ล็อคถล่ม หนังทุนสร้างยาจก The Purge ขย่มหนังเศรษฐีขึ้นอันดับ 1

US BOX OFFICE June 7-9, 2013

(ข้อมูลจาก www.boxofficemojo.com)

ต้องยกเครดิตให้กับการทำการตลาดที่เฉียบแหลม และทำกันได้ดี ส่งให้หนังสยองชวัญทุนกระจิ๋วริ๋วอย่าง The Purge ขึ้นอันดับ 1 หนังทำเงินสัปดาห์นี้สบายๆ แซงหน้าหนังเบาสมองของวินซ์ วอห์น/ โอเวน วิลสัน The Internship หน้าตาเฉย ขณะที่หนัง Fast & Furious 6 ก็ทำสถิติเป็นหนังเรื่องที่ 2 ของซัมเมอร์นี้ที่ทำรายได้ผ่าน 200 ล้านเหรียญในอเมริกา

ทุนสร้างของ The Purge นั้น ถือว่า มาแบบยาจก เมื่อใช้ไปเพียง 3 ล้านเหรียญ แต่เปิดตัวได้อย่างโคตรน่าประทับใจ 34.1 ล้านเหรียญ ทุบสถิติหนังสยองเรท อาร์ ที่เปิดตัวสูงที่สุดของปีที่แล้ว The Devil Inside (33.7 ล้านเหรียญ) ที่น่าทึ่งสำหรับหนังเรื่องนี้อีกอย่างก็คือ นี่เป็นหนังที่ไม่มีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ และรายได้เปิดตัวก็มากเป็น 2 เท่าของ Sinister หนังที่เป็นการร่วมงานกันของ ผู้อำนวยการสร้าง เจสัน บลัม และอีธาน ฮอว์ค เรื่องก่อน ซึ่งทำรายได้ไป 18 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

เมื่อดูกันสัปดาห์ต่อสัปดาห์ หนังที่น่าจะเปรียบเทียบกับ The Purge ได้ดีที่สุดก็คือ The Strangers ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 21 ล้านเหรียญ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปี 2008 ซึ่งยังเป็นหนังสยองถล่มบ้านเหมือนๆ กัน กับการที่หนังทำได้ดีขนาดนี้ ก็คงต้องมองไปถึงกลเม็ดในการโปรโมทที่มีลักษณะเฉพาะ และลงตัวกับหนัง ด้วยการตั้งคำถามที่ว่า "จะเป็นยังไง ถ้าให้อาชญากรรมกลายเป็นเรื่องถูกกฏหมาย ในเวลา12 ชั่วโมงต่อปี?” และทางทีมการตลาดของยูนิเวอร์แซลก็ขยายประเด็นที่ว่า ไปในทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ และผลลัพธ์ก็คือ หนังได้ใจคนดูนอกเหนือไปจากกลุ่มแฟนหนังสยองขวัญ โดย 56% เป็นผู้หญิง และ 56% อายุต่ำกว่า 25 ปี

ในปี 2012 หนังสยองขวัญรายได้สูงสุดคือ Paranormal Activity 4 กับรายได้ 53.9 ล้านเหรียญ ในปีนี้มีหนัง 2 เรื่องที่ยืนทำได้ดีกว่าแล้วคือ Mama และ Evil Dead ส่วน The Purge แน่นอนว่าน่าจะทำได้ดีกว่า 2เรื่องก่อนหน้านี้แน่ๆ แต่ก็ไม่น่าจะทำรายได้ได้ดีนักในสัปดาห์ต่อๆ ไป อย่างแรกก็คือ หนังสยองขวัญนั้น จะหายไปจากความสนใจเร็วมาก และการที่ได้คะแนน C จากซีนีมาสกอร์ กับการที่ได้คนดูในวันศุกร์มหาศาล (คิดเป็นรายได้ถึง 49% ของรายได้ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา) ก็แสดงให้เห็นลางๆ แล้วว่า หนังไม่สามารถสร้างกระแสะอะไรได้ แต่ก็น่าจะจบรายได้ที่ 70 – 80 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ยิ่งกว่าน่าพอใจอยู่แล้ว

อันดับ 2 เป็นของแชมป์เก่า Fast & Furious 6 รายได้ตกลง 44% ทำเงินไปอีก 19.6 ล้านเหรียญ มาถึงตอนนี้หนังรถซิ่งภาค 6 ทำรายได้มากถึง 202.8 ล้านเหรียญ และน่าจะแซงที่ Fast Five ทำไว้ 209.8 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์นี้

หลังเปิดตัวได้แรงเกินคาด ในสุดสัปดาห์ที่ 2ของการฉาย Now You See Me รายได้ตกเพียงแค่ 35% ทำเงินไป 19.04 ล้านเหรียญ ถือว่าเป็นรายได้ที่ทรงตัวมากๆ สำหรับการออกฉายในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งต้องให้เครดิตกับเสียงบอกปากต่อปากที่ดี  หนังทำรายได้ไปทั้งหมด 60.9 ล้าน และถ้ายังเดินหน้าไปได้ดีในระดับนี้ ก็น่าจะผ่าน 100 ล้านเหรียญได้เมื่อจบโปรแกรม

ที่เป็นไปตามคาดก็คือ คนดูไม่สนใจเรื่องราวในบริษัทกูเกิล เหมือนเรื่องราวในงานแต่งงาน ทำให้ The Internship เปิดตัวได้แค่อันดับที่ 4 กับรายได้เพียง 17.3 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าครึ่งที่หนัง Wedding Crashers ทำไว้ 33.9 ล้านเหรียญนิดหน่อย แต่ถ้ามองในแง่ดี ก็มากกว่าหนังเรื่องก่อนของวอห์น The Watch (12.8 ล้านเหรียญ) และ Hall Pass (13.5 ล้านเหรียญ) ของวิลสัน มีหลายๆ องค์ประกอบที่ทำให้ The Internship ไม่สามารถทำได้ดี ทั้งๆ ที่เป็นก็ถือเป็นการสานต่อความสำเร็จของ Wedding Crashers กลายๆ ไม่ว่าจะเป็น หลังความสำเร็จของ Wedding Crashers ทั้งคู่ต่างก็มีหนังของตัวเองที่ประสบความสำเร็จ แต่งานในช่วงหลังๆ กลับไม่ได้ทั้งคนดู และคำวิจารณ์ แล้วแทนที่จะเป็นการคืนฟอร์ม The Internship กลับต้องดิ้นรนอย่างหนักกับการทำการตลาด เมื่อถูก-ดันว่ากำลังหากินด้วยการผูกตัวเองเข้ากับกูเกิล หนังได้ทั้งคำวิจารณ์แย่ๆ แถมการได้เรท พีจี-13 แทนที่จะเป็น อาร์ เหมือน Wedding Crashers ซึ่งทำให้หนังออกมาสะใจคนดูมากกว่า ก็ส่ง The Internship จบเห่เร็วขึ้น

คนดูของหนังแบ่งเป็นชาย-หญิง จำนวนเท่าๆ กัน และหนักไปทางอายุแยะ เมื่อมี 61 % อายุ 25 ปีขึ้นไป หนังได้คะแนน B+ จากซีนีมาสกอร์ ซึ่งไม่ได้ทำให้ปากต่อปากดีเท่าไหร่ แล้วในสุดสัปดาห์นี้ก็ยังมีหนังแนวเดียวกันอย่าง This is the End เปิดตัวอีก The Internship ไม่น่าจะยืนระยะได้มากพอจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้แน่ๆ

Epic ทำรายได้ลดลง 29% เก็บเงินมาอีก 11.9 ล้านเหรียญ ทำให้ยังไม่หลุดจาก 5 อันดับแรก ผ่านการฉายมา 3 สัปดาห์ แอนิเมชั่นของบลู สกายเรื่องนี้ทำรายได้ไป 83.9 ล้านเหรียญ และมีโอกาสเก็บเงินได้ในสุดสัปดาห์นี้อีกแค่สัปดาห์เดียว เพราะ Monsters University จ่อเข้าโรงแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน

Star Trek Into Darkness รายได้ตกไป 32% ทำเงินได้ 11.4 ล้านเหรียญ ขณะที่ในสัปดาห์เดียวกันหนังปี 2009 ทำรายได้ไว้ 12.6 ล้านเหรียญ แต่ถึงจะทำได้ไม่เท่าหนังก็ทำเงินผ่าน 200 ล้านเหรียญได้ก่อนถึงสุดสัปดาห์นี้แน่ๆ

แต่วิลล์ กับจาเดน สมิธไม่มีช่วงเวลาดีๆ แบบนั้น หนังไซ-ไฟของสองพ่อ-ลูก After Earth หล่นมาอยู่ที่ 7 เก็บเงินได้อีกแค่ 10.7 ล้านเหรียญ ซึ่งตกจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่เป็นสัปดาห์เปิดตัว 61% หนังทำเงินไปหวิวๆ แค่ 46.1 ล้านเหรียญ และน่าจะทำรายได้ต่ำกว่า 70 ล้านเหรียญ

หนัง จอสส์ วีดอน Much Ado About Nothing เปิดตัว 171,941 เหรียญจาก 5 แห่ง และมีแผนจะขยายโรงเพิ่มอีกนิดหน่อยในสัปดาห์นี้ ก่อนจะเปิดตัวเต็มที่ 200-300 แห่งในวันที่ 21 มิถุนายน 21.

สำหรับตลาดนอกอเมริกา แม้ในบ้านจะไม่ได้รับการชื่นชม แต่นอกอเมริกาแล้ว After Earth ถือว่าเปิดตัวได้ใช้ได้กับ 45.5 ล้านเหรียญ ถ้ารวมกับรายได้ที่เปิดตัวในเกาหลีเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าด้วย หนังทำเงินไปแล้ว 48.6 ล้านเหรียญ ซึ่งพอๆ กับ Oblivion ในตลาดเดียวกัน ซึ่งหนังปิดโปรแกรมนอกอเมริกาด้วยรายได้เกือบๆ 200 ล้านเหรียญ และนั่นคือเป้าหมายที่ดีที่สุด ที่ After Earth พอจะหวังได้ โดยหนังทำเงินในอันดับ 1 ที่ รัสเซีย (8.5 ล้านเหรียญ) และไปได้ดีในเม็กซิโก (5.3 ล้านเหรียญ) หนังเปิดตัวแล้วที่ฝรั่งเศส (4 ล้านเหรียญ), อังกฤษ (3.5 ล้านเหรียญ), อิตาลี (2.2 ล้านเหรียญ), บราซิล (2.1 ล้านเหรียญ) และเยอรมันนี (1.9 ล้านเหรียญ)

หนัง Fast & Furious 6 เก็บเงินได้อีก 45.3 ล้านเหรียญ โดยหนึ่งในนั้นคือรายได้เปิดตัว 10.8 ล้านเหรียญ ที่ออสเตรเลีย ที่เป็นรายได้เปิดตัวที่นี่มากที่สุดสำหรับหนังยูนิเวอร์แซล หนังทำเงินไปแล้ว 381.7 ล้านเหรียญ และน่าจะแซงผ่าน Fast Five (416 ล้านเหรียญ) ในสุดสัปดาห์นี้ การที่ยังไม่เปิดตัวในญี่ปุ่น และจีน ทำให้มองรายได้ไปไกลถึง 500 ล้านเหรียญได้

หลังเปิดตัวในสุดสัปดาห์ที่ก่อนอย่างแรง สัปดาห์ที่ผ่านมารายได้ของ The Hangover Part III ตกถึง 57% ทำรายได้มาอีก 34.8 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 170.5 ล้านเหรียญ ถึงจะยังไม่เปิดตัวในญี่ปุ่น และเม็กซิโก แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้ ที่หนังจะทำเงินทาบที่ภาค 3 ทำไว้ 332 ล้านเหรียญ

Star Trek Into Darkness ได้เงินมาอีก 17.6 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 176.4 ล้านเหรียญ The Great Gatsby เก็บเงินมา 13.3 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 142.6 ล้านเหรียญ ส่วน Epic ได้ตังค์อีก 12.7 ล้านเหรียญ ทำให้รายได้รวมเกิน 100 ล้านเหรียญ เป็น 105.4 ล้านเหรียญแล้ว

อ่านแล้วชอบอยากให้กำลังใจคลิก Like ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos
และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงมากมายได้ที่ www.sadaos.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่