6
แสงอาทิตย์สีเหลืองเหลือบประกายบุษราคัมสาดไปทั่วผืนปฐพีนำความอบอุ่นและพลังแห่งชีวิตมาให้แก่สิ่งมีชีวิตบนผืนแผ่นดิน หมู่นกน้อยเริ่มโผบินออกหากิน แม่ไก่เริ่มพาลูกน้อยเดินจิกหาอาหาร วัฏจักรแห่งเวลาหมุนเวียนเช่นบรรพกาล สว่างไม่นานประเดี๋ยวก็พลันถึงเวลามืด ต่างจากในที่แห่งนี้ ที่นี่ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน แสงสว่างเพียงอย่างเดียวคือไฟจากคบเพลิงอันน้อยนิดที่ไม่พอจะให้ไออุ่นหรือกระทั่งความหวังใดๆ
เสือนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นดินที่เย็นเยียบ ยากที่จะรู้ได้ว่าเขาหลับไปนานเท่าใด กลิ่นเหม็นอับชื้นและกลิ่นเน่าของซากสัตว์ทำให้ชายหนุ่มเริ่ม
รู้สึกตัว
ที่นี่คือที่ไหนกัน
ขณะที่กำลังคิดไล่ลำดับเหตุการณ์ สองมือก็พยายามประคับประคองตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก แผลเก่าที่บริเวณหัวไหล่และรอยม่วง
ช้ำตามลำตัวยังคงเจ็บปวดเหมือนรอยสักที่ไม่มีวันจางหาย เสือมองๆรอบๆจนรู้แน่ชัดว่าเขาอยู่ภายในคุกใต้ดินแห่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านไปยังซี่
กรงข้างหน้าเขาก็เห็นชายผมยาวรุงรัง หนวดเครายาวจนมาถึงท้องกำลังจับจ้องมาที่เขา
“ท่านคือใครฤา” เสือเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
“เยียะหยังเจ้าถึงอยากจะฮู้จักชื่อเฮา ชื่อของเฮาจะมีความสำคัญอันใด” ชายสูงวัยพูดจบก็หัวเราะเหมือนคนเสียสติ แววตาเลื่อนลอยของชายผู้
นั้นทำให้เสือเกิดความสงสารขึ้นมา
“ข้าเชื่อเสือ ข้าฆ่าทหารคนหนึ่งในคุ้ม ข้าเลยต้องมาลงเอยที่นี่ ท่านเล่าทำอะไรผิดถึงได้มาอยู่ที่นี่” เสือพูดกับเพื่อนใหม่ การอยู่ในคุกนั้นจะ
โหดร้ายแต่เพียงได้รู้ว่ามีคนอยู่ด้วยเขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“ความผิดของเฮามีอยู่ข้อเดียวคือไว้ใจคนผิด” คำพูดลุ่มลึกบาดคมที่กลั่นออกมาจากความเจ็บปวดทำให้สายตาเลื่อนลอยนั้นดูหมองลงแทบจะในทันใด
"แล้วท่านอยู่ที่นี่มานานหรือยัง” เสือถามต่อ
“เฮาคงตอบเจ้าบ่ได้ มันนานจนเฮาลืมนับไปแล้วเสียด้วยสิ” เมื่อพูดจบชายผู้นั้นก็หัวเราะดังก้องไปทั่ว เสียงหัวเราะที่ดูขาดสติอาจทำให้ชาย
ตรงหน้าดูไม่ต่างจากคนบ้า มีเพียงสายตานักปราชญ์เท่านั้นที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เครื่องหน้ารกรุงรัง แม้จะสงสัยในความเป็นมาเป็นไปของชาย
นิรนามผู้นี้แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะตั้งคำถามได้อีก เสือเอนหลังพิงผนังหินที่ไม่ต่างอะไรจากถ้ำ เสือนั่งมองโชคชะตาของตนเองที่
ริบหรี่ลงคล้ายเปลวคบเพลิงที่แขวนไว้ในคุก
ชั่วความคิดหนึ่ง เขาปรารถนาความตาย
อะไรมันจะแย่ไปกว่าการนั่งรอคอยความตายในห้องแคบๆแบบนี้ จะมีสักคนไหมที่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ หรือเขาจะต้องตายโดยที่ไม่มีใครสนใจ บางที
วันพรุ่งนี้ของเขาอาจจะไม่มีวันได้มาถึงอีกเลยก็เป็นได้
พระพักตร์ของพระพุทธรูปตรงหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตา สายพระเนตรทอดต่ำลงอย่างอ่อนโยน ทำให้คนที่นั่งประนมมือมองนั้นคลาย
ความกังวลใจไปได้บ้าง หญิงสาวยกสวยดอกที่จัดอยู่ในกรวยใบตองนำขึ้นไปวางบนขันแก้วตังสามที่เปรียบดั่งคุณของพระรัตนตรัยด้วยความ
เคารพอย่างสูงสุด ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์จัดวางอยู่เคียงข้างกรวยข้าวตอกและธูปเทียน สิ่งสักการะสูงค่าถูกนำมาจัดวางอย่างสวยงามและเป็น
ระเบียบอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ คนนั่งประนมมือก้มลงกราบพระสามคราวก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานขอให้เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นได้จบสิ้นลงเสียที แต่
ไม่ทันจะได้หลับตาลงก็มีเสียงเรียกจากสาวใช้ที่รออยู่ด้านนอก “เจ้านางรินคำเจ้า เจ้าฟ้าหมอกเมืองมีเรื่องมาขอพบเจ้า”
“เฮาบ่จำเป็นต้องออกไปพบเปิ้น”รินคำตอบเสียงเรียบแล้วตั้งใจหันไปภาวนาต่อ
“แต่ว่า คือ”
“ปี้ไอ่คำ มีอะหยังก็อู้มาเถิด” รินคำหันไปถามสาวใช้ที่ตอนนี้ยืนอ้ำอึ้ง ทำท่าเหมือนกลืนๆไม่เข้าคายไม่ออก
“คือเจ้าฟ้าหมอกเมืองบอกว่าหากเจ้านางบ่ไปหา จะบ่ยอมปิ๊กคุ้มเจ้า”
พอได้ยินดังนี้ รินคำก็ก้มกราบลาพระก่อนจะยอมเดินออกไปพร้อมนางไอ่คำ ใช่ว่าเธอจะออกมาเพราะคำพูดไม่รู้จักคิดแบบนั้นแต่ในใจของเธอ
มีแผนอะไรที่ดีกว่านั้น
ซุ้มประตูที่มีลวดลายไม้ฉลุเป็นลายดอกไม้เครือด้วยด้วยเถาวัลย์ดูอ่อนช้อยราวกับเป็นของจริง กอปรกับกลิ่นหอมจากต้นปีบที่ออกดอกทั่วต้น
ทำให้คุ้มนี้เป็นคุ้มที่ร่มรื่นและน่าอยู่ทีเดียว เหล่าสาวใช้นั่งเรียงรายห่อใบเมี่ยงอย่างสวยงาม บ้างก็นั่งมวนบุหรี่ด้วยใบตองกล้วย กลิ่นยาสูบ
หวานเอียนเตะจมูกจนยากจะถอนใจได้
“ เจ้าฟ้าหมอกเมือง ที่ท่านบอกว่าจะบ่ยอมไปไหนหากเฮาบ่มาพบท่าน มันช่างฟังดูเหลวไหลสิ้นดี เยียะหยังผู้ใหญ่อย่างท่านถึงกล่าวคำจะอั้น
ออกมาได้”
คำทักทายที่เจ็บปวดและเย็นชาทำให้คำพูดมากมายที่เตรียมมาถอยลงมาตีบตันที่คอหอย “เฮามีเรื่องสำคัญจะมาอู้กับเจ้านาง”
“เรื่องของอ้ายเสือใช่ก่อ” รินคำเดินตรงเข้ามา สายตานิลจับจ้องเหมือนกำลังมองหาความจริง
“เฮาฮู้ว่าเปิ้นเป็นคนช่วยเจ้านาง แต่สิ่งที่เปิ้นทำ มันฆ่าผายอ ทหารของเอกของเฮา จริงๆเฮาจะฆ่ามันตั้งแต่วันนั้นก็ได้” เจ้าชายเมืองยางแดง
พูดอย่างเจ็บแค้น
“ท่านจะบอกว่าที่ท่านไม่ฆ่าเปิ้นผู้นั้นก็เพราะเฮา” รินคำแค่นหัวเราะออกมา
“ใช่ เฮาบ่อยากทำร้ายคนที่ช่วยเจ้านาง”
“ถ้าแบบนั้นท่านก็ปล่อยตัวเปิ้นสิ” รินคำยื่นคำขาด
“เจ้านางก็ฮู้ว่าเป็นไปบ่ได้ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“ถ้าแบบนั้นก็ข้าก็บ่มีอะหยังต้องอู้กับท่านอีก” เจ้านางรินคำพูดสั้นๆก่อนจะหันหลังกลับไป
“เจ้านางห่วงมันถึงเพียงนี้เลยกา” ชายหนุ่มถามอย่างปวดร้าว ตอนแรกเขาไม่เคยนึกติดใจอะไร แต่พอนึกตามอย่างที่ท้าวคำรุ่งพูดก็ทำให้เกิด
ความสงสัยตามมา ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองในป่าเป็นเวลานานคงจักมีความผูกพันกันอยู่ไม่น้อย ไหนจะโครงหน้าได้สัดส่วนดุจคน
ธรรพ์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอำพันที่พร้อมจะเปล่งประกายในทุกเมื่อ จะมีหญิงสาวสักกี่คนกันที่ไม่รู้สึกอะไรเมื่อสบดวงตาคู่นั้น
“เจ้าฟ้าหมอกเมืองกล้าดีจะไดจึงได้อู้จะอั้น” ดวงตานิลร้อนวาบเมื่อถูกกล่าวหา ใบหน้าขาวนั้นเรื่อแดงด้วยความโกรธ
“ถ้าเฮาไปขอลดโทษให้กับเปิ้ร เจ้านางจะยิ้มหื้อเฮาเหมือนกับวันนั้นได้ก่อ เจ้านางจะอู้กับเฮาอย่างที่อู้กับคนอื่นก่อ” สายตาร้องขอความเห็น
ใจนั้นแสนเศร้าพอๆกับความเจ็บปวดที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา
“บ่มีไผบังคับใจเฮาได้ ท่านก็เช่นกัน ข้าบ่อาจห้ามความฮู้สึกของท่านที่มีต่อเฮาได้ เฮาหันความดีในตัวท่าน หาใช่ความฮัก” หญิงสาวพูด
ความจริงจากใจ
“จะไดเฮาก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจ้านาง เจ้านางควรจักไว้เกียรติข้าพ่อง” เจ้าชายเมืองยางแดงพูดเสียงสั่น เขากำมือแน่นด้วยความขุ่นเคือง
การยอมรับความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ดูยากเย็นสำหรับคนที่ไม่เคยได้รับการปฎิเสธอย่างเช่นเขา
“ถึงท่านจะบังคับตีตราตัวเฮา แต่บ่มีวันที่ท่านจะมาบังคับใจของเฮาได้ เฮาขอตัวก่อน” รินคำเม้มปากเป็นเส้นตรงจนดูน่ากลัว แม้เธอจะไม่ได้
เกลียดเขาอย่างที่เขาคิด แต่เธอคงทำใจลำบากถ้าจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคนที่ไม่ได้รัก ขณะที่เดินจากไปรินคำก็ยังนึกหาเหตุผลที่เสือต้อง
ทำร้ายคนในคุ้มของเจ้าฟ้าหมอกเมืองไม่ออก แต่จะหาเหตุผลไปก็เท่านั้น ในเมื่อโทษของเขาคือความตายเพียงอย่างเดียว ถึงอย่างไรเธอต้อง
ช่วยเขาให้จงได้ เมื่อแผนแรกไม่ได้ผลก็คงต้องหาทางกันใหม่
ทำไมเธอถึงได้ว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้ หรือเธอจะเป็นห่วงเป็นใยเขาจริงๆ
รินคำเอ๋ย เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่เธออยากจะช่วยเหลือเขาก็เพียงเพราะเขาเป็นคนที่มีบุญคุณของเธอก็เท่านั้นเอง รินคำเฝ้าบอกกับตัวเองและ
ตั้งใจให้ตัวเองเชื่อแบบนั้นจริงๆให้ได้
นิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รอยระมิงค์ ตอนที่ 6
แสงอาทิตย์สีเหลืองเหลือบประกายบุษราคัมสาดไปทั่วผืนปฐพีนำความอบอุ่นและพลังแห่งชีวิตมาให้แก่สิ่งมีชีวิตบนผืนแผ่นดิน หมู่นกน้อยเริ่มโผบินออกหากิน แม่ไก่เริ่มพาลูกน้อยเดินจิกหาอาหาร วัฏจักรแห่งเวลาหมุนเวียนเช่นบรรพกาล สว่างไม่นานประเดี๋ยวก็พลันถึงเวลามืด ต่างจากในที่แห่งนี้ ที่นี่ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน แสงสว่างเพียงอย่างเดียวคือไฟจากคบเพลิงอันน้อยนิดที่ไม่พอจะให้ไออุ่นหรือกระทั่งความหวังใดๆ
เสือนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นดินที่เย็นเยียบ ยากที่จะรู้ได้ว่าเขาหลับไปนานเท่าใด กลิ่นเหม็นอับชื้นและกลิ่นเน่าของซากสัตว์ทำให้ชายหนุ่มเริ่ม
รู้สึกตัว
ที่นี่คือที่ไหนกัน
ขณะที่กำลังคิดไล่ลำดับเหตุการณ์ สองมือก็พยายามประคับประคองตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก แผลเก่าที่บริเวณหัวไหล่และรอยม่วง
ช้ำตามลำตัวยังคงเจ็บปวดเหมือนรอยสักที่ไม่มีวันจางหาย เสือมองๆรอบๆจนรู้แน่ชัดว่าเขาอยู่ภายในคุกใต้ดินแห่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านไปยังซี่
กรงข้างหน้าเขาก็เห็นชายผมยาวรุงรัง หนวดเครายาวจนมาถึงท้องกำลังจับจ้องมาที่เขา
“ท่านคือใครฤา” เสือเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
“เยียะหยังเจ้าถึงอยากจะฮู้จักชื่อเฮา ชื่อของเฮาจะมีความสำคัญอันใด” ชายสูงวัยพูดจบก็หัวเราะเหมือนคนเสียสติ แววตาเลื่อนลอยของชายผู้
นั้นทำให้เสือเกิดความสงสารขึ้นมา
“ข้าเชื่อเสือ ข้าฆ่าทหารคนหนึ่งในคุ้ม ข้าเลยต้องมาลงเอยที่นี่ ท่านเล่าทำอะไรผิดถึงได้มาอยู่ที่นี่” เสือพูดกับเพื่อนใหม่ การอยู่ในคุกนั้นจะ
โหดร้ายแต่เพียงได้รู้ว่ามีคนอยู่ด้วยเขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“ความผิดของเฮามีอยู่ข้อเดียวคือไว้ใจคนผิด” คำพูดลุ่มลึกบาดคมที่กลั่นออกมาจากความเจ็บปวดทำให้สายตาเลื่อนลอยนั้นดูหมองลงแทบจะในทันใด
"แล้วท่านอยู่ที่นี่มานานหรือยัง” เสือถามต่อ
“เฮาคงตอบเจ้าบ่ได้ มันนานจนเฮาลืมนับไปแล้วเสียด้วยสิ” เมื่อพูดจบชายผู้นั้นก็หัวเราะดังก้องไปทั่ว เสียงหัวเราะที่ดูขาดสติอาจทำให้ชาย
ตรงหน้าดูไม่ต่างจากคนบ้า มีเพียงสายตานักปราชญ์เท่านั้นที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เครื่องหน้ารกรุงรัง แม้จะสงสัยในความเป็นมาเป็นไปของชาย
นิรนามผู้นี้แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะตั้งคำถามได้อีก เสือเอนหลังพิงผนังหินที่ไม่ต่างอะไรจากถ้ำ เสือนั่งมองโชคชะตาของตนเองที่
ริบหรี่ลงคล้ายเปลวคบเพลิงที่แขวนไว้ในคุก
ชั่วความคิดหนึ่ง เขาปรารถนาความตาย
อะไรมันจะแย่ไปกว่าการนั่งรอคอยความตายในห้องแคบๆแบบนี้ จะมีสักคนไหมที่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ หรือเขาจะต้องตายโดยที่ไม่มีใครสนใจ บางที
วันพรุ่งนี้ของเขาอาจจะไม่มีวันได้มาถึงอีกเลยก็เป็นได้
พระพักตร์ของพระพุทธรูปตรงหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตา สายพระเนตรทอดต่ำลงอย่างอ่อนโยน ทำให้คนที่นั่งประนมมือมองนั้นคลาย
ความกังวลใจไปได้บ้าง หญิงสาวยกสวยดอกที่จัดอยู่ในกรวยใบตองนำขึ้นไปวางบนขันแก้วตังสามที่เปรียบดั่งคุณของพระรัตนตรัยด้วยความ
เคารพอย่างสูงสุด ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์จัดวางอยู่เคียงข้างกรวยข้าวตอกและธูปเทียน สิ่งสักการะสูงค่าถูกนำมาจัดวางอย่างสวยงามและเป็น
ระเบียบอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ คนนั่งประนมมือก้มลงกราบพระสามคราวก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานขอให้เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นได้จบสิ้นลงเสียที แต่
ไม่ทันจะได้หลับตาลงก็มีเสียงเรียกจากสาวใช้ที่รออยู่ด้านนอก “เจ้านางรินคำเจ้า เจ้าฟ้าหมอกเมืองมีเรื่องมาขอพบเจ้า”
“เฮาบ่จำเป็นต้องออกไปพบเปิ้น”รินคำตอบเสียงเรียบแล้วตั้งใจหันไปภาวนาต่อ
“แต่ว่า คือ”
“ปี้ไอ่คำ มีอะหยังก็อู้มาเถิด” รินคำหันไปถามสาวใช้ที่ตอนนี้ยืนอ้ำอึ้ง ทำท่าเหมือนกลืนๆไม่เข้าคายไม่ออก
“คือเจ้าฟ้าหมอกเมืองบอกว่าหากเจ้านางบ่ไปหา จะบ่ยอมปิ๊กคุ้มเจ้า”
พอได้ยินดังนี้ รินคำก็ก้มกราบลาพระก่อนจะยอมเดินออกไปพร้อมนางไอ่คำ ใช่ว่าเธอจะออกมาเพราะคำพูดไม่รู้จักคิดแบบนั้นแต่ในใจของเธอ
มีแผนอะไรที่ดีกว่านั้น
ซุ้มประตูที่มีลวดลายไม้ฉลุเป็นลายดอกไม้เครือด้วยด้วยเถาวัลย์ดูอ่อนช้อยราวกับเป็นของจริง กอปรกับกลิ่นหอมจากต้นปีบที่ออกดอกทั่วต้น
ทำให้คุ้มนี้เป็นคุ้มที่ร่มรื่นและน่าอยู่ทีเดียว เหล่าสาวใช้นั่งเรียงรายห่อใบเมี่ยงอย่างสวยงาม บ้างก็นั่งมวนบุหรี่ด้วยใบตองกล้วย กลิ่นยาสูบ
หวานเอียนเตะจมูกจนยากจะถอนใจได้
“ เจ้าฟ้าหมอกเมือง ที่ท่านบอกว่าจะบ่ยอมไปไหนหากเฮาบ่มาพบท่าน มันช่างฟังดูเหลวไหลสิ้นดี เยียะหยังผู้ใหญ่อย่างท่านถึงกล่าวคำจะอั้น
ออกมาได้”
คำทักทายที่เจ็บปวดและเย็นชาทำให้คำพูดมากมายที่เตรียมมาถอยลงมาตีบตันที่คอหอย “เฮามีเรื่องสำคัญจะมาอู้กับเจ้านาง”
“เรื่องของอ้ายเสือใช่ก่อ” รินคำเดินตรงเข้ามา สายตานิลจับจ้องเหมือนกำลังมองหาความจริง
“เฮาฮู้ว่าเปิ้นเป็นคนช่วยเจ้านาง แต่สิ่งที่เปิ้นทำ มันฆ่าผายอ ทหารของเอกของเฮา จริงๆเฮาจะฆ่ามันตั้งแต่วันนั้นก็ได้” เจ้าชายเมืองยางแดง
พูดอย่างเจ็บแค้น
“ท่านจะบอกว่าที่ท่านไม่ฆ่าเปิ้นผู้นั้นก็เพราะเฮา” รินคำแค่นหัวเราะออกมา
“ใช่ เฮาบ่อยากทำร้ายคนที่ช่วยเจ้านาง”
“ถ้าแบบนั้นท่านก็ปล่อยตัวเปิ้นสิ” รินคำยื่นคำขาด
“เจ้านางก็ฮู้ว่าเป็นไปบ่ได้ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“ถ้าแบบนั้นก็ข้าก็บ่มีอะหยังต้องอู้กับท่านอีก” เจ้านางรินคำพูดสั้นๆก่อนจะหันหลังกลับไป
“เจ้านางห่วงมันถึงเพียงนี้เลยกา” ชายหนุ่มถามอย่างปวดร้าว ตอนแรกเขาไม่เคยนึกติดใจอะไร แต่พอนึกตามอย่างที่ท้าวคำรุ่งพูดก็ทำให้เกิด
ความสงสัยตามมา ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองในป่าเป็นเวลานานคงจักมีความผูกพันกันอยู่ไม่น้อย ไหนจะโครงหน้าได้สัดส่วนดุจคน
ธรรพ์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอำพันที่พร้อมจะเปล่งประกายในทุกเมื่อ จะมีหญิงสาวสักกี่คนกันที่ไม่รู้สึกอะไรเมื่อสบดวงตาคู่นั้น
“เจ้าฟ้าหมอกเมืองกล้าดีจะไดจึงได้อู้จะอั้น” ดวงตานิลร้อนวาบเมื่อถูกกล่าวหา ใบหน้าขาวนั้นเรื่อแดงด้วยความโกรธ
“ถ้าเฮาไปขอลดโทษให้กับเปิ้ร เจ้านางจะยิ้มหื้อเฮาเหมือนกับวันนั้นได้ก่อ เจ้านางจะอู้กับเฮาอย่างที่อู้กับคนอื่นก่อ” สายตาร้องขอความเห็น
ใจนั้นแสนเศร้าพอๆกับความเจ็บปวดที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา
“บ่มีไผบังคับใจเฮาได้ ท่านก็เช่นกัน ข้าบ่อาจห้ามความฮู้สึกของท่านที่มีต่อเฮาได้ เฮาหันความดีในตัวท่าน หาใช่ความฮัก” หญิงสาวพูด
ความจริงจากใจ
“จะไดเฮาก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจ้านาง เจ้านางควรจักไว้เกียรติข้าพ่อง” เจ้าชายเมืองยางแดงพูดเสียงสั่น เขากำมือแน่นด้วยความขุ่นเคือง
การยอมรับความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ดูยากเย็นสำหรับคนที่ไม่เคยได้รับการปฎิเสธอย่างเช่นเขา
“ถึงท่านจะบังคับตีตราตัวเฮา แต่บ่มีวันที่ท่านจะมาบังคับใจของเฮาได้ เฮาขอตัวก่อน” รินคำเม้มปากเป็นเส้นตรงจนดูน่ากลัว แม้เธอจะไม่ได้
เกลียดเขาอย่างที่เขาคิด แต่เธอคงทำใจลำบากถ้าจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคนที่ไม่ได้รัก ขณะที่เดินจากไปรินคำก็ยังนึกหาเหตุผลที่เสือต้อง
ทำร้ายคนในคุ้มของเจ้าฟ้าหมอกเมืองไม่ออก แต่จะหาเหตุผลไปก็เท่านั้น ในเมื่อโทษของเขาคือความตายเพียงอย่างเดียว ถึงอย่างไรเธอต้อง
ช่วยเขาให้จงได้ เมื่อแผนแรกไม่ได้ผลก็คงต้องหาทางกันใหม่
ทำไมเธอถึงได้ว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้ หรือเธอจะเป็นห่วงเป็นใยเขาจริงๆ
รินคำเอ๋ย เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่เธออยากจะช่วยเหลือเขาก็เพียงเพราะเขาเป็นคนที่มีบุญคุณของเธอก็เท่านั้นเอง รินคำเฝ้าบอกกับตัวเองและ
ตั้งใจให้ตัวเองเชื่อแบบนั้นจริงๆให้ได้