิดอย่างนี้แล้วกัน


อุบาสกกราบเรียน       ความ จริงน่าจะมีดอกบัวรองรับจริงนะครับท่านอาจารย์ กระผมดูภาพพุทธประวัติแล้วมีรูปดอกบัวรองรับพระองค์อยู่เสมอไป เป็นภาพที่เขียนขึ้นในประเทศเราก็ดี หรือเขียนขึ้นจากต่างประเทศก็ดี  เห็นมีอยู่อย่างนั้นครับท่านอาจารย์


หลวงปู่ตอบ               คนที่ไม่รู้จริงเขียนขึ้นก็ได้  อุบาสกดูภาพพุทธประวัติที่มีรูปเทวดาประกอบในภาพ จะเป็นเทวดาไทย เทวดาแขก เทวดาพม่า และเทวดาจีน เหล่า นี้ รูปของเทวดาจะเหมือนกันไหม ตลอดของที่ถืออยู่ในมือ ดูให้ทั่วถึงอุบาสกจะเห็นเป็นอย่างไร เรื่องที่เขียนเกี่ยวกับดอกบัวมีความหมายอย่างที่อาตมาอธิบายมานี้แหละ นอกกว่านั้นอาตมาไม่เห็นด้วย เพราะอาตมามีเหตุผลอย่างนี้ พวกเบญจวัคคีย์ห้ารูป บวชรอคอยการตรัสรู้ของพระมหาบุรุษ ในสมัยหนึ่งพระภิกษุเหล่านั้นเคยอยู่ร่วมและได้อุปัฏฐากในขณะที่พระมหาบุรุษ กำลังทำทุกกรกิริยาอยู่ ต่อมาพระองค์เลิกจากการทรมานอย่างนั้น เสวยพระกระยาหารวันละครั้ง จึงเป็นเหตุให้เบญจวัคคีย์หนีจากพระองค์ไป


เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าพระองค์เลิกจากความเพียรเวียนมาหาความมัก มาก จึงพากันหนีไปอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ทิ้งพระมหาบุรุษไว้องค์เดียว พระองค์เลิกจากการทรมานอย่างที่ทำมาแต่ก่อนนั้น หันมาบำเพ็ญในทางจิตใจ จึงเป็นเหตุให้พระองค์สำเร็จมรรคผล เมื่อพระองค์สำเร็จมรรคผลแล้ว พูดเฉพาะคราวเสด็จไปโปรดเบญจวัคคีย์  พวก เบญจวัคคีย์ไม่เชื่อว่าพระองค์ตรัสรู้ เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงพวกเบญจวัคคีย์ได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างแสดงว่า พระองค์มิได้ทรงเป็นอย่างที่เขานึกมาแต่ก่อน บัดนี้มีอะไรบางอย่างปรากฏอยู่ที่พระองค์เป็นความสง่างามและสูงส่ง มีแววแห่งความประเสริฐอย่างที่ท่านเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อน นักบวชทั้งห้านั้นมีความตื่นเต้นในใจจนกระทั่งลืมตนเองและข้อที่ได้ตกลงกัน ไว้ พากันกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตนเองเคยปฏิบัติต่อพระมหาบุรุษมาก่อน


บางท่านได้เดินไปต้อนรับพระองค์ถวายความเคารพและรับบาตรจีวรจากพระองค์ด้วย ความนอบน้อม บางท่านรีบตระเตรียมอาสนะเสียใหม่เป็นพิเศษสำหรับพระองค์  และ บางท่านรีบไปหาน้ำมาชำระพระบาทของพระองค์ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนอาสนะซึ่งนักบวชทั้งห้าจัดถวายแล้วตรัสว่า ดูกรพวกท่านทั้งหลายเราได้พบหนทางแห่งอมตธรรมแล้ว เราจะบอกพวกท่านทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายฟังและศึกษาพร้อมปฏิบัติตามที่เราพูด ไม่นานเลยท่านทั้งหลายจักรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ว่าถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเป็นความจริงเพียงใด  และท่านทั้งหลายจะเข้าถึงสิ่งซึ่งอยู่เหนือกฎแห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อัน เรียกว่ากฎธรรมดาได้ด้วยตนเอง เป็นธรรมดาอยู่เองที่นักบวชทั้งห้าจะต้องมีความฉงนสนเท่ห์เป็นอันมากในการ ได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนี้ เขาเหล่านั้นได้เห็นพระองค์บำเพ็ญเพียรอดอาหารและทรมานพระวรกาย แล้วมาเลิกเสียเพื่อให้บรรลุธรรม  


ณ บัดนี้ยังมาบอกแก่เขาว่าพระองค์ได้บรรลุธรรมนั้นแล้วด้วย นักบวชเหล่านั้นไม่ยอมเชื่ออย่างง่าย และกล่าวโต้ตอบพระองค์นานาประการ นี่แหละเรื่องนิสัยของปุถุชนย่อมกลับกลอกง่ายอย่างนี้  ยังแถมกล่าวว่า “เพื่อนโคตมะ” ทำไม เล่าเมื่อพวกเราอยู่กับท่าน ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการบำเพ็ญเพียรทรมานกายทุกชนิด ดังเช่นนักบวชทั้งหลายบำเพ็ญเพียรกันอยู่ทั่วชมพูทวีป พวกเราจึงได้นับถือท่านเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอน ท่านบำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัดอย่างนั้นแล้วยังไม่บรรลุธรรมอย่างที่ท่าน ปรารภอยู่นี้ มาบัดนี้ท่านจะมาบรรลุธรรมนั้นได้อย่างไร ในเมื่อท่านกลับมาเป็นคนมักมากละทิ้งความเพียรเสีย แล้วหมุนไปหาความสะดวกสบายตามใจเช่นนี้  


พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ท่านทั้งหลายพวกท่านเข้าใจผิด เราไม่ได้ละความเพียรแต่อย่างใดเลย เราไม่ได้อยู่อย่างหลงใหลตามใจตนเองเอาแต่สนุก  “จงฟังเราสอน” เราได้บรรลุวิชชาและญาณอันสูงสุดแล้วจริง เราสามารถสอนท่านทั้งหลายให้ท่านทั้งหลายบรรลุธรรมนั้นได้โดยตัวท่านเอง นักบวชทั้งห้าเหล่านั้นไม่สามารถจะปลงใจเชื่อถ้อยคำของพระองค์ ภาพเดิมปรากฏแก่เขาในทำนองที่จะเป็นไปไม่ได้ แม้พระองค์จะทรงขอร้องให้คนเหล่านั้นเชื่อฟังอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ยังไม่อาจเชื่อ เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่า พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ทรงบรรลุธรรมที่อยู่เหนือกฎแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงๆ แล้ว  พระองค์ทรงหลับพระเนตรอย่างเอาจริงเอาจังพร้อมทั้งตรัสว่า


“ท่าน ทั้งหลายจงฟังเราก่อน จงนึกดูให้ดีๆ ว่าตลอดเวลาที่พวกท่านทั้งหลายอยู่กับเราในครั้งกระโน้น เราได้เคยพูดเช่นนี้กับพวกท่านทั้งหลายบ้างหรือเปล่า เราได้เคยบอกพวกท่านทั้งหลายว่าเราได้บรรลุวิชชาและญาณอันสูงสุดอันทำให้ อยู่เหนือกฎแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้หรือเปล่า จงคิดดู”  พวกนักบวชทั้งห้าได้ตอบพระองค์ว่าเป็นความจริง พระองค์ไม่เคยทรงตรัสเช่นนี้แก่พวกเขามาก่อนเลย พระองค์ตรัสต่อไปว่า.. “บัดนี้ จงฟังเราก่อน ในเมื่อเรายืนยันว่าได้บรรลุหนทางแห่งอมตะแล้วจริงๆ จงฟังให้รู้ว่าเราได้พบอะไร อย่างไรเสียก่อนจะดีกว่า”  พระองค์ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้อย่างองอาจและตรึงใจ ขณะเมื่อพระองค์ตรัส พระองค์ได้ลืมพระเนตรริบหรี่ด้วยลักษณะของบุคคลผู้ที่มีความเมตตา และซื่อตรงอย่างบริสุทธิ์ จนนักบวชเหล่านั้นหมดความสงสัย ไม่ปฏิเสธในการตั้งใจฟังพระองค์อย่างแท้จริง


อุบาสกฟังแล้วได้ความว่าอย่างไร เรื่องความมหัศจรรย์ที่ปรากฏในสายตาและในหูเบญจวัคคีย์ ปรากฏว่ามีดอกบัวไหมตัวอย่างเบญจวัคคีย์จัดอาสนะถวายพระพุทธองค์ใหม่ และการตักน้ำชำระพระบาท  ถ้าพระองค์เสด็จมาบนดอกบัวจริงแล้ว คงไม่มีการชำระพระบาท เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นอาศรมที่จัดอาสนะพระองค์ประทับนั่งบนอาสนะไม่เห็นว่าประทับที่ดอกบัว และในสมัยหนึ่ง พระองค์บรรทมกลางวัน สั่งให้พระอานนท์เถรเจ้านำผ้าสังฆาฏิปูลาดให้บรรทม อุบาสกคิดเองความจริงจะมีอย่างไรกันแน่

.........

ขอน้อมใจเผยแผ่เป็นธรรมทาน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่