จากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30641285
พี่เต่าเป็นเด็กที่เก่งและฉลาด ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันกับพี่ชาย เขาสองคนจึงเป็นคู่ซี้ที่เข้ากันได้ดี พี่เต่ามักจะหาวิธีการเล่นแปลกๆ
มาให้พวกเราได้ตื่นเต้นเสมอ เช่น สอนให้ขึ้นหลังควายโดยปีนขึ้นทางเขาของมัน ไม่ใช่ทางขาด้านหลังเหมือนที่เคยทำปกติ ...
ซึ่งอันนี้ เด็กเลี้ยงควาย อย่างดิฉัน พี่ชายและน้องชายจะหูผึ่งมากเป็นพิเศษ เนื่องจากคิดว่า การได้ทำอะไรที่มันผิดแปลกแหวกแนว
ไปจากธรรมดา มันช่างเป็นอะไรที่เท่ซะเหลือหลาย ...
พวกเรายังเด็กเกินไปที่จะทำงานหนักอย่างปักข้าวดำนาได้ พ่อแม่จึงห้ามไม่ให้พวกเราลงไปยุ่มย่ามเวลาผู้ใหญ่ปักดำนา มันจึงเป็น
ช่วงโอกาสทองที่พวกเราจะได้ ฝึกเรียนวิชาขึ้นหลังควายภาคพิเศษของพี่เต่า โดยอยู่ห่างไกลสายตาของผู้ใหญ่ เมื่อถึงเวลานัดแนะ
พวกเราก็ไปรวมตัวกันที่ใต้ต้นหว้ากลางนา อาจารย์เต่าผู้ปราดเปรื่องก็เริ่มสาธิตวิธีการ เจ้าตู้ ควายหนุ่มอ้วนพีร่างกำยำถูกจูงเข้ามา
เป็นครูผู้ช่วย พี่เต่าทำให้พิธีการขลังขึ้นไปอีก โดยการเข้าไปลูบหน้าลูบเขาของเจ้าตู้ พร้อมกับบ่นพึมพำเหมือนร่ายคาถา
แต่เนื่องจากเจ้าตู้ มันเป็นควายของดิฉัน มันคุ้นเคยกับกลิ่นของดิฉันมากกว่าใคร มันจึงไม่ยอมอยู่นิ่งให้พี่เต่าปีนเขาของมัน มันทำจมูก
ฟืดฟาด สะบัดหัวไปมา ดิฉันก็บอกให้พี่เต่าร่ายคาถาใหม่ดังๆ เผื่อว่าเจ้าตู้มันอาจจะไม่ได้ยิน พี่เต่าไม่ขัดคำสั่งของดิฉัน ก็ร่ายคาถาทันที
แต่ก็ไม่ได้ผลเจ้าตู้ไม่ยอมท่าเดียว จนดิฉันต้องเข้าไปลูบหัวให้มันสงบลง แล้วดิฉันก็ขอคาถาจากพี่เต่าบ้าง ปรากฎว่าคำร่ายคาถา
ไม่เหมือนเดิม ดิฉันก็ถามพี่เต่าว่า ทำไมมันไม่เหมือนเดิม พี่เต่าอ้อมแอ้มตอบไปว่า คาถาสำหรับผู้หญิงกับผู้ชายมันคนละบทกัน
(ดูมันดริฟท์) สรุปคือ คาถาของอาจารย์เต่า คือคาถา “ตูมั่ว” นั่นเอง
พอคิดว่าหมดหวังที่จะพึ่งพาอาจารย์เต่าได้แล้ว พี่ชายก็คิดจะลองเอง หลังจากที่ร่ายมนต์ ร่ายคาถา ร่ายหมอลำ ร่ายลิเกกระทั่งร่ายไปถึง
เพลงสามสิบยังแจ๋วของคุณยอดรัก สลักใจ อะไรวุ่นวายไปหมด แล้วในที่สุด พี่ชายก็สามารถกล่อมเจ้าตู้ได้
(มันคงมึนอยู่กับคาถาอะแหละ)
มันยอมหยุดนิ่งยอมให้พี่ชายปีนขึ้นหลังของมัน โดยการก้มหน้าให้เหยียบเขาทั้งสองข้างของมัน แล้วพี่ชายก็ค่อยๆ โน้มตัวลงกอดคอ
เจ้าตู้ไว้ ใช้เท้าและขาตะเกียกตะกายกระดืบๆขึ้นไป แล้วในที่สุดก็กระดืบขึ้นมาจนถึงหลังของมันได้
พอชึ้นได้ก็ประกาศชัยชนะ (ราวกับพวก สลิ่ม ประกาศชัยชนะยังไงยังงั้น ) เสียงเย้ว ๆ ไชโยโห่ร้องของพวกเรา ทำให้เจ้าตู้ตื่นตกใจ
จากที่ยืนนิ่งอยู่ มันก็กระตุกตัวออกวิ่งทันที ส่งผลให้นักรบผู้อยากเป็นฮีโร่เหมือนนายทองเหม็นแห่งค่ายบางระจัน ที่กำลังฟินได้ที่กับ
ความเก่งกล้าสามารถของตัวเอง หงายหลังเงิบ หล่นจากหลังควายทันที โชคทีที่ดินตรงนั้นชื้นและนุ่มบวกกับร่วงลงไปบนกองหญ้าที่
ลุงวังไปเกี่ยวมากองไว้ให้ควายกิน นักรบจำเป็นจึงได้แต่จุกพูดไม่ออกเท่านั้น
เสียงเอะอะโวยวายของพวกเรา ทำให้ผู้ใหญ่ที่กำลังดำนาอยู่นั้น ต้องเงยหน้าขึ้นมาดู เสียงร้องไห้ของเจ้าน้องชายใจเสาะ ทำให้แม่ต้อง
วางมือจากมัดกล้าวิ่งมาดู พอรู้อะไรเป็นอะไรเท่านั้นแหละ ... นักรบบางระจัน ก็ต้องกลายเป็นนักรบบางระกำ ช้ำใจ กันล่ะค่ะ ...
ยังไงก็ไม่พ้นไม้เรียวของแม่ นาทีนั้นใครจะปวดท้องเมนส์อะไรแม่ก็ไม่สน ....
พูดถึงการเล่นซุกซนเป็นลิงทโมนของพวกเรา ถึงแม้จะจบลงด้วยการโดนไม้เรียวของผู้ใหญ่ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่พวกเราก็ไม่เคย
จะหลาบจำ มันยิ่งกลับกลายเป็นความท้าทายที่ถ้าหลบเลี่ยงไม่ให้ผู้ใหญ่รู้ได้ ก็จะฟินกันไปเป็นตำนานเล่าขานจนหลานบวชเลยมั๊ง(ฮา)
มีอยู่ครั้งหนึ่งเราสามคนพี่น้อง พี่ชาย ดิฉัน และน้องชายคนรอง (ส่วนน้องชายคนเล็กไม่ค่อยมีวีรกรรมร่วมกับพวกเราเท่าไหร่เพราะ
ยังเล็กอยู่) พ่อใช้ให้อยู่เฝ้านา ส่วนพวกผู้ใหญ่เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อประชุมเรื่องงานบุญประจำปี
ขี่ควายเล่นก็เบื่อ ปีนต้นไม้เล่นก็เบื่อ วิ่งไล่เตะกันก็เบื่อ เบื่อหนักเข้าพี่ชายก็คว้าหนังสะติ๊กมายิงลูกมะม่วงเล่น พอเห็นพี่ชายเล่นหนังสะติ๊ก
ท่าทางสนุก ดิฉันกับน้องชายก็อยากเล่นมั่ง แต่มีหนังสะติ๊กอยู่อันเดียวต้องแบ่งกันเล่น ในที่สุดพวกเราก็ตกลงกันเล่นประลองความแม่น
โดยใช้ต้นกล้วยขนาดย่อมเป็นเป้า
น้องชายคนรองของดิฉันเป็นเด็กขี้โรค ไม่ว่าจะเล่นอะไรกับใคร ก็ไม่เคยจะทันเขา แต่ก็ไม่เคยจะเจียมสังขารแม้แต่น้อย แต่กับดิฉัน
น้องชายไม่เคยจะลงให้ เถียงได้เป็นเถียง ข่มได้เป็นข่ม สมน้ำหน้าได้เป็นต้องทำ เราจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด
ถ้าพี่ชายยิงพลาดเป้าไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าดิฉันยิงพลาดเป้าบ้าง น้องชายเป็นต้องพูดเยาะเย้ยถากถาง (นิสัยมาร์คส่อแววรำไร อิอิ)
แต่พอทีของตัวเอง แม้จะเหนี่ยวหนังสะติ๊กให้ตึงๆเพื่อที่จะได้มีแรงส่งเยอะๆยังทำไม่ได้ พอยิงออกไปลูกกระสุน (ก้อนดินเหนียวตากแห้ง)
ก็ตก"แป๊ก"ลงใกล้ๆ ดิฉันกับพี่ชายได้แต่กลั้นหัวเราะ เพราะถ้าปล่อยก๊ากออกไปเมื่อไหร่ มันต้องทำหน้าเบ้จะร้องไห้ท่าเดียว ก็ต้องเอาใจ
หน่อยในฐานะที่เป็นน้องและขี้โรค
พอรอบที่สอง พี่ชายยิงพลาดเฉียดเป้าไปนิดเดียว น้องชายรีบกระโดดโลดเต้นตบมือเอาใจพี่ชายเป็นการใหญ่
(มันจะชื่นชมอะไรขนาดน้าน) พอทีของดิฉันบ้าง คว้าหนังสะติ๊กมาจากมือพี่ชาย ใส่กระสุนตรงตำแหน่ง ยกแขนขึ้นเหนี่ยวหนังสะติ๊กอย่าง
ช้าๆจนสุดแขน ยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนน้องชายให้หมั่นไส้เล่น ก่อนจะหรี่ตาข้างหนึ่งเพื่อเล็งเป้าไม่ให้พลาด
(ท่าของคุณเทอว์จะเยอะไปไหน) เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ปล่อยมือทันที ....
“ป๊าบ ...กะต๊าก !!”
พลั่บ ๆๆๆๆ เสียงไก่ที่เดินพลัดหลงเข้ามาในวิถีกระสุน โดนลูกกระสุนดินเหนียวของดิฉันเข้าเต็มแรง มันล้มลงดิ้นพราดๆก่อนที่จะแน่นิ่งไป
“เฮ้ย ! ไอ้นางยิงไก่ตี (ไก่ชน) พ่อตาย ไอ้นางโดนตีตายแน่ ตายแน่ๆเลยไอ้นาง” น้องชายจอมทับถมของดิฉันแหกปากตะโกนเยาะเย้ย
อย่างสะใจ
ดิฉันหน้าเสียเหลือสองนิ้วด้วยกลัวความผิดและสงสารไก่ ท่าทียียวน องอาจห้าวหาญตะกี๊อันตรธารหายไปสิ้น พี่ชายก็หน้าเสียเหมือนกัน
เพราะถ้าไล่เรียงความผิด พี่ชายก็มีความผิดด้วยที่พาน้องเล่นอะไรที่ไม่เข้าท่า ด้วยเพราะกลัวความผิด พี่ชายจึงคิดหาวิธีทำลายหลักฐาน
โดยการบอกดิฉันกับน้องชายว่า จะทำไก่อบฟางให้กิน แล้วก็ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใครให้เก็บไว้เป็นความลับ ดิฉันกับน้องชายก็พยักหน้า
รับคำพี่ชายเป็นมั่นเหมาะ
เมื่อตกลงกันได้ พี่ชายก็ไปหาปี๊บเก่าๆผุๆมาได้อันหนึ่ง แล้วก็ให้ดิฉันกับน้องชายไปหอบฟางแห้งจากกองฟางที่ลุงวังเก็บเอาไว้ให้ควาย
กินตอนหน้าแล้งมาคนละหอบใหญ่ เมื่ออุปกรณ์พร้อม พี่ชายก็เอาฟางแห้งยัดลงรองก้นปี๊บ แล้วก็วางไก่เคราะห์ร้ายลงไป แล้วก็ปิดทับ
ด้วยฟางแห้งอีกชั้นหนึ่งจนเต็ม จากนั้นก็เอาฟางที่เหลือคลุมปี๊บอีกต่อหนึ่ง เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้ว ก็จุดไม้ขีดทิ้งลงกองฟางนั้น
พอไฟเริ่มจะไหม้ฟาง เสียงดิ้นคลุกคลั่ก กะต๊าก ๆ ก็ตามมา พร้อมกับปิ๊บผุใบนั้นก็กลิ้งหลุนๆออกจากกองฟางที่ไฟเริ่มจะลามเลีย ตกตะลึง
กันอยู่พักหนึ่ง พอตั้งสติได้ พี่ชายก็รีบหักกิ่งมะม่วงต้นเล็กๆบริเวณนั้น วิ่งไปดับไฟจนมอดลง พร้อมกับไก่ตัวนั้นก็กระโจนออกจากปี๊บได้
แล้วก็วิ่งหนีเข้าป่าสับปะรดไป
วันต่อมาเมื่อพ่อโปรยข้าวเปลือกให้ไก่กิน พร้อมกับสังเกตเห็นไก่ชนรุ่นหนุ่มตัวที่พ่อหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องขุนให้เป็นไก่ชนตัวเก่งให้ได้
เดินคอเอียงๆแบบเสียศูนย์ ก็หันมาถามพวกเราที่กำลังเล่นกันอยู่บริเวณนั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แม่โวยวายว่าใครมาหักกิ่งมะม่วง
น้ำดอกไม้ที่แม่ปลูกเอาไว้ที่เพิ่งกำลังจะโต
“เพิ่น (สรรพนามที่พวกเราใช้เรียกแทนตัวเองกับพ่อแม่) ไม่ได้ทำอะไรเลยนะพ่อ มีแต่พี่ภูกับพี่นางนั่นแหละที่ทำ พี่ภูหักกิ่งมะม่วงแม่ไป
ดับไฟ ส่วนพี่นางยิงหนังกะติ๊กไปโดนไก่ตีพ่อ” ... เสียงน้องชายจอมขี้ฟ้อง ฟ้องพ่อฉอดๆ ....
( พออยู่ต่อหน้าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ เจ้าน้องชายตัวดีจะสร้างภาพทำทีเรียกดิฉันว่า “พี่นาง” ตลอด ตลอด ... มาร์คมั๊ยล่ะ ?)
อ่านต่ออาทิตย์หน้านะคะ
+ + + [กระทู้วันหยุด] . . . . ลูกชาวนา ตอนที่ 2 + + +
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พี่เต่าเป็นเด็กที่เก่งและฉลาด ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันกับพี่ชาย เขาสองคนจึงเป็นคู่ซี้ที่เข้ากันได้ดี พี่เต่ามักจะหาวิธีการเล่นแปลกๆ
มาให้พวกเราได้ตื่นเต้นเสมอ เช่น สอนให้ขึ้นหลังควายโดยปีนขึ้นทางเขาของมัน ไม่ใช่ทางขาด้านหลังเหมือนที่เคยทำปกติ ...
ซึ่งอันนี้ เด็กเลี้ยงควาย อย่างดิฉัน พี่ชายและน้องชายจะหูผึ่งมากเป็นพิเศษ เนื่องจากคิดว่า การได้ทำอะไรที่มันผิดแปลกแหวกแนว
ไปจากธรรมดา มันช่างเป็นอะไรที่เท่ซะเหลือหลาย ...
พวกเรายังเด็กเกินไปที่จะทำงานหนักอย่างปักข้าวดำนาได้ พ่อแม่จึงห้ามไม่ให้พวกเราลงไปยุ่มย่ามเวลาผู้ใหญ่ปักดำนา มันจึงเป็น
ช่วงโอกาสทองที่พวกเราจะได้ ฝึกเรียนวิชาขึ้นหลังควายภาคพิเศษของพี่เต่า โดยอยู่ห่างไกลสายตาของผู้ใหญ่ เมื่อถึงเวลานัดแนะ
พวกเราก็ไปรวมตัวกันที่ใต้ต้นหว้ากลางนา อาจารย์เต่าผู้ปราดเปรื่องก็เริ่มสาธิตวิธีการ เจ้าตู้ ควายหนุ่มอ้วนพีร่างกำยำถูกจูงเข้ามา
เป็นครูผู้ช่วย พี่เต่าทำให้พิธีการขลังขึ้นไปอีก โดยการเข้าไปลูบหน้าลูบเขาของเจ้าตู้ พร้อมกับบ่นพึมพำเหมือนร่ายคาถา
แต่เนื่องจากเจ้าตู้ มันเป็นควายของดิฉัน มันคุ้นเคยกับกลิ่นของดิฉันมากกว่าใคร มันจึงไม่ยอมอยู่นิ่งให้พี่เต่าปีนเขาของมัน มันทำจมูก
ฟืดฟาด สะบัดหัวไปมา ดิฉันก็บอกให้พี่เต่าร่ายคาถาใหม่ดังๆ เผื่อว่าเจ้าตู้มันอาจจะไม่ได้ยิน พี่เต่าไม่ขัดคำสั่งของดิฉัน ก็ร่ายคาถาทันที
แต่ก็ไม่ได้ผลเจ้าตู้ไม่ยอมท่าเดียว จนดิฉันต้องเข้าไปลูบหัวให้มันสงบลง แล้วดิฉันก็ขอคาถาจากพี่เต่าบ้าง ปรากฎว่าคำร่ายคาถา
ไม่เหมือนเดิม ดิฉันก็ถามพี่เต่าว่า ทำไมมันไม่เหมือนเดิม พี่เต่าอ้อมแอ้มตอบไปว่า คาถาสำหรับผู้หญิงกับผู้ชายมันคนละบทกัน
(ดูมันดริฟท์) สรุปคือ คาถาของอาจารย์เต่า คือคาถา “ตูมั่ว” นั่นเอง
พอคิดว่าหมดหวังที่จะพึ่งพาอาจารย์เต่าได้แล้ว พี่ชายก็คิดจะลองเอง หลังจากที่ร่ายมนต์ ร่ายคาถา ร่ายหมอลำ ร่ายลิเกกระทั่งร่ายไปถึง
เพลงสามสิบยังแจ๋วของคุณยอดรัก สลักใจ อะไรวุ่นวายไปหมด แล้วในที่สุด พี่ชายก็สามารถกล่อมเจ้าตู้ได้
(มันคงมึนอยู่กับคาถาอะแหละ)
มันยอมหยุดนิ่งยอมให้พี่ชายปีนขึ้นหลังของมัน โดยการก้มหน้าให้เหยียบเขาทั้งสองข้างของมัน แล้วพี่ชายก็ค่อยๆ โน้มตัวลงกอดคอ
เจ้าตู้ไว้ ใช้เท้าและขาตะเกียกตะกายกระดืบๆขึ้นไป แล้วในที่สุดก็กระดืบขึ้นมาจนถึงหลังของมันได้
พอชึ้นได้ก็ประกาศชัยชนะ (ราวกับพวก สลิ่ม ประกาศชัยชนะยังไงยังงั้น ) เสียงเย้ว ๆ ไชโยโห่ร้องของพวกเรา ทำให้เจ้าตู้ตื่นตกใจ
จากที่ยืนนิ่งอยู่ มันก็กระตุกตัวออกวิ่งทันที ส่งผลให้นักรบผู้อยากเป็นฮีโร่เหมือนนายทองเหม็นแห่งค่ายบางระจัน ที่กำลังฟินได้ที่กับ
ความเก่งกล้าสามารถของตัวเอง หงายหลังเงิบ หล่นจากหลังควายทันที โชคทีที่ดินตรงนั้นชื้นและนุ่มบวกกับร่วงลงไปบนกองหญ้าที่
ลุงวังไปเกี่ยวมากองไว้ให้ควายกิน นักรบจำเป็นจึงได้แต่จุกพูดไม่ออกเท่านั้น
เสียงเอะอะโวยวายของพวกเรา ทำให้ผู้ใหญ่ที่กำลังดำนาอยู่นั้น ต้องเงยหน้าขึ้นมาดู เสียงร้องไห้ของเจ้าน้องชายใจเสาะ ทำให้แม่ต้อง
วางมือจากมัดกล้าวิ่งมาดู พอรู้อะไรเป็นอะไรเท่านั้นแหละ ... นักรบบางระจัน ก็ต้องกลายเป็นนักรบบางระกำ ช้ำใจ กันล่ะค่ะ ...
ยังไงก็ไม่พ้นไม้เรียวของแม่ นาทีนั้นใครจะปวดท้องเมนส์อะไรแม่ก็ไม่สน ....
พูดถึงการเล่นซุกซนเป็นลิงทโมนของพวกเรา ถึงแม้จะจบลงด้วยการโดนไม้เรียวของผู้ใหญ่ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่พวกเราก็ไม่เคย
จะหลาบจำ มันยิ่งกลับกลายเป็นความท้าทายที่ถ้าหลบเลี่ยงไม่ให้ผู้ใหญ่รู้ได้ ก็จะฟินกันไปเป็นตำนานเล่าขานจนหลานบวชเลยมั๊ง(ฮา)
มีอยู่ครั้งหนึ่งเราสามคนพี่น้อง พี่ชาย ดิฉัน และน้องชายคนรอง (ส่วนน้องชายคนเล็กไม่ค่อยมีวีรกรรมร่วมกับพวกเราเท่าไหร่เพราะ
ยังเล็กอยู่) พ่อใช้ให้อยู่เฝ้านา ส่วนพวกผู้ใหญ่เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อประชุมเรื่องงานบุญประจำปี
ขี่ควายเล่นก็เบื่อ ปีนต้นไม้เล่นก็เบื่อ วิ่งไล่เตะกันก็เบื่อ เบื่อหนักเข้าพี่ชายก็คว้าหนังสะติ๊กมายิงลูกมะม่วงเล่น พอเห็นพี่ชายเล่นหนังสะติ๊ก
ท่าทางสนุก ดิฉันกับน้องชายก็อยากเล่นมั่ง แต่มีหนังสะติ๊กอยู่อันเดียวต้องแบ่งกันเล่น ในที่สุดพวกเราก็ตกลงกันเล่นประลองความแม่น
โดยใช้ต้นกล้วยขนาดย่อมเป็นเป้า
น้องชายคนรองของดิฉันเป็นเด็กขี้โรค ไม่ว่าจะเล่นอะไรกับใคร ก็ไม่เคยจะทันเขา แต่ก็ไม่เคยจะเจียมสังขารแม้แต่น้อย แต่กับดิฉัน
น้องชายไม่เคยจะลงให้ เถียงได้เป็นเถียง ข่มได้เป็นข่ม สมน้ำหน้าได้เป็นต้องทำ เราจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด
ถ้าพี่ชายยิงพลาดเป้าไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าดิฉันยิงพลาดเป้าบ้าง น้องชายเป็นต้องพูดเยาะเย้ยถากถาง (นิสัยมาร์คส่อแววรำไร อิอิ)
แต่พอทีของตัวเอง แม้จะเหนี่ยวหนังสะติ๊กให้ตึงๆเพื่อที่จะได้มีแรงส่งเยอะๆยังทำไม่ได้ พอยิงออกไปลูกกระสุน (ก้อนดินเหนียวตากแห้ง)
ก็ตก"แป๊ก"ลงใกล้ๆ ดิฉันกับพี่ชายได้แต่กลั้นหัวเราะ เพราะถ้าปล่อยก๊ากออกไปเมื่อไหร่ มันต้องทำหน้าเบ้จะร้องไห้ท่าเดียว ก็ต้องเอาใจ
หน่อยในฐานะที่เป็นน้องและขี้โรค
พอรอบที่สอง พี่ชายยิงพลาดเฉียดเป้าไปนิดเดียว น้องชายรีบกระโดดโลดเต้นตบมือเอาใจพี่ชายเป็นการใหญ่
(มันจะชื่นชมอะไรขนาดน้าน) พอทีของดิฉันบ้าง คว้าหนังสะติ๊กมาจากมือพี่ชาย ใส่กระสุนตรงตำแหน่ง ยกแขนขึ้นเหนี่ยวหนังสะติ๊กอย่าง
ช้าๆจนสุดแขน ยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนน้องชายให้หมั่นไส้เล่น ก่อนจะหรี่ตาข้างหนึ่งเพื่อเล็งเป้าไม่ให้พลาด
(ท่าของคุณเทอว์จะเยอะไปไหน) เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ปล่อยมือทันที ....
“ป๊าบ ...กะต๊าก !!”
พลั่บ ๆๆๆๆ เสียงไก่ที่เดินพลัดหลงเข้ามาในวิถีกระสุน โดนลูกกระสุนดินเหนียวของดิฉันเข้าเต็มแรง มันล้มลงดิ้นพราดๆก่อนที่จะแน่นิ่งไป
“เฮ้ย ! ไอ้นางยิงไก่ตี (ไก่ชน) พ่อตาย ไอ้นางโดนตีตายแน่ ตายแน่ๆเลยไอ้นาง” น้องชายจอมทับถมของดิฉันแหกปากตะโกนเยาะเย้ย
อย่างสะใจ
ดิฉันหน้าเสียเหลือสองนิ้วด้วยกลัวความผิดและสงสารไก่ ท่าทียียวน องอาจห้าวหาญตะกี๊อันตรธารหายไปสิ้น พี่ชายก็หน้าเสียเหมือนกัน
เพราะถ้าไล่เรียงความผิด พี่ชายก็มีความผิดด้วยที่พาน้องเล่นอะไรที่ไม่เข้าท่า ด้วยเพราะกลัวความผิด พี่ชายจึงคิดหาวิธีทำลายหลักฐาน
โดยการบอกดิฉันกับน้องชายว่า จะทำไก่อบฟางให้กิน แล้วก็ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใครให้เก็บไว้เป็นความลับ ดิฉันกับน้องชายก็พยักหน้า
รับคำพี่ชายเป็นมั่นเหมาะ
เมื่อตกลงกันได้ พี่ชายก็ไปหาปี๊บเก่าๆผุๆมาได้อันหนึ่ง แล้วก็ให้ดิฉันกับน้องชายไปหอบฟางแห้งจากกองฟางที่ลุงวังเก็บเอาไว้ให้ควาย
กินตอนหน้าแล้งมาคนละหอบใหญ่ เมื่ออุปกรณ์พร้อม พี่ชายก็เอาฟางแห้งยัดลงรองก้นปี๊บ แล้วก็วางไก่เคราะห์ร้ายลงไป แล้วก็ปิดทับ
ด้วยฟางแห้งอีกชั้นหนึ่งจนเต็ม จากนั้นก็เอาฟางที่เหลือคลุมปี๊บอีกต่อหนึ่ง เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้ว ก็จุดไม้ขีดทิ้งลงกองฟางนั้น
พอไฟเริ่มจะไหม้ฟาง เสียงดิ้นคลุกคลั่ก กะต๊าก ๆ ก็ตามมา พร้อมกับปิ๊บผุใบนั้นก็กลิ้งหลุนๆออกจากกองฟางที่ไฟเริ่มจะลามเลีย ตกตะลึง
กันอยู่พักหนึ่ง พอตั้งสติได้ พี่ชายก็รีบหักกิ่งมะม่วงต้นเล็กๆบริเวณนั้น วิ่งไปดับไฟจนมอดลง พร้อมกับไก่ตัวนั้นก็กระโจนออกจากปี๊บได้
แล้วก็วิ่งหนีเข้าป่าสับปะรดไป
วันต่อมาเมื่อพ่อโปรยข้าวเปลือกให้ไก่กิน พร้อมกับสังเกตเห็นไก่ชนรุ่นหนุ่มตัวที่พ่อหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องขุนให้เป็นไก่ชนตัวเก่งให้ได้
เดินคอเอียงๆแบบเสียศูนย์ ก็หันมาถามพวกเราที่กำลังเล่นกันอยู่บริเวณนั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แม่โวยวายว่าใครมาหักกิ่งมะม่วง
น้ำดอกไม้ที่แม่ปลูกเอาไว้ที่เพิ่งกำลังจะโต
“เพิ่น (สรรพนามที่พวกเราใช้เรียกแทนตัวเองกับพ่อแม่) ไม่ได้ทำอะไรเลยนะพ่อ มีแต่พี่ภูกับพี่นางนั่นแหละที่ทำ พี่ภูหักกิ่งมะม่วงแม่ไป
ดับไฟ ส่วนพี่นางยิงหนังกะติ๊กไปโดนไก่ตีพ่อ” ... เสียงน้องชายจอมขี้ฟ้อง ฟ้องพ่อฉอดๆ ....
( พออยู่ต่อหน้าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ เจ้าน้องชายตัวดีจะสร้างภาพทำทีเรียกดิฉันว่า “พี่นาง” ตลอด ตลอด ... มาร์คมั๊ยล่ะ ?)
อ่านต่ออาทิตย์หน้านะคะ