ความเข้าใจไม่ผิดของท่านปยุตโต กับการ แถกแถ ของพวกเม็ดมะขาม

ประเด็นสำคัญที่ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ การที่ใครบางคน หรือบางกลุ่มบางพวก พยายามกล่าวในทำนองว่า
สัมมาทิฐิบุคคล ในพระพุทธศาสนา ต้องหมายถึง ผู้ที่เชื่อในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบตายเข้าโลง) นั้นไม่จริง
ทั้งนี้เพราะ ปรากฏหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกอย่างชัดเจนว่า แม้แต่พวกมิจฉาทิฐิบางพวก ก็เชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เช่นกัน !



ช่างน่าขำ ที่แม้จะปรากฏหลักฐานชัดเจนปานนี้แล้ว ใครบางคน ก็ยังแสดงอาการ "เก้อยาก" ด้วยการไม่ยอมรับความจริง
พร้อมๆ กับพยายามที่จะดิ้นรน "แถกแถ" บิดเบือนให้ความเชื่อผิดๆ ของพวกมัน เป็นสิ่งที่ถูกต้องให้ได้
โดยมิได้มีความเกรงกลัวหรือละอายต่อบาปเลยแม้แต่น้อย  ......... หน้าด้านจังเลยเนอะ



ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตให้ดีด้วยว่า เวลาที่คนพวกนี้ยกหลักฐานมาอ้างความเชื่อโง่ๆ ของพวกมัน
ก็มักจะยกมาแต่พุทธพจน์จาก มหาจัตตารีสกสูตร ทั้งๆ ที่พระสูตรดังกล่าว ก็มิได้ระบุเอาไว้ตรงไหนเลยว่า
ความเชื่อในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ(แบบตายเข้าโลง) เป็นสัมมาทิฐิ
คนพวกนั้นเพียงแต่อาศัยการ "ตีความ" เอาเองจากพุทธพจน์ที่ตรัสถึง "โลกนี้มี โลกหน้ามี"



แต่ปัญหาดันมาเกิดขึ้น ก็เพราะท่านปยุตโต ได้อธิบายความว่า ผู้คนสามารถประพฤติธรรม โดย
(๑) ไม่ต้องอ้างนรกสวรรค์ และ (๒) ไม่ต้องยึดมั่นในความหวังผลที่จะมีในโลกหน้า
ซึ่งย่อมเป็นคำอธิบายที่ "ขัดแย้ง" กับการ "ตีความ" ของพวกเม็ดมะขาม อย่างมิต้องสงสัย

ดังนั้น ประเด็นของเรื่องมันจึงอยู่ที่ว่า ระหว่างท่านปยุตโต กับ พวกเม็ดมะขาม
ใครมีความเข้าใจ หรือ สามารถ ตีความ อปัณณกสูตร และ มหาจัตตารีสกสูตร ได้อย่าง ถูกต้อง มากกว่ากัน

หรือมิใช่ ?



อปัณณกธรรม หมายถึง หลักการที่ไม่มีความผิดพลาดอย่างแน่นอน มีขั้นตอนในการพิจารณา ดังนี้

๑) ในขั้นแรก พึงพิจารณา วาทะ ของ สมณพราหมณ์ ๒ พวกว่า
พวก ๑ กล่าวว่า ทานให้แล้ว ไม่มีผล ฯลฯ โลกนี้ ไม่มี โลกหน้า ไม่มี ฯลฯ
พวก ๒ กล่าวว่า ทานให้แล้ว มีผล ฯลฯ โลกนี้ มี โลกหน้า มี ฯลฯ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใน ๒ พวกนี้ พวกที่ปฏิเสธ ผล วิบาก โลกนี้ โลกหน้า ฯลฯ
สิ่งที่เป็นไปได้สำหรับคนพวกนี้ ก็คือ เขาจะละทิ้ง กายสุจริต วจีสุจริต และ มโนสุจริต
ในขณะที่อีกพวกหนึ่ง มองเห็นโทษของ อกุศลธรรม ทั้ง ๓ อย่างนั้น

โดยคนที่เป็น "วิญญูชน"  ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า เมื่อ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ฯลฯ
(๑) หากแม้ว่า โลกหน้าไม่มี เขาย่อมมีความสุขความปลอดภัยในโลกนี้
(๒) และหากว่า โลกหน้ามี เขาย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์
ซึ่งนับได้ว่า เป็นข้อดีทั้ง ๒ ส่วน

แปลความได้ว่า ......
เราสามารถถือศีลปฏิบัติธรรมได้โดย ไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องนรกสวรรค์
หรือหวังผลอะไรๆ ในโลกหน้า ก็ได้ ตามคำอธิบายของท่านปยุตโต
ซึ่งย่อมเท่ากับว่า .........
ไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อในเรื่อง  การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบตายเข้าโลง)
เพราะ แม้จะเชื่อในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบตายเข้าโลง)
แต่หากว่า "ความเชื่อ" นั้นไม่เอื้อเฟื้อต่อการเกิด กุศลธรรม ที่สอดคล้องกับ หลักกรรม
ก็ย่อมมิอาจนับว่าเป็นส่วนของ สัมมาทิฐิ ได้เลย ดังที่ปรากฏอยู่ในเหล่าสาวกของ มักขลิโคสาล    

หรือมิใช่ ?



๒) ในขั้นที่ ๒ เมื่อผ่านการพิจารณาในขั้นที่ ๑ มาแล้ว พึงพิจารณาต่อไปอีกว่า มีความเชื่อในความดับภพหมดสิ้น หรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เป็น "วิญญูชน" พึงพิจารณาว่า

(๑) สมณพราหมณ์ที่กล่าวว่า ความดับภพหมดสิ้น ไม่มี ........... เราก็มิได้เห็น
(๒) สมณพราหมณ์ที่กล่าวว่า ความดับภพหมดสิ้น มีอยู่จริง ........... นี้เราก็ไม่ทราบ

ดังนั้น เมื่อเราก็มิได้รู้แจ้งเห็นจริง จึงไม่อาจกล่าวลงไปได้อย่างเด็ดขาดว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จ
แต่มันมีความเป็นไปได้ ทั้ง ๒ ทาง กล่าวคือ ความเกิดในหมู่เทพ กับ ความดับทุกข์ในปัจจุบัน



กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ ในวาทะ ทั้ง ๒ อย่างนั้น
(๑) สมณพราหมณ์ที่กล่าวว่า ความดับภพหมดสิ้น ไม่มี ........... อยู่ในข้างของ ความติดใคร่ ผูกพันรัดตัว ฯลฯ
(๒) สมณพราหมณ์ที่กล่าวว่า ความดับภพหมดสิ้น มีอยู่จริง ........... อยู่ในฝักฝ่ายของผู้ปฏิบัติเพื่อนิพพิทา วิราคะ นิโรธ แห่งภพทั้งหลาย



เมื่อต้องพิจารณาว่า คำสอนของสมณพราหมณ์พวกใดที่มีความสอดคล้องกับคำสอนของพระศาสดา
ก็จำต้องกล่าวตามตรงว่า คำของ สมณพราหมณ์ ที่กล่าวว่า ความดับภพหมดสิ้น มีอยู่จริง
อยู่ในฝักฝ่ายของผู้ปฏิบัติเพื่อนิพพิทา วิราคะ นิโรธ แห่งภพทั้งหลาย สมควรนับว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ส่วนวาทะของสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งนั้น ไม่อาจนับว่าเป็นคำสอนของพระศาสดา ทั้งนี้เพราะ
พระพุทธเจ้า ได้เคยตรัสกับ ท่านพระโคตมีเถรี ดังนี้ว่า   .........

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้(ในวัฏฏะ) นั้นย่อมมิใช่ธรรม มิใช่วินัย มิใช่คำสอนของพระศาสดา !



สรุป

๑) เมื่อพิจารณา พระบาลีพุทธพจน์ ทั้งจาก กาลามสูตร อปัณณกสูตร และ มหาจัตตารีสกสูตร อย่างเชื่อมโยงกัน
ย่อมทำให้ทราบว่า แม้ข้อความจาก มหาจัตตารีสกสูตร จะระบุว่า สัมมาทิฐิ(โลกีย) หมายถึงความเชื่อว่า โลกนี้มี โลกหน้ามี
แต่นั่น ก็มิได้หมายความว่า เพียงแค่เชื่อว่า โลกนี้มี โลกหน้ามี แล้วจะทำให้เป็นสัมมาทิฐิ ในทันทีที่เชื่ออย่างนั้น เสียเมื่อไร
หากแต่ควรหมายความไปถึง "ผล" จากความเชื่อดังกล่าวว่า เป็นเหตุให้เกิด "กุศลธรรม" ที่สอดคล้องกับ "หลักกรรม" หรือไม่ต่างหาก
ทั้งนี้เพราะ ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ที่เชื่อเรื่อง โลกนี้ โลกหน้า หรือเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ก็เป็นพวก มิจฉาทิฐิได้เช่นกัน !



๒) ความเป็นสัมมาทิฐิบุคคล ตามหลักพระพุทธศาสนา นั้นต้องหมายความถึงบุคคลที่ ............
(๑) เป็นผู้มีศีล อย่างสอดคล้องกับ "หลักกรรม" โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อเรื่อง นรกสวรรค์ หรือ โลกหน้า ก็ได้
เพราะศีลที่สอดคล้องกับหลักกรรม ที่มีความหมาย "จำกัด" เพียงแค่ ผล ในภพปัจจุบัน ก็เพียงพอต่อความต้องการแล้ว
สมดังข้อความในตอนท้ายของ กาลามสูตร ที่ตรัสถึง ความอุ่นใจของอริยสาวก ๔ ประการ ดังนี้



(๒) เมื่อเป็นผู้มีศีลแล้ว ศีลนั้น จะต้องไม่เป็น สีลัพพตปรามาส กล่าวคือ ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้(ในวัฏฏะ)
หากแต่ศีลนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อ ความดับภพ จึงจะสามารถกล่าวได้ว่า เป็นสัมมาทิฐิ ซึ่งเป็นคำสอนของพระศาสดาอย่างแท้จริง

๓) หากพิจารณาแบบ "เปิดใจกว้าง" พวกเม็ดมะขาม อาจจำต้องยอมรับความจริงด้วยว่า "โลกนี้ โลกหน้า"
จาก มหาจัตตารีสกสูตร ควรหมายถึง ภพภูมิทางใจ โดยไม่จำเป็นต้องหมายถึง โลกหน้า แบบตายเข้าโลง ก็ได้

เพราะหาก "ตีความ" ว่า โลกหน้า จะต้องหมายถึง หลังตายเข้าโลง แต่เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ใช่
พุทธพจน์ในส่วนนี้ ก็จะไป "ขัดแย้ง" กับ พระบาลีจาก กาลามสูตร และ อปัณณกสูตร ที่ระบุตรงกันว่า
สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ไม่จำเป็นต้องผูกโยงกับ ผลในปรโลก(แบบตายเข้าโลง) หรือ เรื่องนรกสวรรค์
หากแต่เพียงพินิจพิเคราะห์เหตุผล ถึงประโยชน์ในปัจจุบัน ก็เพียงพอแก่ความเป็นสัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนาแล้ว

การพยายาม "ตีความ" ให้ "โลกนี้ โลกหน้า" จะต้องเป็นเรื่องของภพภูมิหลังตายเข้าโลง แต่เพียงอย่างเดียว
จึงเป็นเพียงแค่เพียงพฤติกรรมของพวกอัญเดียรถีย์ ที่พยายามจะ "บิดเบือน" พระธรรมวินัย
ให้สอดคล้องกับ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของพวกมันเอง เสียมากกว่า

หรือมิใช่ ?

ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ก็คือ ท่านปยุตโต อธิบายความได้ถูกต้องดีอยู่แล้ว
อีกทั้งพระบาลีพุทธพจน์จากทั้ง ๓ พระสูตร ก็มิได้มีความขัดแย้งอะไร

แต่เป็นปัญหาของพวกเม็ดมะขาม(เท่านั้น) ที่มิอาจยอมรับต่อข้อเท็จจริงที่ว่า
ความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ(แบบตายเข้าโลง)
มิได้เป็น "หลักประกัน" ได้เลยว่า ผู้ที่มีความเชื่ออย่างนั้น จะเป็นสัมมาทิฐิ เสมอไปทุกคน
เพราะปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า มักขลิโคสาลและสาวก ก็มีความเชื่อแบบเดียวกันกับพวกเม็ดมะขาม



ดังนั้น จึงขอสรุปความในท้ายที่สุดนี้ว่า

พระพุทธเจ้าย่อมตรัสไม่ผิดพลาด และไม่มีคำสอนใดขัดแย้งกันเอง
หากพวกเม็ดมะขาม "ตีความ" จนกลายเป็นว่าขัดกันเองได้ พึงรู้ไว้เถอะว่า
พวกเม็ดมะขามนั่นแหละที่ต้องทบทวนใหม่ ว่ามีอะไรที่พวกมันเข้าใจผิดไปบ้างหรือเปล่า

ตรรกะประเภทเอา มหาจัตตารีสกสูตร(แบบตีความเอง) แต่ไม่เอา บางส่วนของ กาลามสูตร(เพราะขัดใจ)
หรือ ไม่ยอมรับรู้เนื้อหาที่แท้จริงของ อปัณณกสูตร .........

ตรรกะ(เลวๆ)พวกนี้ ควรทบทวนตัวเองเสียที !

หรือมิใช่ ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่