ก่อนหน้านี้ทำได้แค่เดือน คนสนิท เพื่อนๆ ญาติๆ วันนี้คิดว่าอยากทำความดี เอาความรู้ ประสบการณ์มาเป็นวิทยาทานให้กับเพื่อนๆใน สินธร พันทิป เพราะวันหนึ่ง ผมก็เคยเป็นเหมือนคุณ
ผมคือใคร ?
- ก็แค่คนธรรมดา ที่มีเงินเท่าไรลงทุนในตลาดหุ้น"เกือบ" หมด (ปัจจุบันยังเป็นอยู่ นิสัยเสีย แก้ไม่หาย) ไม่ขอบอกว่าทำงานอะไร แต่ค่อนข้างเกี่ยวกับแวดวงการเงินพอสมควร
การลงทุนในหุ้น
- ผมเริ่มลงทุนในปี 2005 ก่อนวิกฤต subprime แต่ก็แค่ซื้อขายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะไม่มีเวลา มาลงทุนจริงจังก็ช่วงปี 2008-2009 ซึ่งช่วงนั้นดัชนีอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าจุด (ถ้าคิดไม่ออก เตือนความจำด้วยราคาหุ้น CPF=4 บาท) ผมเหมือนเทพเลย ซื้ออะไรก็ขึ้น คิดว่าตัวเองเก่ง เซียน เงินง่ายแบบนี้เองหรอ คิดแม้กระทั่งว่าจะออกจากงานมาเทรดหุ้นด้วยซ้ำ กำไร 2000-3000 ต่อวันนี่ หมูๆเลย เริ่มให้เวลากับตลาดหุ้นมากขึ้น เรียนอ่านกราฟ ชีวิตช่วงนี้ขาขึ้นมาก บินไปเที่ยวโน่นนี่บ่อย สบายใจ ชีวิตมีความสุข
แล้วเกิดอะไรขึ้น ?
- ปัญหาเริ่มมา ชีวิตที่ใช้เงินสบายๆ กลับกลายเป็นนิสัยในขณะที่ตลาดเริ่มอิ่มตัว การใช้จ่ายยังเป็นแบบเดิม แต่กำไรจากหุ้นไม่ได้มากเท่าเก่า อีกทั้งการวิเคราะห์เทคนิคไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะตลาดบ้านเรานั้นมันเดาทิศทางยาก มีคนคุมราคาเยอะ ทั้งกลุ่มทุนและการเมือง ไม่มีทางชนะเขาหรอก เพราะการดูกราฟคือการวิเคราะห์จิตวิทยาของนักลงทุน โดยคาดการณ์จากสถิติของสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งของเหล่านี้ ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยตลาดทุนที่พัฒนาแล้วเช่น สหรัฐฯ หรือ ญี่ปุ่น แต่ในบ้านเราคนมันไม่ได้ใช้ความรู้หรือแม้แต่sense ในการเทรด ดังนั้นหากคุณหวังเงินกินขนมรายวัน ผมว่า คุณออกจากตลาดไปเปิดร้านข้าวมันไก่ยังให้ผลตอบแทนดีกว่า
คุณคือ VI ??
- ผมไม่ใช่ VI
^ เพราะผมไม่ได้หวังแค่ปันผล ผมหวัง Growth หวัง Capital Gain หวังทุกอย่าง วิธีการวิเคราะห์บริษัทของผมคือการดูที่บริษัท ความสามารถในการแข่งขันและทำกำไร จากนั้นค่อยมาดูที่ราคา ถ้ามันแพง ต่อให้บริษัทดียังไง ผมก็ไม่ซื้อ เหมือนคุณทดลองขับ Honda City , Toyota Vios แล้วรู้สึกว่า มันคือรถที่ดี ผมถามคุณว่าคุณอยากซื้อรถเหล่านี้ในราคาคันละ 3 ล้านหรือเปล่า ?
^เหตุผลอธิบายอยู่ตอนท้าย
ทำยังไงให้อยู่รอดในตลาด?
- ตั้งราคาหุ้นที่อยากได้ ที่คิดว่าสมเหตุสมผล แล้วจดใส่กระดาษ แปะไว้หน้าห้องน้ำ และในห้องน้ำ โดยทุกๆ สามเดือน ให้เปลี่ยนกระดาษใหม่ (เพราะกระดาษเดิมอาจจะเปื่อยไปแล้ว ) โดยยังคงเขียนชื่อบริษัทเดิม แต่ก่อนที่จะเขียนราคาที่อยากซื้อ ให้ดูก่อนว่า พื้นฐานมันเปลี่ยนไปไหม เขายังดำเนินธุรกิจดีอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ใส่ราคาลงไปแล้วเอาไปแปะไว้ที่เดิม วันไหนที่ราคาหุ้นมันลงมาถึงจุดที่ใกล้ๆกับราคาที่เราอยากได้ ซื้อไปเลย อย่าไปสนใจ ทิ้งมันไว้ ก็แค่เปลี่ยนกระดาษทุกๆสามเดือนอย่างเดิม อย่าคิดว่าจะขายที่ราคาไหน แต่ให้ถามว่า ถ้าจะซื้อเพิ่ม คุณพร้อมที่จะจ่ายเท่าไร
ผมซื้อหุ้นโดยไม่ค่อยดูดัชนี เพราะบางครั้งดัชนีมันไม่มีเหตุผล ผมซื้อหุ้นตัวนึงตอน SET อยู่ 1600 จุด แต่มันก็ยังบวกจนถึงปัจจุบัน
จริงๆจั่วหัวให้มันดูน่าสนใจไปงั้นแหละ ผมอยากจะเข้ามาทั้งแนะนำและเตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาและ"ทิ้ง" เงินอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ ผมไม่อยากจะขัดขาใคร และไม่เคยคิดจะดิสเครดิตสมาชิกในห้องนี้ แต่การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น หากคุณต้องติดตามว่า สัญญาณหุ้นนี้เป็นอย่างไรจาก pantip อยู่สม่ำเสมอ คุณต้องระวังตัว เพราะโอกาสขาดทุนนั้นมันมากจนประเมินไม่ถูกเลยที่เดียว
บริษัทหลายแห่งซื้อขายกันแพงมาก แต่ก็ยังมี Volume ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้ายนี้ ขอบอกและย้ำอีกครั้งว่า "ผมไม่ใช่ และไม่เคยเทียบตัวเองกับ Value Investor เพราะคำนี้มัน
"ศักดิ์สิทธิ์" เกินกว่าที่ผมจะใช้ได้ ถึงแม้หลักการณ์จะคล้ายๆกันก็ตาม ทุกวันนี้คนใช้คำว่า VI กันเกลื่อนมาก ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่ามันไม่สมควร นอกจากนี้ ผมยินดีจะตอบทุกคำถาม เว้นเสียแต่จะไม่แนะนำหุ้นใดๆทั้งนั้น ไม่บอกว่าควรซื้อควรขายหุ้นรายตัว ตัวนี้ดีไม่ดี"
ผมไม่อยากเห็นคนต้องเอาเงินมาทิ้งในตลาดหุ้น ผมอยากให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจ ก่อนที่จะเข้ามาลงทุน
ขอให้โชคดีครับ
สาธุ
--> เพิ่มเติม.
อย่าตามข่าวมากนะครับ เปลืองเวลาโดยใช่เหตุ อ่านบ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่จำเป็นต้องถึงขนาด real time เฝ้าดูดัชนี ดูค่าเงินทั่วโลกตลอดเวลา
คนโง่จะหาข่าวมาอธิบายเป็นเหตุผล(ข้ออ้าง)ตอนตลาดปิดได้ตลอดสื่อไม่ได้ฉลาดมากไปกว่าเราหรอก ถ้าแน่จริง ทายให้แม่นๆ ก่อนตลาดเปิดสิ แล้วค่อยว่ากันใหม่
คนมีเงินพอที่จะลงทุนในตลาดหุ้นได้ ควรจะมีความรู้ และความสามารถในการคิดวิเคราห์ถึงความเกี่ยวโยงกันของข้อมูล ถ้ายังเล่นกับข่าวรายวัน ก็คงยากที่จะรวยครับ
ผมแค่อยากมาเตือน !!!
ผมคือใคร ?
- ก็แค่คนธรรมดา ที่มีเงินเท่าไรลงทุนในตลาดหุ้น"เกือบ" หมด (ปัจจุบันยังเป็นอยู่ นิสัยเสีย แก้ไม่หาย) ไม่ขอบอกว่าทำงานอะไร แต่ค่อนข้างเกี่ยวกับแวดวงการเงินพอสมควร
การลงทุนในหุ้น
- ผมเริ่มลงทุนในปี 2005 ก่อนวิกฤต subprime แต่ก็แค่ซื้อขายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะไม่มีเวลา มาลงทุนจริงจังก็ช่วงปี 2008-2009 ซึ่งช่วงนั้นดัชนีอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าจุด (ถ้าคิดไม่ออก เตือนความจำด้วยราคาหุ้น CPF=4 บาท) ผมเหมือนเทพเลย ซื้ออะไรก็ขึ้น คิดว่าตัวเองเก่ง เซียน เงินง่ายแบบนี้เองหรอ คิดแม้กระทั่งว่าจะออกจากงานมาเทรดหุ้นด้วยซ้ำ กำไร 2000-3000 ต่อวันนี่ หมูๆเลย เริ่มให้เวลากับตลาดหุ้นมากขึ้น เรียนอ่านกราฟ ชีวิตช่วงนี้ขาขึ้นมาก บินไปเที่ยวโน่นนี่บ่อย สบายใจ ชีวิตมีความสุข
แล้วเกิดอะไรขึ้น ?
- ปัญหาเริ่มมา ชีวิตที่ใช้เงินสบายๆ กลับกลายเป็นนิสัยในขณะที่ตลาดเริ่มอิ่มตัว การใช้จ่ายยังเป็นแบบเดิม แต่กำไรจากหุ้นไม่ได้มากเท่าเก่า อีกทั้งการวิเคราะห์เทคนิคไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะตลาดบ้านเรานั้นมันเดาทิศทางยาก มีคนคุมราคาเยอะ ทั้งกลุ่มทุนและการเมือง ไม่มีทางชนะเขาหรอก เพราะการดูกราฟคือการวิเคราะห์จิตวิทยาของนักลงทุน โดยคาดการณ์จากสถิติของสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งของเหล่านี้ ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยตลาดทุนที่พัฒนาแล้วเช่น สหรัฐฯ หรือ ญี่ปุ่น แต่ในบ้านเราคนมันไม่ได้ใช้ความรู้หรือแม้แต่sense ในการเทรด ดังนั้นหากคุณหวังเงินกินขนมรายวัน ผมว่า คุณออกจากตลาดไปเปิดร้านข้าวมันไก่ยังให้ผลตอบแทนดีกว่า
คุณคือ VI ??
- ผมไม่ใช่ VI^ เพราะผมไม่ได้หวังแค่ปันผล ผมหวัง Growth หวัง Capital Gain หวังทุกอย่าง วิธีการวิเคราะห์บริษัทของผมคือการดูที่บริษัท ความสามารถในการแข่งขันและทำกำไร จากนั้นค่อยมาดูที่ราคา ถ้ามันแพง ต่อให้บริษัทดียังไง ผมก็ไม่ซื้อ เหมือนคุณทดลองขับ Honda City , Toyota Vios แล้วรู้สึกว่า มันคือรถที่ดี ผมถามคุณว่าคุณอยากซื้อรถเหล่านี้ในราคาคันละ 3 ล้านหรือเปล่า ?
^เหตุผลอธิบายอยู่ตอนท้าย
ทำยังไงให้อยู่รอดในตลาด?
- ตั้งราคาหุ้นที่อยากได้ ที่คิดว่าสมเหตุสมผล แล้วจดใส่กระดาษ แปะไว้หน้าห้องน้ำ และในห้องน้ำ โดยทุกๆ สามเดือน ให้เปลี่ยนกระดาษใหม่ (เพราะกระดาษเดิมอาจจะเปื่อยไปแล้ว ) โดยยังคงเขียนชื่อบริษัทเดิม แต่ก่อนที่จะเขียนราคาที่อยากซื้อ ให้ดูก่อนว่า พื้นฐานมันเปลี่ยนไปไหม เขายังดำเนินธุรกิจดีอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ใส่ราคาลงไปแล้วเอาไปแปะไว้ที่เดิม วันไหนที่ราคาหุ้นมันลงมาถึงจุดที่ใกล้ๆกับราคาที่เราอยากได้ ซื้อไปเลย อย่าไปสนใจ ทิ้งมันไว้ ก็แค่เปลี่ยนกระดาษทุกๆสามเดือนอย่างเดิม อย่าคิดว่าจะขายที่ราคาไหน แต่ให้ถามว่า ถ้าจะซื้อเพิ่ม คุณพร้อมที่จะจ่ายเท่าไร
ผมซื้อหุ้นโดยไม่ค่อยดูดัชนี เพราะบางครั้งดัชนีมันไม่มีเหตุผล ผมซื้อหุ้นตัวนึงตอน SET อยู่ 1600 จุด แต่มันก็ยังบวกจนถึงปัจจุบัน
จริงๆจั่วหัวให้มันดูน่าสนใจไปงั้นแหละ ผมอยากจะเข้ามาทั้งแนะนำและเตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาและ"ทิ้ง" เงินอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ ผมไม่อยากจะขัดขาใคร และไม่เคยคิดจะดิสเครดิตสมาชิกในห้องนี้ แต่การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น หากคุณต้องติดตามว่า สัญญาณหุ้นนี้เป็นอย่างไรจาก pantip อยู่สม่ำเสมอ คุณต้องระวังตัว เพราะโอกาสขาดทุนนั้นมันมากจนประเมินไม่ถูกเลยที่เดียว
บริษัทหลายแห่งซื้อขายกันแพงมาก แต่ก็ยังมี Volume ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้ายนี้ ขอบอกและย้ำอีกครั้งว่า "ผมไม่ใช่ และไม่เคยเทียบตัวเองกับ Value Investor เพราะคำนี้มัน "ศักดิ์สิทธิ์" เกินกว่าที่ผมจะใช้ได้ ถึงแม้หลักการณ์จะคล้ายๆกันก็ตาม ทุกวันนี้คนใช้คำว่า VI กันเกลื่อนมาก ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่ามันไม่สมควร นอกจากนี้ ผมยินดีจะตอบทุกคำถาม เว้นเสียแต่จะไม่แนะนำหุ้นใดๆทั้งนั้น ไม่บอกว่าควรซื้อควรขายหุ้นรายตัว ตัวนี้ดีไม่ดี"
ผมไม่อยากเห็นคนต้องเอาเงินมาทิ้งในตลาดหุ้น ผมอยากให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจ ก่อนที่จะเข้ามาลงทุน
ขอให้โชคดีครับ
สาธุ
--> เพิ่มเติม.
อย่าตามข่าวมากนะครับ เปลืองเวลาโดยใช่เหตุ อ่านบ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่จำเป็นต้องถึงขนาด real time เฝ้าดูดัชนี ดูค่าเงินทั่วโลกตลอดเวลา
คนโง่จะหาข่าวมาอธิบายเป็นเหตุผล(ข้ออ้าง)ตอนตลาดปิดได้ตลอดสื่อไม่ได้ฉลาดมากไปกว่าเราหรอก ถ้าแน่จริง ทายให้แม่นๆ ก่อนตลาดเปิดสิ แล้วค่อยว่ากันใหม่
คนมีเงินพอที่จะลงทุนในตลาดหุ้นได้ ควรจะมีความรู้ และความสามารถในการคิดวิเคราห์ถึงความเกี่ยวโยงกันของข้อมูล ถ้ายังเล่นกับข่าวรายวัน ก็คงยากที่จะรวยครับ