[เสียงคนวงนอก] เรื่องของ “ไท” และ “ทาส” : คุณสามารถ “ยิ้มรับความตาย” อย่างกล้าหาญได้หรือเปล่า?

[เสียงคนวงนอก] เรื่องของ “ไท” และ “ทาส” : คุณสามารถ “ยิ้มรับความตาย” อย่างกล้าหาญได้หรือเปล่า?

โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk


สารภาพกันตามตรง..หลายปีมาแล้วที่ผมจมดิ่งลงสู่ “เหวลึก” ที่มีสภาพเหมือนคุกที่มืดที่สุด ชนิดที่ว่ามองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน จะต่างกันที่ว่าเหวลึกที่ผมพูดถึงนี้ เป็น “เหวลึกในจิตใจ” อันหมายถึงสภาวะจิตที่หม่นหมอง ซึมเศร้า และขั้นที่ร้ายแรงคือ “หมดศรัทธาในตน” (No Self-Esteem) ชนิดที่บางครั้งคนที่กล้าฆ่าตัวตายเพื่อหนีไปพ้นๆ จากโลกนี้ อาจจะดีเสียกว่า..เพราะตายแล้วก็จบ เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง

ส่วนคนที่ไร้ศรัทธาในตน แต่กลับไม่กล้าพอที่จะจบชีวิตของตน ( เช่นผมเป็นต้น ) คนกลุ่มนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่เป็น “ทาส” ( Slave ) โดยอาการเริ่มแรก พวกเขาจะเชื่อว่าตนนั้นไม่สามารถต่อสู้กับ “ผู้เหนือกว่า” ( นายทาสหรือผู้ปกครองที่เป็นทรราช ) อันเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของคนๆ นั้นก็ดี หรือเกิดจากเรื่องเล่าจากคนรอบข้างก็ดี ว่าตัวทาส หรือเผ่าพันธุ์ของทาส ได้พ่ายแพ้ในการต่อสู้แก่บุคคลหรือเผ่าพันธุ์ของผู้เป็นนาย อย่ากระนั้นเลย..เราสู้เขาไม่ได้หรอก เราเกิดมาต่ำต้อยกว่าเขา ก็ต้องเป็นทาสรับใช้พวกเขา ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ อย่าคิดใฝ่สูงเกินศักดิ์ เพราะเราจะแพ้ และเราอาจจะต้องตาย

ใครนึกภาพไม่ออก..ลองนึกถึงทวีปอเมริกายุคที่ฝรั่งผิวขาวไปจับเอาคนผิวดำจากทวีปแอฟริกาไปเป็นทาส มีบันทึกทางประวัติศาสตร์และนวนิยายมากมายที่บรรยายภาพของทาสผิวดำในยุคนั้น ว่ามีสภาพไม่เหมือนมนุษย์ แต่เป็นเพียงสั.ตว์เลี้ยงหรือสิ่งของมากกว่า ผู้เป็นนายจะเอาไปทำอะไรก็ได้ ทารุณกรรมแค่ไหนก็ได้ และมีตลาดค้าทาสกันแบบเปิดเผย ไม่ต่างอะไรกับแผงค้าสั.ตว์เลี้ยงย่านจตุจักรของประเทศไทยเรา ที่คนมามุงดู มาเลือกซื้อสิ่งมีชีวิตที่ถูกจับมาขังในกรง อะไรประมาณนั้น

บ่นมา 3 ย่อหน้า จากปัญหาส่วนตัวไปถึงเรื่องของทาส บางคนอาจจะงง จริงๆ แล้วก็ขอเล่าต่อไปอีกนิด..คนที่มีสภาวะจิตที่เป็นทาสมาเป็นเวลานาน ( ซึ่งอาจจะอยู่ในยุคสมัยใดก็ได้ ตัวอาจจะไม่เป็นทาสก็ได้ เพราะประเทศไทยเราเลิกทาสมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่ความนึกคิดคนๆ นั้นอาจจะยังเป็นทาสอยู่ ) เมื่อมีทาสหน้าใหม่พยายามจะหนี หรือปลดแอกตนเองหรือเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ทาสหน้าเก่าๆ นี่แหละจะพูดจา หรือกระทำการใดๆ เพื่อ “บั่นทอนกำลังใจ” ของทาสหน้าใหม่ ให้ลังเลในความคิดของตนอยู่เสมอ

และหลายปีมานี้..ผมอยู่ในขอบข่ายของ “ทาสหน้าเก่า” ที่วันๆ หนึ่งรู้สึกหมดศรัทธา ไม่เชื่อว่าตนนั้นปลดแอกตนเองจากความเป็นทาสได้ แถมยังหงุดหงิดอยู่เสมอ เวลาที่เห็นใครก็ตาม พยายามจะปลุกพลังศรัทธา กระตุ้นความกล้าหาญในตน เพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมที่กดขี่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ จนหลายครั้งก็อดไม่ได้ ที่จะพูดจา ( ตอบกระทู้ ) เพื่อบั่นทอนกำลังใจของคนเหล่านั้น..แน่นอนว่ารวมถึงสัปดาห์นี้ด้วย

ช่วงนี้มีการ FWD บทความเรื่องการทดลอง 2 เรื่อง ที่ว่ากันว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวในวงการวิทยาศาสตร์ แชร์กันบน Social Network มากมาย เรื่องแรกเป็นเรื่องของลิง 6 ตัวถูกนำมารวมกันไว้ในกรง ด้านบนของกรงมีกล้วยหวีหนึ่งแขวนอยู่  แต่ถ้าลิงตัวไหนจะปีนขึ้นไปหยิบกล้วย ผู้วิจัยจะฉีดน้ำใส่ลิงตัวนั้นจนตกลงไปกองกับพื้น โดยเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง สมาชิกลิงรุ่นเก่าจะถูกนำออกไปทีละตัว แล้วสับเปลี่ยนลิงหน้าใหม่เข้าไปแทน จนท้ายที่สุดไม่มีลิงรุ่นแรกเหลืออยู่แล้ว แต่ลิงรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่กล้าปีนไปหยิบกล้วย ทั้งที่ไม่เคยเห็นลิงตัวเก่าถูกผู้วิจัยฉีดน้ำตกลงมากองกับพื้นมาก่อน แต่ลิงตัวอื่นๆ จะฉุดดึงไม่ให้ลิงตัวใดตัวหนึ่ง “แหลม” ปีนขึ้นไป

ส่วนเรื่องที่สองไม่ได้ทดลองกับลิง แต่ทดลองกับคนโดยตรง และถูกวิจารณ์หนักกว่าเรื่องแรกในแง่ของความหมิ่นเหม่เชิงศีลธรรม นั่นคือการทดลองที่ผู้วิจัยนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องทดลอง แล้วแยกคนเหล่านี้เป็น 2 กลุ่มย่อยอยู่คนละห้อง คนหนึ่งเป็นผู้ถามปัญหา อีกคนเป็นผู้ตอบ โดยร่างกายของผู้ตอบจะถูกเชื่อมต่อกับเครื่องปล่อยกระแสไฟฟ้า ถ้าผู้ตอบนั้นตอบคำถามผิด ผู้ถามจะต้องกดปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่ร่างของผู้ตอบ และจะต้องเพิ่มปริมาณกระแสไฟฟ้าขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ตอบผิด ซึ่งสูงสุดอยู่ที่ “450 โวลต์” ( Voltage ) อันเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยผู้วิจัยจะพูดจาข่มขู่ กดดันให้ผู้ถามปล่อยกระแสไฟฟ้าไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของผู้ตอบ จนผู้ถามบางคนทนไม่ไหว ขอออกจากการทดลองไปดื้อๆ ซึ่งท้ายที่สุด ผู้วิจัยได้เฉลยว่า..การทดลองนี้ทำเพื่อทดสอบความเชื่อที่ว่า “เมื่อมนุษย์ถูกกดดันด้วยความกลัว ก็พร้อมที่จะทำร้ายคนอื่นๆ ที่ไม่ได้โกรธแค้นกันมาก่อนได้” ทั้งนี้บรรดาคนที่เล่นบทผู้ตอบคำถามที่ต้องถูกช็อตไฟฟ้า ล้วนเป็นอาสาสมัครที่เตี๊ยมกับผู้วิจัยมาแล้ว และเครื่องช็อตไฟฟ้าดังกล่าว ก็ไม่ได้ใช้ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาจริงๆ แต่อย่างใด

การทดลองเรื่องแรก เป็นการตอกย้ำถึงสภาวะจำยอมเป็นทาสได้อย่างดี บรรดาทาสหน้าเก่าที่เห็นการพ่ายแพ้ในรุ่นของตน จะไปบอกเล่าต่อกับรุ่นหลังๆ ว่าคุณไม่มีวันปลดแอกตัวเองจากความเป็นทาสได้ จนรุ่นหลังๆ นั้นแม้ไม่เคยเห็นความพ่ายแพ้มาก่อน ก็จะบอกเล่าแต่เพียงว่า “นานมาแล้วมีคนเคยพยายามสู้ แต่เขาก็แพ้ นั่นคือเราสู้เขาไม่ได้หรอก ยอมเป็นทาสเพื่อเอาตัวรอดไปแบบนี้ดีกว่า” ( ส่วนผมเป็นทั้งทาสรุ่นแรกและรุ่นหลังพร้อมๆ กัน ดังนั้นวันนี้จึงต้องขอ “ขัดขา” บรรดาคนอยากเป็นผู้กล้าทั้งหลายครับ ) ส่วนการทดลองเรื่องหลัง ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมเป็นทาส ภายใต้ความกลัวของมนุษย์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

บทความดังกล่าว บอกว่ามีคนที่รับบทผู้ถามถึงร้อยละ 35 ปฏิเสธที่จะทำการทดลองต่อ และคืนเงินค่าจ้างให้ผู้วิจัย ซึ่งในสายตาผม มองว่าไม่แปลกที่จะมีคนจำนวนมากขนาดนี้ ( 65 ต่อ 35 ถือว่าไม่ต่างกันแบบมีนัยยะสำคัญเท่าไร ) ยอมเลิก เพราะรางวัลของการทดลองคือ “อามิสสินจ้าง” ซึ่งในสังคมจริงๆ อาจจะเป็นเงินทอง เป็นตำแหน่งลาภยศ ทั้งนี้สิ่งดังกล่าว ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจจะไม่สนใจ เพราะการอบรมสั่งสอนตั้งแต่ครอบครัวจนถึงในสถานศึกษา จะสอนให้เรามีมโนธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อลาภยศเงินทอง ขณะเดียวกัน ถ้าฐานะของบุคคลนั้นถือว่าไม่เดือดร้อนจนเกินไป ก็อาจจะไม่สนใจข้อเสนอทำนองนี้เลยก็ได้ ดังนั้นผมแนะนำว่า หากอยากให้การทดลองนี้สนับสนุนความเชื่อที่ว่า..เงื่อนไขการทดลองอาจจะต้องหนักขึ้น ชนิดสะใจคอซาดิสต์กันไปเลย

มีเรื่องเล่าถึงเกมที่เรียกว่า “รัสเซียนรูเล็ต” (Russian Roulette) อันเป็นเกมสุดสยองที่สุดอย่างหนึ่งที่มนุษย์นำมาทารุณกรรมมนุษย์ด้วยกัน โดยเชลยหรือนักโทษจะได้รับปืนลูกโม่ ( Revolver ) พร้อมกระสุน 1 นัด ผู้เล่นจะต้องปั่นโม่ที่บรรจุกระสุนนั้นเพื่อสุ่มว่ากระสุนจะไปอยู่จุดไหน จากนั้นหันปากกระบอกปืนเข้าหาอีกฝ่ายแล้วเหนี่ยวไก..แน่นอนว่าต้องมีคนตายอย่างน้อยๆ ก็ 1 คน ซึ่งเชลยหรือนักโทษดังกล่าว จะถูกกรอกหูจากผู้คุมมาตลอดว่าหากเล่นเกมนี้ชนะ ก็จะได้อิสรภาพ ( แน่นอนว่ามีน้อยคนที่ได้ ส่วนใหญ่รอดวันนี้ ก็ไปตายในเกมหน้าอยู่ดี ) ส่วนบรรดาผู้คุม หรือบรรดานักพนันที่เป็นเศรษฐีคอซาดิสต์ทั้งหลายก็สนุกไปกับการแทงพนัน..พนันที่มีชีวิตคนเป็นเดิมพัน

ดังนั้นถ้าอยากให้การทดลองที่ว่ามีรสชาติมากขึ้น อาจจะต้องขอความร่วมมือจากกลุ่มชายฉกรรจ์ท่าทางดุร้ายน่ากลัว ในการเอาปืนจ่อหัวผู้ถามพร้อมกับขู่ด้วยว่า “ถ้าผู้ถามไม่ยอมปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่ผู้ตอบ ผู้ถามก็จะถูกยิงตายเสียเอง” จากนั้นถ้ามีใครไม่ยอมกดปล่อยกระแสไฟฟ้า ก็ให้ชายฉกรรจ์พาตัวคนๆ นั้นออกไปอีกห้องหนึ่ง แล้วก็ทำให้เกิดเสียงปืนดังๆ ให้บรรดาผู้ถามที่ยังร่วมการทดลองได้ยินชัดๆ ( แน่นอนว่าไม่ได้ยิงจริงๆ เพียงแต่ลูกทีมของผู้วิจัยที่เล่นบทชายฉกรรจ์ท่าทางดุร้าย พาผู้ที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของผู้วิจัยไปเก็บไว้อีกห้องหนึ่ง จากนั้นก็เปิด Effect เสียงปืน หรืออาจจะใช้ลูก Blank ที่ไม่มีหัวกระสุนยิงขึ้นฟ้าให้เกิดเสียงดังเฉยๆ ก็ได้ เพื่อขู่อาสาสมัครทดลองที่เหลือ )

เชื่อผมเถอะครับ..ถ้าลองตั้งเงื่อนไขแบบนี้ อัตราส่วนคนที่ยอมฆ่าหรือทรมานคนอื่น เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด จะเพิ่มขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน เผลอๆ จำนวนคนที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง จะเหลือถึงร้อยละ 10 หรือเปล่าก็ไม่รู้

( มีต่อ )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่