บทความนี้ผมได้ใช้ Technical Analysis มาวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของดัชนี SET ในระยะเวลาที่ผ่านมารวมเวลา 2 ปี เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์จะเป็น Fibonacci เพื่อคาดคะเนจุดสูงสุดต่ำสุดของรอบเป็นหลัก
สมมติฐานเริ่มแรกคือการปรับตัวขึ้นของดัชนี SET ในรอบ 2 ปีนี้เกิดจากการปรับฐานใหญ่ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 สิ้นสุดเดือนตุลาคม 2554 กินระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ดัชนี SET ปรับตัวลงจากจุดสูงสุด 1,148.28 จุดลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 843.69 จุด รวมปรับตัวลงทั้งสิ้น -304.59 จุด หรือ -26.53% จากจุดสูงสุด
จากสมมติฐานเราลาก Fibonacci Retracement จากจุดสูงสุดลงไปสู่จุดต่ำสุดของดัชนี SET ในกราฟผมจะใช้กราฟ SET Week ได้ผลลัพธ์ดังภาพที่ 1
จากภาพที่ 1 พบว่า ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้แรงโดยสามารถไปจนถึงระดับ 261.8% (1,640 จุด) มี error ประมาณ 10 จุดและปรับตัวลงมา จากนั้นหากเราวิเคราะห์รูปแบบการขึ้นของ SET ในรอบนี้พบว่าระหว่างทาง SET มีการปรับฐานย่อยเมื่อดัชนีขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,247.72 จุด กินเวลาประมาณ 1 เดือนปรับตัวลงไปประมาณ 140 จุด เราสามารถตั้งสมมติฐานที่ 2 ได้ว่าจุดสูงสุดก่อนที่ SET จะทำการปรับฐานย่อยเป็นการแบ่งการขึ้นของดัชนีรอบนี้ออกเป็นรอบย่อยๆ 2 ครั้ง โดยที่ 1,247.72 จุดเป็นจุดพักระหว่างรอบ
จากสมมติฐานดังกล่าวเราลาก Fibonacci Projection จากจุดต่ำสุด 843.69 จุด ขึ้นไปหา 1,247.72 จุด และกดลงบน 1,247.72 จุดซึ่งเราตั้งสมมติฐานว่าเป็นจุดกลางของการขึ้น จากกราฟ SET Week ได้ผลลัพธ์ดังภาพที่ 2
ดัชนี SET ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 100% (1,649.77 จุด) ของการปรับขึ้นพอดี
ต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์ที่อ้างอิงสมมติฐานด้านบนโดยแบ่งเป็น 2 กรณีคือสมมติฐานดังกล่าวถูกต้องและสมมติฐานดังกล่าวไม่ถูกต้อง การคาดการณ์ดังกล่าวจะเป็นการคาดการณ์อนาคตซึ่งไม่มีความแน่นอน เหตุการณ์ต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ผมเขียนบทความนี้และอาจจะทำให้มุมมองการวิเคราะห์เปลี่ยนไปได้
กรณีที่ 1 สรุปว่าหากสมมติฐาน 2 ข้อเบื้องต้นเป็นจริง การปรับตัวของ SET ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจจะเป็นการบอกให้เราทราบว่า SET ได้ผ่านจุดสูงสุดของรอบการขึ้นอันยาวนานเป็นระยะเวลา 2 ปีแล้วและอาจจะมีการปรับฐาน ซึ่งแยกย่อยได้อีก 2 กรณี
กรณีที่ 1.1 Worst Case คือเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ประมาณ 400 จุด เมื่อใช้ Fibonacci Retracement เพื่อคาดการณ์ระดับการปรับฐานของ SET โดยลากจากจุดต่ำสุดสู่จุดสูงสุดของรอบ และนำทฤษฎี Elliotts Wave มาจับกราฟ Week ของ SET
การปรับฐานใหญ่นี้มีเงื่อนไขคือ Wave a SET ปรับตัวลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Wave 4 คือ 1,458.40 จุด ซึ่งเป็นระดับ 23.6% ของ Fibonacci พอดี ดัชนี SET ก็อาจจะมีการปรับฐานใหญ่ดังภาพ มีเป้าหมายการจบการปรับฐานใหญ่ที่ระดับ Fibonacci 50% มีจุดต่ำสุดประมาณ 1,247 จุด หรือลดลงจากจุดสูงสุด 24.37% หรือประมาณ 402 จุด ตามรูปที่ 3
กรณีที่ 1.2 Medium Case คือเกิดการปรับฐานครั้งที่เล็กลงมาหน่อย ประมาณ 300 จุด โดยมีเงื่อนไขคือ Wave a SET ไม่หลุดจุดต่ำสุดของ Wave 4 คือ 1,458.40 จุด ดัชนี SET ก็อาจจะมีการปรับฐานลงสู่ระดับ Fibonacci 38.2% มีจุดต่ำสุดประมาณ 1342 - 1314 จุด หรือลดลงจากจุดสูงสุด 18% - 20% หรือประมาณ 307 - 335 จุด ตามรูปที่ 4
กรณีที่ 2 Best Case อย่างไรก็ตามหากสมมติฐานที่ว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนี SET ในรอบนี้เกิดจากการปรับฐานใหญ่เดือนสิงหาคม 2554 กรณีที่ 1.1 และ 1.2 จะไม่เกิดขึ้น โดยมีเงื่อนไขที่ว่า SET สามารถปรับตัวขึ้นไปทำ New High > 1,649 จุดได้ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นต่อไปเลยหรือมีการปรับฐานย่อยๆโดยไม่หลุด Low เดิม 1,458 จุด หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าการปรับตัวขึ้นครั้งนี้ของดัชนี SET อาจจะเกิดจากการปรับฐานครั้งใหญ่สมัย Sub Prime Crisis ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งตอนนั้นรวมระยะเวลาปรับฐาน 1 ปี รวมทั้งสิ้น 541 จุด ลาก Fibonacci Retracement จากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุด จะได้ผลลัพธ์ดังรูปที่ 5
จากรูปพบว่า SET ผ่านระดับ 161.8% และไปต่อหลังจากลงมาเทส 1 ครั้ง โดยเป้าหมายต่อไปของการปรับตัวขึ้นคือ 261.8% ที่ระดับ 1,800 จุดพอดิบพอดี
SET จะไปต่อหรือต้องปรับฐาน อีกไม่กี่อาทิตย์เราก็คงจะได้รู้พร้อมๆกันครับ แต่ไม่ว่าดัชนี SET จะเป็นไปในทิศทางไหน ตลาดหุ้นก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนงามๆให้กับทุกคนได้ (อาจจะรวมทั้งสร้างผลขาดทุนเจ็บๆให้กับเราด้วย) ขอให้เพื่อนๆทุกคนโชคดีในการลงทุนและอย่าประมาท จำกัดความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop ทุกครั้งที่ลงทุนครับ
SET อาจจะผ่านจุดสูงสุดของรอบนี้ไปแล้ว?
สมมติฐานเริ่มแรกคือการปรับตัวขึ้นของดัชนี SET ในรอบ 2 ปีนี้เกิดจากการปรับฐานใหญ่ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 สิ้นสุดเดือนตุลาคม 2554 กินระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ดัชนี SET ปรับตัวลงจากจุดสูงสุด 1,148.28 จุดลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 843.69 จุด รวมปรับตัวลงทั้งสิ้น -304.59 จุด หรือ -26.53% จากจุดสูงสุด
จากสมมติฐานเราลาก Fibonacci Retracement จากจุดสูงสุดลงไปสู่จุดต่ำสุดของดัชนี SET ในกราฟผมจะใช้กราฟ SET Week ได้ผลลัพธ์ดังภาพที่ 1
จากภาพที่ 1 พบว่า ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้แรงโดยสามารถไปจนถึงระดับ 261.8% (1,640 จุด) มี error ประมาณ 10 จุดและปรับตัวลงมา จากนั้นหากเราวิเคราะห์รูปแบบการขึ้นของ SET ในรอบนี้พบว่าระหว่างทาง SET มีการปรับฐานย่อยเมื่อดัชนีขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,247.72 จุด กินเวลาประมาณ 1 เดือนปรับตัวลงไปประมาณ 140 จุด เราสามารถตั้งสมมติฐานที่ 2 ได้ว่าจุดสูงสุดก่อนที่ SET จะทำการปรับฐานย่อยเป็นการแบ่งการขึ้นของดัชนีรอบนี้ออกเป็นรอบย่อยๆ 2 ครั้ง โดยที่ 1,247.72 จุดเป็นจุดพักระหว่างรอบ
จากสมมติฐานดังกล่าวเราลาก Fibonacci Projection จากจุดต่ำสุด 843.69 จุด ขึ้นไปหา 1,247.72 จุด และกดลงบน 1,247.72 จุดซึ่งเราตั้งสมมติฐานว่าเป็นจุดกลางของการขึ้น จากกราฟ SET Week ได้ผลลัพธ์ดังภาพที่ 2
ดัชนี SET ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 100% (1,649.77 จุด) ของการปรับขึ้นพอดี
ต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์ที่อ้างอิงสมมติฐานด้านบนโดยแบ่งเป็น 2 กรณีคือสมมติฐานดังกล่าวถูกต้องและสมมติฐานดังกล่าวไม่ถูกต้อง การคาดการณ์ดังกล่าวจะเป็นการคาดการณ์อนาคตซึ่งไม่มีความแน่นอน เหตุการณ์ต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ผมเขียนบทความนี้และอาจจะทำให้มุมมองการวิเคราะห์เปลี่ยนไปได้
กรณีที่ 1 สรุปว่าหากสมมติฐาน 2 ข้อเบื้องต้นเป็นจริง การปรับตัวของ SET ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจจะเป็นการบอกให้เราทราบว่า SET ได้ผ่านจุดสูงสุดของรอบการขึ้นอันยาวนานเป็นระยะเวลา 2 ปีแล้วและอาจจะมีการปรับฐาน ซึ่งแยกย่อยได้อีก 2 กรณี
กรณีที่ 1.1 Worst Case คือเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ประมาณ 400 จุด เมื่อใช้ Fibonacci Retracement เพื่อคาดการณ์ระดับการปรับฐานของ SET โดยลากจากจุดต่ำสุดสู่จุดสูงสุดของรอบ และนำทฤษฎี Elliotts Wave มาจับกราฟ Week ของ SET
การปรับฐานใหญ่นี้มีเงื่อนไขคือ Wave a SET ปรับตัวลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Wave 4 คือ 1,458.40 จุด ซึ่งเป็นระดับ 23.6% ของ Fibonacci พอดี ดัชนี SET ก็อาจจะมีการปรับฐานใหญ่ดังภาพ มีเป้าหมายการจบการปรับฐานใหญ่ที่ระดับ Fibonacci 50% มีจุดต่ำสุดประมาณ 1,247 จุด หรือลดลงจากจุดสูงสุด 24.37% หรือประมาณ 402 จุด ตามรูปที่ 3
กรณีที่ 1.2 Medium Case คือเกิดการปรับฐานครั้งที่เล็กลงมาหน่อย ประมาณ 300 จุด โดยมีเงื่อนไขคือ Wave a SET ไม่หลุดจุดต่ำสุดของ Wave 4 คือ 1,458.40 จุด ดัชนี SET ก็อาจจะมีการปรับฐานลงสู่ระดับ Fibonacci 38.2% มีจุดต่ำสุดประมาณ 1342 - 1314 จุด หรือลดลงจากจุดสูงสุด 18% - 20% หรือประมาณ 307 - 335 จุด ตามรูปที่ 4
กรณีที่ 2 Best Case อย่างไรก็ตามหากสมมติฐานที่ว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนี SET ในรอบนี้เกิดจากการปรับฐานใหญ่เดือนสิงหาคม 2554 กรณีที่ 1.1 และ 1.2 จะไม่เกิดขึ้น โดยมีเงื่อนไขที่ว่า SET สามารถปรับตัวขึ้นไปทำ New High > 1,649 จุดได้ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นต่อไปเลยหรือมีการปรับฐานย่อยๆโดยไม่หลุด Low เดิม 1,458 จุด หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าการปรับตัวขึ้นครั้งนี้ของดัชนี SET อาจจะเกิดจากการปรับฐานครั้งใหญ่สมัย Sub Prime Crisis ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งตอนนั้นรวมระยะเวลาปรับฐาน 1 ปี รวมทั้งสิ้น 541 จุด ลาก Fibonacci Retracement จากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุด จะได้ผลลัพธ์ดังรูปที่ 5
จากรูปพบว่า SET ผ่านระดับ 161.8% และไปต่อหลังจากลงมาเทส 1 ครั้ง โดยเป้าหมายต่อไปของการปรับตัวขึ้นคือ 261.8% ที่ระดับ 1,800 จุดพอดิบพอดี
SET จะไปต่อหรือต้องปรับฐาน อีกไม่กี่อาทิตย์เราก็คงจะได้รู้พร้อมๆกันครับ แต่ไม่ว่าดัชนี SET จะเป็นไปในทิศทางไหน ตลาดหุ้นก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนงามๆให้กับทุกคนได้ (อาจจะรวมทั้งสร้างผลขาดทุนเจ็บๆให้กับเราด้วย) ขอให้เพื่อนๆทุกคนโชคดีในการลงทุนและอย่าประมาท จำกัดความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop ทุกครั้งที่ลงทุนครับ