นิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รอยระมิงค์ ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
5
นับตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น รินคำไม่ได้แวะมาหาเสืออีกเลย ด้านเสือเองก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง แผลที่ไหล่ของเขาดีขึ้นมากแต่แขนขวายังมีอาการเจ็บอยู่บ้างเมื่อต้องใช้กำลัง เสือเหลือบมองดอกปีปที่เฉาแห้งอยู่บนหมอนเหมือนครั้งแรกเห็น แต่เจ้าของดอกไม้นั้นยากจะคาดเดาว่าอยู่
ที่ใด

“เจ้าหายดีแล้วก่อ” ชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบห้า ผมหยักศกสีดำสนิทเหมือนดวงตา เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีเป็นมิตร เมื่อเสือเห็นว่าข้างหลัง
ของชายผู้นี้มีบ่าวไพร่เดินตามหลายคน เสือจึงรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ

“ข้าขอบใจเจ้าน้อยมาก ที่ให้การช่วยเหลือข้าไว้”

“บ่เป็นหยัง เฮาต้องขอบใจ๋เจ้ามากกว่าที่ช่วยรินคำไว้ รินคำชอบก่อเรื่องอยู่เรื่อย ทั้งดื้อทั้งรั้น ไผเตือนก็บ่ฟัง”

มหาวงศ์พูดถึงญาติผู้น้องคนนี้ด้วยความเอ็นดู นางเป็นผู้หญิงที่แปลกที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา ทั้งทโมนและซนจนหาตัวจับยาก ทั้งสองยิ่ง
สนิทกันยิ่งขึ้นเมื่อรินคำขอเรียนฝึกดาบด้วยกัน จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนมีพรสวรรค์เท่ากับรินคำมาก่อนเลยก็ว่าได้

“ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของข้าขอรับเจ้าน้อยมหาวงศ์” เสือตอบซึมๆ

“ว่าแต่เจ้าเป็นตะหานที่มาล้อมเชียงแสน เยียะหยังยังบปิ๊กกรุงเทพไปพร้อมกับกองทัพเล่า”

“ข้าได้รับบาดเจ็บ ถูกธนูยิงตกเขา โชคดีมีคนช่วยข้าไว้ ระหว่างเดินทางในป่า ก็ได้เจอกับเจ้านางเข้า”

“ถึงจะไดก็ต้องขอบใจ๋เจ้าหลาย ญาติผู้น้องของเฮาแม้จะดื้อไปพ่อง แต่นางก็เป็นคนจิตใจ๋ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น อีกอย่างหมอบอกว่าหื้อเจ้า
พักและกินยา บ่เกินเดือน เจ้าก็ปิ๊กบ้านได้แล้ว เฮาถือว่าเจ้าเป็นแขก เจ้าเชิญพักผ่อนได้ตามสบาย แต่อย่าไปไกลเกินล่ะ ในเวียงแก้วนี้มีคุ้มเจ้า
นายหลายคุ้ม เดี๋ยวจักโดนโทษเอาได้”  ใบหน้าของเจ้าน้อยมหาวงศ์ดูอบอุ่นมากขึ้นเมื่อแย้มยิ้ม

“ข้าขอบคุณเจ้าน้อยมาก ข้าตั้งใจจะกลับบ้านทันทีเมื่อหายดี” ยิ้มล่าวอย่างซึ้งใจอีกครั้ง

“บ่ต้องรีบปิ๊กดอก พักหื้อหายดีก่อนเถอะ” เจ้าชายพูดอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลาย การได้พบเจอเจ้าน้อย
มหาวงศ์ในวันนี้ก็สร้างความประทับใจให้กับเสือเป็นอย่างมาก ทั้งอีกท่าทีที่เป็นห่วงอย่างจริงใจยิ่งทำให้เขาซาบซึ้งในน้ำใจมากยิ่งขึ้น

เมื่อไม่มีใครในห้อง ยิ้ม็มานั่งนึกถึงเรื่องราวอันเหลือเชื่อที่เกิดกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหญิงที่เขาเจอในป่ากลายเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เจ้า
เจ็ดตน ชายหนุ่มเคยได้ยินชื่อเสียงของพระเจ้ากาวิละและพระเชษฐาอีกหกพระองค์ว่าเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับไล่พม่าออกจากล้านนามา
เนิ่นนานแล้ว แค่เพียงได้คิดว่าตอนนี้เขาได้อยู่ภายในเวียงแก้วซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เขาก็รู้สึกแปลกใจกับโชคชะตาตัว
เองเสียจริง

เรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจริง มิใช่เพียงฝัน มิใช่เพียงในห้วงจิตใต้สำนึก

หรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่รู้เท่านั้นเอง

อีกสามวันต่อมา เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นกับเขาอีกรอบเมื่อนางไอ่คำเรียกให้เขาไปพบกับรินคำ “เจ้านางเรียกตัวข้าด้วยเหตุอันใดฤา”

“เฮาก็บ่ฮู้ เจ้ารีบไปเต๊อะ อย่าหื้อเจ้านางรอ” นางไอ่คำเร่งขณะที่เดินนำเสือไปยังจุดหมาย

“แล้วนี่จักเดินไปที่ใดเล่า พี่ไอ่คำ” เสือถามต่อเมื่อสังเกตว่าทางที่เขากำลังเดินอยู่นั้นเป็นคนละทางกับทางที่ไปยังคุ้มที่พักของรินคำ

“เจ้านี่ถามจ๊าดนัก หันรถม้านั่นก่อ เจ้านางรอสูอยู่ที่นั่น” นางไอ่คำชี้ไปที่รถม้าที่จอดอยู่ข้างๆกำแพงที่ทรุดโทรมเต็มไปด้วยเถาวัลย์ปกคลุมจน
ดูแทบไม่ออกว่าเคยมีประตูอยู่

“อ้าว แล้วพี่ไอ่คำไม่มากับข้าฤา” เสือละล่ำละลักถามเมื่อเห็นนางไอ่คำตั้งท่าจะเดินจากไป

“เจ้านางเรียกสูคนเดียวเจ้า” หญิงวัยกลางคนพูดแล้วหันหลังกลับไปในทันทีทิ้งให้เสือยืนอยู่คนเดียวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แค่คิดว่าเขา
ต้องไปเจอกับรินคำเพียงลำพังก็ทำเอาเขารู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที ชายหนุ่มทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินตรงไปที่จุดที่รถม้าจอดอยู่

ผิวกายขาวผ่องที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมไหล่สีม่วงอ่อนมองดูคล้ายน้ำนมที่กลิ้งอยู่บนกลีบบัวสวรรค์ อาภรณ์อันใดก็มิอาจปกปิดร่างวิลาสหงส์
ดั่งมยุรารำแพนหางได้ เจ้าตาตรูปรายตามองมาทางชายหนุ่มแวบเดียวก่อนเอ่ยปากซึ่งทำให้เขาได้สติ “ชักช้าเสียจริง มัวแต่ทำอะไรอยู่”

“เจ้านางเรียกข้ามาด้วยเหตุอันใดฤา”

“ข้าจักออกไปนอกวัง” หญิงบนรถม้ากล่าวลอยๆขึ้นมา เหมือนไม่ได้ยินคำถามของชายหนุ่ม

“เหตุใดไม่ออกทางประตูใหญ่ล่ะขอรับ” แม้จะรู้ในเจตนาของนางแต่ยิ้ม็อดถามขึ้นมาไม่ได้ นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่รินคำหนีออกนอกวังไปเที่ยว
เล่นในเมือง

“เรื่องของข้า เจ้ามีหน้าที่ของเจ้าก็จงทำหน้าที่ของเจ้าไปสิ”

“หน้าที่ของข้า” เสือทวนคำด้วยความสงสัย

“ก็บังคับรถม้าให้ข้าอย่างไรล่ะ”

“แต่ข้าไม่เคยบังคับรถม้า” เสือพูดอย่างจำนน ในใจยังนึกโกรธเจ้าหญิงงามที่ทำได้แม้แต่แกล้งคนป่วยให้บังคับรถม้า

“ถ้าเจ้าขี่ม้าเป็น เจ้าก็ต้องบังคับรถม้าได้ มันจะต่างกันอย่างไรเชียว”

ชายหนุ่มรู้ว่าถึงจะพยายามอธิบายอย่างไร หญิงสาวผู้นี้คงจะมีคำแก้ต่างที่ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกจนได้ ยิ้ม้มหน้าก้มตารับหน้าที่โดยไม่
เต็มใจ จากป่ามาสู่เมือง ทิวต้นไผ่เขียวถูกแทนที่บ้านเรือนกาแลที่เป็นเอกลักษณ์ล้านนาสลับกับวัดวาอารามเจดีย์เหลืองทองอร่าม และที่นี่เอง
เสือมองเห็นความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองนครเชียงใหม่ ก้อนอิฐขนาดใหญ่ถูกวางเรียงเป็นระเบียบทอดยาวเป็นเส้นตรงเหมือนจะแสดง
แสนยานุภาพให้ผู้คนได้ประจักษ์ทั้งสี่ทิศ เสือจำได้ว่านครเชียงใหม่สร้างขึ้นในสมัยพญามังรายโดยได้รับความร่วมมือจากพระสหายทั้งสองคือ
พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง แม้กาลเวลาจะได้ผ่านไปหลายร้อยปี แม้จักเคยร้างผู้คนด้วยศึกสงคราม แต่นครเชียงใหม่ยังคงความเป็น
มหานครแห่งล้านนาได้จนในทุกวันนี้



“นี่เจ้านางจัดออกไปนอกกำแพงฤาขอรับ” เสืออดถามขึ้นไม่ได้เมื่อหญิงสาวบนรถม้าสั่งให้ผ่านประตูเชียงเรือกซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของ
กำแพงเมือง ชายหนุ่มเป็นห่วงเรื่องของความปลอดภัยขึ้นมาในทันใด

“ใช่ข้าจะไปนอกเมือง”

เสือหันหน้ามามองเจ้านางรินคำอย่างลังเล พอได้สบสายตานิลคม เขาก็รู้ตัวว่าหมดทางเลือก ชุมชนเชียงรากดูคับคั่งด้วยผู้คนมากกว่าที่ชาย
หนุ่มคิดไว้มาก คงเป็นเพราะเป็นเมืองท่าติดริมแม่น้ำปิง ภายในกาดชาวบ้านมากมายมาขายของกันอย่างเบียดเสียด ร่มหลากสีสันเบ่งบานจน
เหมือนทุ่งดอกไม้หลากชนิด ทั้งเหลืองสดอย่างดอกดาวเรือง ส้มมลังเมลืองเหมือนชุมเห็ดเทศ เด่นแดงดั่งดอกชบาป่า ในกระจาดมีพริกสุกสี
แดงสดตัดกับหมากพลูสีเขียวเข้มชวนน้ำลายสอ ในกระบุงมีข้าวสารสีเหลืองเรียงเมล็ดพูนยิ่งกว่าเม็ดทราย บนพื้นมีเครื่องเงิน เครื่องทอง
เหลืองวับแววแข่งรัศมีประชันแสงอาทิตย์  มิใช่แค่เพียงสิ่งของ ผู้คนนอกกำแพงเมืองนั้นก็ดูหลากหลายและสดใสไม่แพ้กัน เสือคาดคะเนจาก
สายตาว่าน่าจะมีชาวบ้านถูกเทครัวมาตั้งถิ่นฐานที่บริเวณนอกกำแพงเมืองอยู่หลายหลายเชื้อชาติ เช่น ชาวลาว ชาวไทลื้อ ชาวไทใหญ่ ชาวไท
เขิน ถึงจะถูกรวมชาติแต่พวกเขาทั้งหลายก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างดี ทั้งการแต่งกาย ภาษา ทุกอย่างดูแตกต่างแต่
แสนกลมกลืนเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้

แดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่เดือนแม้น้ำปิงคงแล้งน้ำแห้งขอด  เขาได้กลิ่นน้ำในแม่น้ำปิงที่เริ่มเหือดหาย ระหัดวิดน้ำหมุนวนเอื่อยๆเหมือนคน
แก่ที่ดูจะอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงในการใช้ชีวิตดูต่างกับเรือหางแมงป่องที่ยังคงจอดเทียบท่าชูหางอย่างไม่เกรงกลัวใคร พวกเขาเดินทางมาเกือบ
ครึ่งค่อนวันแต่หญิงสาวยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรถม้า

“เมื่อไรเราจะถึงจุดหมายเสียทีล่ะขอรับ” เสือถามขึ้นมาจนได้

“ไปทางเหนืออีกหน่อย”

เมื่อเดินขึ้นไปเรื่อยๆความจอแจของชุมชนก็เริ่มน้อยลงตามลำดับ สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยทุ่งข้าวสีทองชูช่อรับลมด้วยความเพลิดเพลินใจ
เหมือนจะไม่แยแสต่อแสงอาทิตย์ที่แผดเผาลงมา ลมโชยเอากลิ่นข้าวเปลือกที่ตากแดดจนแห้งเข้ามาเตะจมูก ในทันใดนั้นเองยิ้ม็ได้ยินเสียง
คนเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากทางด้านหลัง สัญชาติญาณนำพาให้ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ไม่ได้ทันจะขยับตัวหนี

“นั่นใครน่ะ”


เมื่อจบประโยคคำถาม เด็กน้อยหญิงชายสี่คนก็กรูออกมาหลังต้นไม้ใหญ่ ดวงตาใสซื่อนั้นมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าความหวาดกลัว เด็ก
หญิงนุ่งซิ่นเก่าๆ ส่วนเด็กชายนุ่งผ้าเตี่ยวขาดๆ ใบหน้าเยาว์วัยเปื้อนไปด้วยเศษเมล็ดข้าวและเศษดิน

“เหตุใดจึงมาเล่นซนอยู่ที่นี่เล่า” หญิงชาวบนรถม้าชะโงกหน้าออกมาพูดคุยกับกลุ่มเด็กๆอย่างคุ้นเคยจนเสือเองถึงกับแปลกใจ

“เจ้านางรู้จักเด็กๆเหล่านี้ด้วยฤาขอรับ”

แทนการตอบคำถามนั้น หญิงสาวก้าวลงจากรถม้าและหอบผ้าสีขาวขนาดใหญ่ไว้ในสองมือ เสือมองตามรินคำหรือเอื้อยคำตามที่เด็กๆเรียก
ด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในใจ ผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่าแสนจะเย็นชา มีทิฐิดื้อรั้นในแววตา เอาแต่ใจตัวเองในบางครั้ง แต่ภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ไม่
ได้ใกล้เคียงกับคำเหล่านั้นเลย น้ำเสียงของนางเย็นใจเหมือนสายฝนที่ตกมาในฤดูร้อน กระแสสายตาของนางในยามที่มองเด็กๆอ่อนโยนยิ่ง
กว่าฟองอากาศที่ผุดขึ้นกลางกระแสวารี

เด็กๆดูตื่นเต้นและลิงโลดยิ่งขึ้นเมื่อเห็นของในห่อผ้า ทั้งเสื้อผ้าใหม่ อาหารแห้ง และยารักษาโรค เสียงเด็กๆที่ดังไปบนตัวบ้านทำให้สตรีผู้เป็น
มารดาได้เดินลงบันไดลงมาทันที เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง สตรีผู้มีสีหน้าอิดโรยก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง นางผู้นั้นลงไปยกมือไหว้ท่วมหัว
พร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้ที่ดังออกมาไม่เป็นภาษา เสือตระหนักรู้ในทันทีว่าผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถพูดได้ มารดาผู้เป็นใบ้ต้องหาเลี้ยงลูกทั้งสี่
คน คงจะเป็นภาระที่หนักหนาพอดู

“แม่จัน เอายานี่ไปต้มหื้อแม่เจ้ากินนะ วันละสามหน แล้วก็พาแม่เจ้าพักผ่อนต่อเถิด” รินคำหันไปพูดกับเด็กสาวอายุประมาณแปดขวบที่โตสุดใน
กลุ่ม เมื่อเด็กๆพากันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ก็เดินปลีกตัวออกไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ เบื้องหลังของพวกเขามีเพียงเสียงตำข้าวที่ดัง
ขึ้นเป็นจังหวะต่อเนื่อง เด็กชายตัวน้อยช่วยพี่สาวตำข้าวอย่างขันแข็ง ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ช่วยกันฝัดข้าวอย่างสามัคคีจนเศษแกลบปลิว
ว่อนไปทั่ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่