เรื่อง มนตรา นิทรานคร (ตอนที่ 1 เสียงเพรียกหาจากนิทรานคร) ครึ่งหลัง

กระทู้สนทนา
บทนำ   http://ppantip.com/topic/30574372
ตอนที่ 1 เสียงเพรียกหาจากนิทรานคร (ครึ่งแรก )http://ppantip.com/topic/30578751



ตอนที่1 ครึ่งหลัง


รุ่นพี่ที่ร่วมเดินทางกันแนะนำให้พิมพลอยไปหาหนังสือเกี่ยวกับรามายณะและมหาภารตะ มาอ่านเสียก่อนและจะทำให้การเที่ยวชมปราสาทโบราณสนุกยิ่งขึ้นเพราะแต่ละปราสาทที่จะไปนั้นล้วนแต่นำเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญมาถ่ายทอดสลักเอาไว้    

หากพอมีความรู้อยู่บ้างการชมปราสาทโบราณจะได้รับความเพลิดเพลินและความรู้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้คนไม่เคยเรียนลึกในด้านประวัติศาสตร์แต่สนใจในประวัตศาสตร์ของประเทศซึ่งมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็ไม่ได้หาแต่หนังสือเกี่ยวกับรามายณะและมหาภารตะมาอ่านเท่านั้น ยังขนเอาหนังสือเกี่ยวกับปราสาทแทบทุกยุคทุกสมัยมานอนอ่านอย่างตั้งใจโดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับสมัยเมืองพระนครเริ่มต้นตั้งแต่ยโศธรปุระเป็นราชธานีนั้นเธอได้มาหลายเล่มเป็นพิเศษซึ่งบางเล่มก็อาจมีเนื้อหาที่แตกต่างกันไปบ้างตามสไตล์คนเขียน                                        

เพราะทริปนี้หลายปราสาทที่พิมพลอยจะไปเยี่ยมชมอยู่ในช่วงยุคพระนครซึ่งหนังสือที่ได้มานี้ได้รับความอนุเคราะห์มาจากเพื่อนของรุ่นพี่รวมถึงการหยิบยืมมาจากห้องสมุดประชาชน เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนจนสบายใจคนหน้าสวย ก็ทำธุระอยู่หน้ากระจกเกือบครึ่งชั่วโมงตามพื้นฐานนิสัยรักสวยรักงาม เมื่อสางผมจนครบร้อยครั้งแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธีจากนั้นก็เริ่มหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านโดยเลือกวรรณคดีที่ยาวที่สุดในโลกขึ้นมาอ่านก่อนเป็นอันดับแรกโดยเน้นไปอ่านตอนสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์สงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรเรื่องของสองตระกูลคือปาณฑพและตระกูลเการพซึ่งใช้ทุ่งกุรุเกษตรเป็นสมรภูมิรบกันสูญเสียผู้คนไปมากมาย มีทหาร เจ้าชายและกษัตริย์และพระญาติจากแคว้นเมืองต่างๆมาช่วยรบและล้มตายเป็นจำนวนมากซึ่งรุ่นพี่เล่าว่าเธอจะได้พบภาพเรื่องราวนี้อยู่ในบางปราสาท                                         

สามชั่วโมงผ่านไอาการนี้ก็มาทุกที เจ้ามารที่ชื่อความง่วงก็แวะมาทักทายเยี่ยมเยือนพิมพลอย เจ้าของร่างบางพลิกกายไปมาลุกขึ้นบ้างนอนบ้างอาการง่วงก็ยังไม่หายจึงยอมยกธงขาวพอและคืนนี้ วางหนังสือเล่มหนาเอาไว้บนกองหนังสือที่เดิมแต่ความง่วงหรือความซุ่มซ่ามก็ไม่รู้ทำให้เธอเผลอไปทำให้หนังสือกองใหญ่ท่วมหัวบนโต๊ะเขียนหนังสือล่วงลงมา                                    
“ซุ่มซ่ามจริงๆ ผู้หญิงคนนี้” พิมพลอยบ่นตัวเองและก้มลงเก็บหนังสือหลายเล่มจนกระทั่งเล่มหนึ่งที่หล่นมานอนคว่ำหน้าอยู่                                        

“ยับหมดพอดี” คนรักหนังสือบ่นนิดหน่อยและหยิบมันขึ้นมาสายตาสะดุดกับตัวหนังสือโฉกโกกีรปุระบางสิ่งบางอย่างแล่นเข้ามาในความรู้สึก ความตื้นตัน ความปิดติยินดี ความเสียใจแทรกซึมเข้ามาพร้อมๆกันยังไม่ทันคิดถึงสิ่งใดเสียงดนตรีคล้ายดนตรีไทยแต่จับเส้นเสียงได้ว่าคงประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลายอย่าง กระจับปี่ ฆ้อง ซอ ฉิ่ง ระนาด ขับกล่อมเป็นทองนองเพลงแว่วหวานมาแต่ไกลๆ แต่พิมพลอยต้องขนลุกเกรียวและตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้เปิดวิทยุทิ้งไว้เมื่อมองไปที่สายของมัน ใช่แล้วมันไม่ได้ถูกเสียบสายเอาไว้กับเต้ารับและเสียงดนตรีนี้จะมาจากไหน เมื่อเธอคิดเท่านั้น เสียงเพลงประหลาดก็ยิ่งดังกังวาลเหมือนแกล้งเธอ             

“ไม่จริง ไม่จริง เราไม่ได้เปิดนี่และเสียงเพลงมาจากไหน”    เท่านั้นพิมพลอยก็ตกใจและรีบวิ่งไปเปิดประตู แต่แล้วก็แทบหยุดหายใจเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู                        

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูและเปิดประตูห้องนอนสวนมา ยืนหน้าหทึง กอดอก สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าสวยของพิมพลอย                                            

“ทำไมคุณแม่ต้องทำหน้าดุแบบนี้ด้วยล่ะคะ”                            

“ก็ลูกน่ะสิทำอะไรอยู่นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วยังเปิดไฟทิ้งไว้อีก แม่เลยต้องขึ้นมาดูก็รู้นี่ว่าค่าไฟเดือนของบ้านเราขึ้นมาตั้งพันห้า”                                        

“ที่แม่ทำหน้าเหมือนจะฉีกหนูเป็นชิ้นๆแค่เรื่องค่าไฟเองเหรอคะ”                    

“ก็ใช่น่ะสิ ยุคนี้ข้าวยากหมากแพง ขนาดไข่ยังแพง ก็ต้องช่วยกันประหยัดหน่อย น้องชายของลูกก็อีกคน ป่านนี้ยังกลับไม่ถึงบ้าน ว่าแต่ลูกเถอะเป็นอะไรไปทำไมถึงมีท่าทางตกใจตอนเปิดประตูออกมา ทำอย่างกับเจอผี”    

“ก็เจอน่ะสิคะแม่”                                        

พอนึกขึ้นได้เสียงดนตรีประหลาดซึ่งตอนนี้มันเงียบหายไปแล้ว ใบหน้าสวยหันไปมองลอบตัว หันซ้ายแลขวา จนคนเป็นแม่ทำหน้าสงสัย                                    

“เป็นอะไร ท่าทางลุกลี้ลุกลน”                                

“แม่อย่าว่าหนูบ้า หรือหาว่าหนูฝันนะคะแต่เมื่อครู่นี้หนูได้ยินเสียงดนตรีทำนองโบราณจริงๆนะคะแม่ ที่สำคัญหนูไม่ได้เปิดวิทยุ วิทยุก็ยังไม่ได้เสียบปลั้กทิ้ง แล้วเพลงมันจะดังมาจากไหน แม่ได้ยินบ้างหรือเปล่าคะ”    “ได้ยินสิ”                                        

“จริงเหรอคะ” พิมพลอยพาตัวไปยืนเบียดกับมารดาและมองไปรอบๆตัวกอดอกขึ้นขนที่แขนลุกไปหมด    

“เราสองคนก็ถูกผีหลอกทั้งคู่ล่ะสิ”                                

“นี่แหละผลของการนอนดึก ทำให้แกหลอนรู้ไหมยัยพลอย ก็แม่เองที่เปิดเพลงนั่นเพิ่งปิดไปเมื่อครู่เพราะจะเดินขึ้นมาดูว่าทำไมแกยังไม่นอน”                                

ฮ๊ะ  อะไรนะ!                                        

“ก็คุณแพรวาบ้านข้างๆเราน่ะแกไปเที่ยวที่เสียมเรียบมา เห็นว่าไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นของฝากไปเจอแผ่นซีดีเพลงที่ตลาดไนท์บาร์ซาร์ฟังแล้วแกก็ว่าเพราะดีคล้ายๆดนตรีไทย เลยซื้อติดมือมมาสี่ห้าแผ่นแจกเพื่อนบ้าน แล้วก็เอามาให้แม่แผ่นหนึ่งนี่ล่ะ”                                    

“แล้วคุณแม่คิดอย่างไรคะ ถึงได้เอามันมาเปิดตอนดึกสงัดขนาดนี้จนหนูคิดไปว่าเจอดีเข้าให้” จากที่กลัวเมื่อครู่แทบจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะออกมาทันที                                

อ้าว!

“ก็ต้องนั่งรอตาปันกลับบ้านมันน่าเบื่อจะตายไป หนังแม่ก็ไม่ชอบดู ละครมันก็จบไปหมดแล้วเลยต้องหาอะไรมาเปิดฟัง”                                        

“ แล้วเปิดเพลงแบบนี้เนี่ยนะคะ”                                

“เอาเถอะ ถ้ากลัวนักนอนไม่หลับเดี๋ยวแม่จะไปปิดให้”                        

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่รู้ว่ามันไม่ได้ดังขึ้นมาเองหนูก็ไม่กลัวแล้ว”                    

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปปิดไฟนอนได้แล้ว นอนดึกน่าโทรมหมด”                        

ว้าย!                                            

“หนูโทรมจริงเหรอเปล่าคะแม่ หน้าหนูหมอง หรือตีนกาขึ้น” คนห่วงสวยลูบใบหน้าตัวเอง        


“ถ้าไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัยก็รีบปิดไฟนอนซะไป ” คนเป็นแม่ส่ายหัวอย่างรำคาญแต่ลึกๆก็เอ็นดูลูกสาวคนเดียวไม่เคยเปลี่ยนแปลง                                        

++++++++++++++++++++++++++                            

    
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง                                    

พิมพลอยเอื้อมือไปปิดสวิทซไฟที่หัวเตียงจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนเหยียดกลายบิดไปบิดมาใต้ผ้านวมผืนหนาความง่วงเข้าแทรกซึมก่อนที่จะปิดเปลือกตาเมื่อเริ่มเคลิ้มเหมือนกำลังจะหลับลึกนั้นเสียงเพลงแว่วหวานดังมาให้ได้ยินแว่วๆอีกครั้งคนกำลังจะหลับนึกภายในใจ แม่นี่นะไหนบ่นเราเรื่องปิดไฟทีตัวเองไปเปิดเพลงทิ้งไว้อีกแล้ว ก่อนจะหลับสนิทไป                                        

คนเป็นแม่นั่งถักโครเชต์แก้เบื่อเพราะต้องนั่งรอลูกชายที่ยังไม่กลับเข้าบ้าน และไม่ได้คิดเปิดเพลงจากแผ่นซีดีนั้นอีก ตั้งแต่ขึ้นไปดูลูกสาวคนโตว่าทำไมถึงเปิดไฟทิ้งไว้เพราะคิดถึงเรื่องประหยัด            

เสียงเพลงแว่วหวานขับกล่อมให้พิมพลอยหลับอย่างเป็นสุขอาการหลับสนิททำให้ไม่เห็นว่าร่างเรืองรองเหลืองอร่ามราวกับมีออร่าในตัวเอง ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น ชัดขึ้นจนเห็นพระพักต็คมสันตโดดเด่นในความมืด เครื่องหน้านั้นรับกันทุกส่วน บนพระเกศาครอบกระบังหน้าประดับด้วยมรกตเม็ดงามอยู่ตรงกลางทำ การแต่งกายเยี่ยงเจ้าชายโบราณนุ่งผ้าถกเขมรอย่างคนโบราณ แต่เนื้อผ้านั้นดูเนื้อดีบ่งบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดา ข้อกร และกรองศอทำจากทองคำดูประณีตราวกับถูกสร้างขึ้นจากช่างศิลป์ พระองค์ทรงแย้มโอษฐคลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนบนเตียงนอนดิ้นผิดหญิงทั่วไป มือหนาใหญ่แต่นุ่มนั้นบรรจงลูบไล้ไปที่ปลายเส้นผมยาวดำอย่างแผ่วเบา  พระองค์ยังทรงจำกลิ่นหอมของปลายผมนางไม่ห่างหายไปจากหัวใจแม้เวลาได้ผ่านมาเนิ่นนานนับพันปี        

แม้ใครจะชิงชังเจ้านัก แต่ข้ารักเจ้ายิ่ง  มณีมาลา นางผู้มากลับปริศนา ข้าจะขอปกป้องเจ้าจากวิบากกรรมครั้งนี้เอง” ความอบอุ่นทอดผ่านมาในคำพูดนั้นไม่เท่ากับพระเนตรดำขลับที่มองนางอันเป็นที่รักด้วยแววตาแห่งชายที่มีจิตเสน่หาต่อหญิงคนรักมิเสื่อมคลาย                                

จนกระทั่งพระเนตรคมกริบทอดมองในความมืดแต่พระองค์กับเห็นได้ชัดกับกรอบรูปสีขาวสี่เหลี่ยมทำจากอาคิริคเป็นรูปของหญิงสาวตรงหน้าที่นอนหลับอย่างกระสับกระส่ายกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา                                            

พระองค์มองชายในกรอบรูปที่ถ่ายคู่กับพิมพลอย พระโอษฐเหยียดยิ้มหยันขึ้น “เจ้ามันก็เท่านั้น” ก่อนร่างเหลืองอร่ามเรืองรองจะค่อยๆเลือนหายกลายเป็นอากาศธาตุ

    +++++++++++++++++++++++++                                

นิทรานคร นครที่นอนหลับไหล ยืนตระหง่านเวิ้งวางท่ามกลางไพรมาเนิ่นนานนับพันปี ไม่ปรากฏผู้สร้างไม่ปรากฏหลักศิลาลึกแม้นักโบราณคดีจะขุดค้นแทบทุกซอกทุกมุมของปราสาทหลังมหึมาแล้วก็ตาม มีเพียงการคาดเดาไปต่างๆนา ซึ่งเป็นไปในหลายทิศทางบ้างก็ว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในยุคก่อนนครวัด บ้างก็ว่าอยู่ในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน บางก็ว่าถูกสร้างร่วมสมัยกัน แม้แต่ตัวผู้สร้างเองก็มีข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกันไปหนังสือบางเล่มก็คาดเดาว่าผู้ที่สร้างน่าจะเป็นพระญาติของพระเจ้าชัยวรมันที่สองที่มีพระราชอำนาจ บ้างก็ว่าพราหมณ์หรือปุโรหิตเป็นผู้สร้างแต่คงไม่มีใครรูดีไปกว่าองค์กฤตยุคล กมรเตงผู้คุมการก่อสร้างปราสาทมหึมาหลังนี้        

“กฤตยุคล ไยพระองค์ไม่ไปตามทางของพระองค์เสียทีเล่าจะอยู่เฝ้าที่นีไปไย” เสียงหนึ่งดังก้องในป่าไพรแต่ไร้ซึ่งการปรากฏกายไม่ว่าจะเป็นกายละเอียดหรือกายหยาบก็ตามที                    

“ตราบใดนางอันเป็นที่รักแห่งข้า ยังมิคลาดแคล้วปลอดภัยไปจากวิบากกรรมครั้งนี้ ข้ากฤตยุคล ก็คงมิอาจละทิ้งนางไปได้” พระองค์กล่าวด้วยสุรเสียงหนักแน่นไม่คั่นคร้ามสิ่งใดเลย                 

“กมรเตงผู้มีรักมั่นไยท่านต้องทุกข์ทรมานเพราะคำสาปนางเยี่ยงนี้ ” เสียงนั้นดังมาอย่างแผ่วเบาราวกับปลงสังเวช จากนั้นก็มีเพียงเสียงทอดถอนหายใจแว่วมาตามสายลม        
    ++++++++++++++++++++++++++                                

ห่างจากหริหรารัยไปประมาณพันสี่ร้อยห้าสิบปีได้กำเนิดเมืองหลวงหนึ่งที่ชื่อว่ายโศธรปุระและมีบาแค็งเป็นศูนย์กลาง

++++++++++++


นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักแนวอิงประวัติศาสตร์
ต้องขอเรียนว่าผู้เขียนไม่ได้จบด้านประวัติศาสตร์ได้แต่อาศัยถามผู้รู้มาแต่หากข้อมูลบิดเบือนผิดพลาดไป
อันเกิดจากการเรียบเรียงของตัวผู้เขียนเอง ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งพร้อมจะนำไปแก้ไข
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่