ถ้าคนเสื้อแดงไม่ใช่ “ขี้ข้าทักษิณ” จะต้องมองเห็นความจริงที่แสนเจ็บปวด
ไม่ใช่คนอื่นไกลหรอก ที่อยากเห็นคนเสื้อแดงล้มตายในปี 2553
ไม่ใช่คนอื่นไกลหรอก ที่อยากให้ทักษิณลอยคอกลางทะเลอยู่ต่างประเทศต่อไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่คนอื่นไกลหรอก ที่อยากล้างผิดให้ฆาตกรฆ่าคนเสื้อแดง ฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน
มันพวกเดียวกันทั้งนั้น!
1) นายวีระ มุสิกพงศ์ เคยให้สัมภาษณ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อครั้ง 19 พ.ค.55
เปิดเผยความจริงของความสูญเสียในเหตุการณ์ปี 2553 หลังจากการเจรจากับรัฐบาลอภิสิทธิ์ล้มเหลวลงเพราะฝ่ายเสื้อแดงเองที่ล้มโต๊ะเจรจา แล้วนายวีระก็ยุติบทบาทการนำมวลชน
บทสัมภาษณ์บางตอนระบุว่า....
นักข่าว : วันนั้นทำไมตัดสินใจลงจากรถไฟขบวน นปช. ก่อนจะถึงที่หมายประชาธิปไตย?
นายวีระ : “วันที่ผมลงจากรถไฟก็มีคนเสื้อแดงมากมายกล่าวหาว่าผมละทิ้งมวลชน เพราะไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลคือ 1.ถูกขังอยู่ 2.เมื่อศาลให้ประกันตัวแล้ว มีเงื่อนไขว่าห้ามให้สัมภาษณ์ใดๆ ก็เลยต้องนิ่งต่อไป
แม้สิ่งที่ผมทำจะมีคนเห็นด้วยจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อเราเป็นเสียงข้างน้อยในกลุ่มแกนนำ ก็ควรที่จะสละอำนาจบริหารและถอยลงมา ผมได้แต่ฝากทิ้งท้ายว่าเราได้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลอย่างเต็มที่แล้วคือ รัฐบาลประกาศยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. 53 เมื่อไม่รับข้อเสนอนี้ผมก็ไม่อาจรับผิดชอบได้ ผมขอลงก่อนที่บางซื่อ ไม่ไปหัวลำโพง เพราะมีอีกหลายศพระหว่างทาง ผมรู้ดี ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้แกนนำต้องรับผิดชอบ”
นักข่าว : ผลการเจรจารอบแรกคุณวีระยอมรับให้มีการเลือกตั้ง แต่ทำไมแพ้โหวตใน นปช.?
นายวีระ : “ผมขออนุญาตไม่พูดดีกว่า พูดไปกระทบบุคคลอื่น ปล่อยให้ทุกคนรู้กันไปตามธรรมชาติ เอาเป็นว่าในวันนั้นผมไม่สามารถอธิบายกับคนอื่นได้ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทุกคนรับรู้แล้วว่า หากยุติการชุมนุมตั้งแต่วันนั้นก็จะไม่มีคนตายถึง 91 ศพ”....
หากเพียงแต่ไม่ปิดหูปิดตา ปิดกั้นสามัญสำนึกของตนเอง ใครที่อ่านตรงนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่านายวีระ หมายถึงอะไร? และมันสะท้อนว่า ใครกันแน่ที่ต้องการให้คนเสื้อแดงตาย เพื่อหวังผลทางการเมือง
2) นายวิสา คัญทัพ เคยเขียน “บันทึกพ่ายแพ้-สรุปบทเรียน” บอกถึงการตัดสินใจยุติบทบาทบนเวทีเสื้อแดงของเขา ในช่วงปี 2553 บางตอน ระบุว่า
“...ทำไม วีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงเขียนจดหมายประกาศยุติบทบาทการต่อสู้โดยประกาศลงที่สถานีบางซื่อ ไม่ขอเดินทางต่อไปถึงสถานีหัวลำโพง คำตอบย่อมมาจากการกลั่นกรองเหตุผลหลายประการจนตกผลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่ยอมให้มีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อประชาชนอีกต่อไป
เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ยึดมั่นแนวทางสันติวิธีในการต่อสู้
เป็นการตัดสินใจที่เห็นว่าข้อเรียกร้อง "ยุบสภา" ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแล้วตามเงื่อนไขที่ได้เจรจากัน ดังที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนการเจรจา และผ่านมติเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง
รายละเอียดสุดท้ายคือการให้ประกันตัวแกนนำทั้ง 24 คน ซึ่งรัฐบาลยอมรับ ขณะที่แกนนำบางส่วนไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะทำตามคำพูด เพราะหลายคนยังหวั่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งยังเพิ่มข้อเรียกร้องเรื่องนายสุเทพ เทือกสุบรรณต้องมอบตัวให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมกรณีสั่งฆ่าประชาชน 10 เมษาฯ อ้างว่าเพื่อเป็นการรับผิดชอบกับชีวิตวีรชนประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องเรื่องสุเทพมอบตัวทำให้เกิดความสับสนในข้อกฎหมายว่าจะสิ้นสุดลงอย่างไรจึงจะเป็นที่ยอมรับของแกนนำคนเสื้อแดง
วีระ มุสิกพงศ์ เลือกลดบทบาทจากแกนนำลงไปเป็นคนเสื้อแดงธรรมดา เพราะเห็นว่า การทำตามสัจจะที่ได้ประกาศไว้มีความสำคัญต่อสังคมอย่างที่สุด เมื่อประกาศร่วมกันว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เอาการนิรโทษกรรม ย่อมถือว่าสังคมรับรู้แล้ว เมื่อประกาศจะยุบสภาตามวันเวลาที่ชัดแจ้งก็ผูกมัดรัฐบาลต่อสายตาสังคมโลก แกนนำคนเสื้อแดงสมควรมอบตัวโดยมิต้องหวั่นไหวใดๆ แม้จะมีการหักหลัง จับกุมกักขังไม่ให้ประกัน แม้อภิสิทธิ์ สุเทพจะหลบหลีกไม่ยอมมอบตัว ก็เป็นเรื่องปกติของฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจรัฐที่สามารถกระทำเช่นนั้นได้... ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อดิศร เพียงเกษ,ไพจิตร อักษรณรงค์ และผม เห็นด้วยและตัดสินใจลงสถานีเดียวกัน”
ยิ่งกว่านั้น นายวิสา คัญทัพ ยังเปิดเผยถึงสภาพการณ์ภายในแกนดำเสื้อแดง ปี 2553 อีกด้วยว่า
“...เมื่อครั้งที่ผมและไพจิตร อักษรณรงค์ได้รับมอบหมายให้ดูแลเวทีปราศรัยที่ผ่านฟ้าลีลาศ ก่อนเกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน เราคุมสถานการณ์ด้วยสันติวิธี ขณะเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มาบินวนในช่วงบ่ายวันนั้น ผมประกาศให้คนออกมาจากเต็นท์ให้หมด มารวมกันหน้าเวที เพื่อให้เจ้าหน้าที่บนเครื่องบินที่บินสังเกตุการณ์ได้เห็นว่ามีคนเสื้อแดงมากมาย ผมให้พี่น้องนั่งลง สงบนิ่ง ตั้งสติ ทำสมาธิ ยึดหลักการสันติอหิงสา ปล่อยให้ตำรวจทหารเข้ามาโดยไม่ขัดขวาง หากเขาจะมาจับแกนนำ ให้เปิดทางให้เขาเข้ามาจับบนเวที พวกเราพร้อม เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียใดๆกับพี่น้องประชาชน
หลังจากผมพูดจบลง ไมโครโฟนก็ถูกแย่งดึงโดยบางคนที่ปลุกเร้าเร่าร้อนระดมกำลังให้ออกไปปะทะเผชิญสะกัดกั้นไม่ให้ตำรวจทหารผ่านเข้ามาตามด่านต่างๆ ผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความรุนแรง ผมเดินลงจากเวที เพราะผมไม่อยู่ในฐานะที่ไปห้ามปรามแล้วเพื่อนๆจะฟัง และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดสวนทางกันให้สับสน ในใจคิดว่าหากมีการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตอีก คงรับไม่ไหว ผมติดต่อไปหาณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่เวทีราชประสงค์ให้มาคุมสถานการณ์ที่นี่ด้วยตัวเอง ก่อนที่มันจะลุกลามบานปลาย แต่ไม่เป็นผล ที่สุดก็ปะทะกันรุนแรง หลังเหตุการณ์นี้ผมเร่งเร้าให้ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยุติเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หากไม่มีคนนำที่แกนนำเชื่อฟังมาคุมเวที ก่อนที่ประวัติศาสตร์นองเลือดจะซ้ำรอย ซึ่งเป็นผลสำเร็จในที่สุดเมื่อตกลงย้ายการชุมนุมไปรวมที่ราชประสงค์จุดเดียว...”
3) จนถึง พ.ศ.นี้ 2556 แกนนำเสื้อแดงอีกคน นายขวัญชัย ไพรพนา ก็ยังให้สัมภาษณ์ เปิดโปให้เห็นไส้ในของแกนนำเสื้อแดงด้วยกัน ว่าใครเพียงเคลื่อนไหวหลอกกินเงินทักษิณไปวันๆ
นายขวัญชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เดินทางเข้าร่วมกิจกรรม “รำลึก ครบ 3 ปี การชุมนุมปี 53”
บอกว่า “ผมไม่มาอยู่แล้ว ถ้าร้องรำทำเพลงเต้นกินรำกิน จัดรำลึกทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนผมไม่เอา แดงอีสานจะไม่เป็นเครื่องมือให้ใครแล้วพอกันที เราพาคนมาหนุนให้เป็นซูเปอร์สตาร์แท้ๆ แต่มาข้ามหัวกัน แดงใหม่ๆ ทำตัวใหญ่คับฟ้า มีผลประโยชน์กันทั้งนั้น จัดงานเวทีแต่ละครั้งไปเอาเงินจากทักษิณ เอาเงินจากครอบครัวชินวัตรมาทั้งนั้น จัดเวทีโบนันซ่าฯ เอาเงินพี่เฉลิมมา 5 แสน เอาคุณหญิงอ้อ 5 แสน เอาพรรค 5 แสน จัดเสร็จเหลือกำไรเงินทอนทั้งนั้น”
นายขวัญชัยยังออกมาระบุอีกด้วยว่า เหตุที่แกนนำ นปช.และ ส.ส.เพื่อไทยบางส่วนไม่สนับสนุนกฎหมายล้างผิดให้ทักษิณ เนื่องจากไม่อยากให้ทักษิณกลับ “หากทักษิณกลับจะมาจัดระเบียบอะไรหลายอย่าง ซึ่งจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เสียผลประโยชน์ ท่านทักษิณบ่นกับผมเสมอว่า พวกนั้นไม่อยากให้กลับ”
แม้แต่ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังหลุดปาก สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย บอกว่า “มีบางคนไม่อยากให้กลับ เพราะกลัวว่าตัวเองไม่สำคัญ”
4) จะเห็นได้ว่า จากต้นจนปลาย เต็มไปด้วยกลเกมของการหลอกลวง ต้มตุ๋น
ใช้คนเสื้อแดงเป็นเสมือน “เบี้ย” ในเกมการเมือง
ทั้งๆ ที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อำนาจบริหารประเทศแล้ว กลับไม่มุ่งหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังสาละวนอยู่กับปัญหาส่วนตัวของพี่ชาย ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น กระทั่งบ้านเมืองยังไม่สงบจนถึงวันนี้
คนเสื้อแดงจะยอมเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ไปอีกนานแค่ไหน?
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/6871
ปล.ผมเองก็อยากเห็น เสื้อแดง ตาสว่างไว ๆ ครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ
แดงจี้ใจดำแดง
ไม่ใช่คนอื่นไกลหรอก ที่อยากเห็นคนเสื้อแดงล้มตายในปี 2553
ไม่ใช่คนอื่นไกลหรอก ที่อยากให้ทักษิณลอยคอกลางทะเลอยู่ต่างประเทศต่อไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่คนอื่นไกลหรอก ที่อยากล้างผิดให้ฆาตกรฆ่าคนเสื้อแดง ฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน
มันพวกเดียวกันทั้งนั้น!
1) นายวีระ มุสิกพงศ์ เคยให้สัมภาษณ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อครั้ง 19 พ.ค.55
เปิดเผยความจริงของความสูญเสียในเหตุการณ์ปี 2553 หลังจากการเจรจากับรัฐบาลอภิสิทธิ์ล้มเหลวลงเพราะฝ่ายเสื้อแดงเองที่ล้มโต๊ะเจรจา แล้วนายวีระก็ยุติบทบาทการนำมวลชน
บทสัมภาษณ์บางตอนระบุว่า....
นักข่าว : วันนั้นทำไมตัดสินใจลงจากรถไฟขบวน นปช. ก่อนจะถึงที่หมายประชาธิปไตย?
นายวีระ : “วันที่ผมลงจากรถไฟก็มีคนเสื้อแดงมากมายกล่าวหาว่าผมละทิ้งมวลชน เพราะไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลคือ 1.ถูกขังอยู่ 2.เมื่อศาลให้ประกันตัวแล้ว มีเงื่อนไขว่าห้ามให้สัมภาษณ์ใดๆ ก็เลยต้องนิ่งต่อไป
แม้สิ่งที่ผมทำจะมีคนเห็นด้วยจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อเราเป็นเสียงข้างน้อยในกลุ่มแกนนำ ก็ควรที่จะสละอำนาจบริหารและถอยลงมา ผมได้แต่ฝากทิ้งท้ายว่าเราได้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลอย่างเต็มที่แล้วคือ รัฐบาลประกาศยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. 53 เมื่อไม่รับข้อเสนอนี้ผมก็ไม่อาจรับผิดชอบได้ ผมขอลงก่อนที่บางซื่อ ไม่ไปหัวลำโพง เพราะมีอีกหลายศพระหว่างทาง ผมรู้ดี ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้แกนนำต้องรับผิดชอบ”
นักข่าว : ผลการเจรจารอบแรกคุณวีระยอมรับให้มีการเลือกตั้ง แต่ทำไมแพ้โหวตใน นปช.?
นายวีระ : “ผมขออนุญาตไม่พูดดีกว่า พูดไปกระทบบุคคลอื่น ปล่อยให้ทุกคนรู้กันไปตามธรรมชาติ เอาเป็นว่าในวันนั้นผมไม่สามารถอธิบายกับคนอื่นได้ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทุกคนรับรู้แล้วว่า หากยุติการชุมนุมตั้งแต่วันนั้นก็จะไม่มีคนตายถึง 91 ศพ”....
หากเพียงแต่ไม่ปิดหูปิดตา ปิดกั้นสามัญสำนึกของตนเอง ใครที่อ่านตรงนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่านายวีระ หมายถึงอะไร? และมันสะท้อนว่า ใครกันแน่ที่ต้องการให้คนเสื้อแดงตาย เพื่อหวังผลทางการเมือง
2) นายวิสา คัญทัพ เคยเขียน “บันทึกพ่ายแพ้-สรุปบทเรียน” บอกถึงการตัดสินใจยุติบทบาทบนเวทีเสื้อแดงของเขา ในช่วงปี 2553 บางตอน ระบุว่า
“...ทำไม วีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงเขียนจดหมายประกาศยุติบทบาทการต่อสู้โดยประกาศลงที่สถานีบางซื่อ ไม่ขอเดินทางต่อไปถึงสถานีหัวลำโพง คำตอบย่อมมาจากการกลั่นกรองเหตุผลหลายประการจนตกผลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่ยอมให้มีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อประชาชนอีกต่อไป
เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ยึดมั่นแนวทางสันติวิธีในการต่อสู้
เป็นการตัดสินใจที่เห็นว่าข้อเรียกร้อง "ยุบสภา" ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแล้วตามเงื่อนไขที่ได้เจรจากัน ดังที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนการเจรจา และผ่านมติเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง
รายละเอียดสุดท้ายคือการให้ประกันตัวแกนนำทั้ง 24 คน ซึ่งรัฐบาลยอมรับ ขณะที่แกนนำบางส่วนไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะทำตามคำพูด เพราะหลายคนยังหวั่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งยังเพิ่มข้อเรียกร้องเรื่องนายสุเทพ เทือกสุบรรณต้องมอบตัวให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมกรณีสั่งฆ่าประชาชน 10 เมษาฯ อ้างว่าเพื่อเป็นการรับผิดชอบกับชีวิตวีรชนประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องเรื่องสุเทพมอบตัวทำให้เกิดความสับสนในข้อกฎหมายว่าจะสิ้นสุดลงอย่างไรจึงจะเป็นที่ยอมรับของแกนนำคนเสื้อแดง
วีระ มุสิกพงศ์ เลือกลดบทบาทจากแกนนำลงไปเป็นคนเสื้อแดงธรรมดา เพราะเห็นว่า การทำตามสัจจะที่ได้ประกาศไว้มีความสำคัญต่อสังคมอย่างที่สุด เมื่อประกาศร่วมกันว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เอาการนิรโทษกรรม ย่อมถือว่าสังคมรับรู้แล้ว เมื่อประกาศจะยุบสภาตามวันเวลาที่ชัดแจ้งก็ผูกมัดรัฐบาลต่อสายตาสังคมโลก แกนนำคนเสื้อแดงสมควรมอบตัวโดยมิต้องหวั่นไหวใดๆ แม้จะมีการหักหลัง จับกุมกักขังไม่ให้ประกัน แม้อภิสิทธิ์ สุเทพจะหลบหลีกไม่ยอมมอบตัว ก็เป็นเรื่องปกติของฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจรัฐที่สามารถกระทำเช่นนั้นได้... ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อดิศร เพียงเกษ,ไพจิตร อักษรณรงค์ และผม เห็นด้วยและตัดสินใจลงสถานีเดียวกัน”
ยิ่งกว่านั้น นายวิสา คัญทัพ ยังเปิดเผยถึงสภาพการณ์ภายในแกนดำเสื้อแดง ปี 2553 อีกด้วยว่า
“...เมื่อครั้งที่ผมและไพจิตร อักษรณรงค์ได้รับมอบหมายให้ดูแลเวทีปราศรัยที่ผ่านฟ้าลีลาศ ก่อนเกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน เราคุมสถานการณ์ด้วยสันติวิธี ขณะเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มาบินวนในช่วงบ่ายวันนั้น ผมประกาศให้คนออกมาจากเต็นท์ให้หมด มารวมกันหน้าเวที เพื่อให้เจ้าหน้าที่บนเครื่องบินที่บินสังเกตุการณ์ได้เห็นว่ามีคนเสื้อแดงมากมาย ผมให้พี่น้องนั่งลง สงบนิ่ง ตั้งสติ ทำสมาธิ ยึดหลักการสันติอหิงสา ปล่อยให้ตำรวจทหารเข้ามาโดยไม่ขัดขวาง หากเขาจะมาจับแกนนำ ให้เปิดทางให้เขาเข้ามาจับบนเวที พวกเราพร้อม เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียใดๆกับพี่น้องประชาชน
หลังจากผมพูดจบลง ไมโครโฟนก็ถูกแย่งดึงโดยบางคนที่ปลุกเร้าเร่าร้อนระดมกำลังให้ออกไปปะทะเผชิญสะกัดกั้นไม่ให้ตำรวจทหารผ่านเข้ามาตามด่านต่างๆ ผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความรุนแรง ผมเดินลงจากเวที เพราะผมไม่อยู่ในฐานะที่ไปห้ามปรามแล้วเพื่อนๆจะฟัง และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดสวนทางกันให้สับสน ในใจคิดว่าหากมีการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตอีก คงรับไม่ไหว ผมติดต่อไปหาณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่เวทีราชประสงค์ให้มาคุมสถานการณ์ที่นี่ด้วยตัวเอง ก่อนที่มันจะลุกลามบานปลาย แต่ไม่เป็นผล ที่สุดก็ปะทะกันรุนแรง หลังเหตุการณ์นี้ผมเร่งเร้าให้ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยุติเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หากไม่มีคนนำที่แกนนำเชื่อฟังมาคุมเวที ก่อนที่ประวัติศาสตร์นองเลือดจะซ้ำรอย ซึ่งเป็นผลสำเร็จในที่สุดเมื่อตกลงย้ายการชุมนุมไปรวมที่ราชประสงค์จุดเดียว...”
3) จนถึง พ.ศ.นี้ 2556 แกนนำเสื้อแดงอีกคน นายขวัญชัย ไพรพนา ก็ยังให้สัมภาษณ์ เปิดโปให้เห็นไส้ในของแกนนำเสื้อแดงด้วยกัน ว่าใครเพียงเคลื่อนไหวหลอกกินเงินทักษิณไปวันๆ
นายขวัญชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เดินทางเข้าร่วมกิจกรรม “รำลึก ครบ 3 ปี การชุมนุมปี 53”
บอกว่า “ผมไม่มาอยู่แล้ว ถ้าร้องรำทำเพลงเต้นกินรำกิน จัดรำลึกทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนผมไม่เอา แดงอีสานจะไม่เป็นเครื่องมือให้ใครแล้วพอกันที เราพาคนมาหนุนให้เป็นซูเปอร์สตาร์แท้ๆ แต่มาข้ามหัวกัน แดงใหม่ๆ ทำตัวใหญ่คับฟ้า มีผลประโยชน์กันทั้งนั้น จัดงานเวทีแต่ละครั้งไปเอาเงินจากทักษิณ เอาเงินจากครอบครัวชินวัตรมาทั้งนั้น จัดเวทีโบนันซ่าฯ เอาเงินพี่เฉลิมมา 5 แสน เอาคุณหญิงอ้อ 5 แสน เอาพรรค 5 แสน จัดเสร็จเหลือกำไรเงินทอนทั้งนั้น”
นายขวัญชัยยังออกมาระบุอีกด้วยว่า เหตุที่แกนนำ นปช.และ ส.ส.เพื่อไทยบางส่วนไม่สนับสนุนกฎหมายล้างผิดให้ทักษิณ เนื่องจากไม่อยากให้ทักษิณกลับ “หากทักษิณกลับจะมาจัดระเบียบอะไรหลายอย่าง ซึ่งจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เสียผลประโยชน์ ท่านทักษิณบ่นกับผมเสมอว่า พวกนั้นไม่อยากให้กลับ”
แม้แต่ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังหลุดปาก สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย บอกว่า “มีบางคนไม่อยากให้กลับ เพราะกลัวว่าตัวเองไม่สำคัญ”
4) จะเห็นได้ว่า จากต้นจนปลาย เต็มไปด้วยกลเกมของการหลอกลวง ต้มตุ๋น
ใช้คนเสื้อแดงเป็นเสมือน “เบี้ย” ในเกมการเมือง
ทั้งๆ ที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อำนาจบริหารประเทศแล้ว กลับไม่มุ่งหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังสาละวนอยู่กับปัญหาส่วนตัวของพี่ชาย ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น กระทั่งบ้านเมืองยังไม่สงบจนถึงวันนี้
คนเสื้อแดงจะยอมเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ไปอีกนานแค่ไหน?
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6871
ปล.ผมเองก็อยากเห็น เสื้อแดง ตาสว่างไว ๆ ครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ