ศาลอาญาชี้พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงตายจากกระสุนปืนความเร็วสูงของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่หน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ช่วงเสื้อแดงชุมนุมปี 2553
วันนี้ (30 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ในคดีหมายเลขดำ อช.4/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นคำร้องให้ไต่สวนสาเหตุการตายของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เพื่อให้ศาลทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จากเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ (ดอนเมือง) เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553
โดยวันนี้ทั้งพนักงานอัยการและญาติผู้ตาย ไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลแต่อย่างใด
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใดและใครเป็นผู้ทำให้ตาย ทั้งนี้ ผู้ร้องมีนายธวัชชัย สาละ บิดาผู้ตายเบิกความว่า ผู้ตายเป็นบุตรของตนเอง ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายรับราชการทหาร ส่วนพยานนั้นมี ร.อ.ธนรัชน์ มณีวงศ์, จ.ส.อ.นพดล ตนเตชะ, จ.ส.อ.โกศล นิลบุตร, ส.อ.อนุภัทร์ ขอมปรางค์ และนายพงษ์ระวี ชนะชัย (ขณะเกิดเหตุรับราชเป็นพลทหาร) เบิกความสอดคล้องกันว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 ร.อ.ธนรัชต์ มณีวงศ์ หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็ว ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็วด้วยรถจักรยานยนต์ เดินทางไปที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เพื่อเป็นกำลังเสริมให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ตั้งแนวสกัดในบริเวณนั้น ในชุดเคลื่อนที่เร็วดังกล่าว มีพลทหาร พงษ์ระวี ชนะชัย ขับขี่จักรยานยนต์ ส่วนผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรวมอยู่ด้วย เมื่อเดินทางด้วยจักรยานยนต์มาถึงแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณถนนวิภาวดี-รังสิต ขาออกช่องทางหลัก และเป็นแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ทหาร กลุ่มจักรยานยนต์ของพยานขับเรียงตามกันมาและเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงใกล้แนวสกัดของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ห่างประมาณ 50 เมตร โดยมีจักรยานยนต์ที่ ร.อ.ธนรัชต์นั่งมาเป็นคันแรก ส่วนพลทหารพงษ์ ระวี ชนะชัย ขี่รถจักรยานยนต์มีผู้ตายนั่งซ้อนท้ายตามมาเป็นคันที่ 5 เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 5 นัด พยานทั้งหมดจึงล้มจักรยานยนต์ลงและวิ่งเข้าหาที่กำบังตามยุทธวิธีทางทหารที่ได้ฝึกมา จากนั้นผู้ตายล้มตกลงจากจักรยานยนต์ จึงทราบว่าผู้ตายถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ต่อมา ร.อ.ธนรัชต์จึงสั่งให้ทหารนำเปลมารับผู้ตายเพื่อไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็ทราบว่าผู้ตายเสียชีวิตแล้ว
นอกจากนี้ยังมี ส.ต.ท.สุกิจ หวานไกล, ส.ต.อ.วินัย กองแก้ว และ ส.ต.อ.ณรงค์ ทองพูล ซึ่งอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งแนวสกัดกั้นกลุ่ม นปช.เบิกความสอดคล้องกันว่า ในวันเกิดเหตุได้ปฏิบัติหน้าที่และหันหน้าไปทางกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เมื่อเวลา 15.00 น. เห็นทหารวางกำลังอยู่บริเวณตอม่อทางขึ้นทางด่วนโทลล์เวย์ด้านฝั่งซ้ายและขวา แต่ละจุดมีทหารถืออาวุธปืนยาว 2 นาย และมีทหารกระจายกำลังอยู่บริเวณใกล้เคียง ต่อมามีจักรยานยนต์ 5-6 คันขับขี่เข้ามาตามถนนวิภาวดี-รังสิตขาออกช่องทางหลัก รจักรยานยนต์ทุกคันเปิดไฟหน้าสว่างจ้า เมื่อเข้าใกล้แนวสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจห่างประมาณ 50 เมตร พยานกับพวกเข้าใจว่าเป็นจักรยานยนต์ของกลุ่ม นปช. มีคนตะโกนให้หยุดและเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารยิงปืนไปที่กลุ่มจักรยานยนต์หลายนัด จากนั้นจักรยานยนต์กลุ่มดังกล่าวล้มลง และมีคนตะโกนว่ามีทหารถูกยิง
อีกทั้งนายนิโคลัส นอสสติสส์ ผู้สื่อข่าวอิสระ เบิกความว่า ในวันดังกล่าวพยานได้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อถ่ายภาพทำข่าวกลุ่ม นปช.ที่เคลื่อนไปบริเวณตลาดไท เมื่อมาถึงบริเวณอนุสรณ์สถาน ถ.วิภาวดี-รังสิตขาออก พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแนวสกัดกั้นกลุ่ม นปช.ส่วนทางคู่ขนานมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแนวสกัดเรียงหน้ากระดานเป็นแนวเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนกระจายกำลังกันจำนวนมาก โดยถืออาวุธปืนลูกซองยาว มีเจ้าหน้าที่ทหารหลายนาย ถืออาวุธปืนเอ็ม 16 และบางนายถืออาวุธปืนเอชเค 33 โดยเมื่อผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.เคลื่อนมาถึงและพยายามฝ่าแนวสกัด ก็ไม่สามารถผ่านไปได้ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงใช้ก้อนหิน หนังสติ๊ก ยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ส่วนทหารและตำรวจยิงกระสุนปืนยางใส่ผู้ชุมนุม มีเจ้าหน้าที่ทหารบางคนใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 และใช้อาวุธปืนเอชเค 33 ยิงขึ้นฟ้า ทั้งนี้เมื่อเวลา 15.30 น.ได้ยินเสียงจากกลุ่มทหารและตำรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารจึงใช้อาวุธปืนลูกซองยิงหลายนัด จักรยานยนต์ที่ทหารขับมาล้มลง พยานรีบวิ่งไปที่ผู้ตายที่ถูกยิงล้มลงและถ่ายภาพไว้ นอกจากนี้ยังมีนายจตุรงค์ สิรินภัทราวรรณ์ ช่างภาพโทรทัศน์สปริงนิวส์ เบิกความสอดคล้องกัน และแม้ว่าขณะเกิดเหตุไม่มีพยานของผู้ร้องยืนยันว่าผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นใคร แต่ผู้ร้องยังมี พ.ท.นพ.เสกสรร ชายทวีป แพทย์ผู้ชันสูตรศพผู้ตาย เบิกความว่า ได้ชันสูตรพลิกศพผู้ตาย พบว่าศีรษะผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบระหว่างหน้าขมับหางคิ้วขวา ขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร ยาว 6 เซนติเมตรและบาดแผลบริเวณหัวตาซ้าย ขนาดกว้าง 0.7 เซนติเมตร ยาว 1.5 เซนติเมตร และจากการผ่าศีรษะผู้ตาย ปรากฏว่าใต้หนังศีรษะพบรอยกระสุนและรอยฟกช้ำเป็นบริเวณกว้าง เนื้อสมองซีกซ้ายถูกทำลายอย่างรุนแรง และพบเศษโลหะ 6-7 ชิ้น ฝังอยู่ภายในกะโหลกและเนื้อสมอง และพบว่า วิถีกระสุน เข้าจากทิศทางซ้ายไปขวา ระหว่างหน้าขมับซ้ายและหางคิ้วซ้าย
นอกจากนี้ พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ ซึ่งรับราชการอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เบิกความว่า ได้รับมอบหมายให้ตรวจพิสูจน์จักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยษ กจ 683 ที่ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายขณะเกิดเหตุ และตรวจพิสูจน์เศษกระสุนปืนที่ผ่าออกจากศีรษะผู้ตายรวมทั้งตรวจหมวกทหารที่ผู้ตายสวมขณะเกิดเหตุ ผลการตรวจรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ปรากฎว่า บริเวณเบาะนั่งด้านซ้ายที่คนขับมีรอยกระสุนปืนทะลุไปทางด้านขวา และผลการตรวจพิสูจน์เศษกระสุนปืนที่ผ่าออกจากศีรษะผู้ตาย พบว่า เป็นกระสุนขนาด .223 นิ้ว หรือขนาด 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นกระสุนปืนความเร็วสูงที่ใช้กับอาวุธปืนเล็กยาวแบบเอ็ม 16 หรือเอชเค 33 เชื่อว่าพยานเบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้ยังมีเอกสารการตรวจวิถีกระสุนที่ยิงมาที่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายนั่งอยู่ พบว่ามาจากคนยืนยิง ไม่ใช่ยิงมาจากที่สูง
ดังนั้น พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมานั้น ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังเป็นประการอื่นได้ นั้นคือ ผู้ตายถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ด้วยกระสุนปืนขนาด .223 นิ้ว หรือขนาด 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งยิงจากจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้ตายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
จึงมีคำสั่งว่าผู้ตาย คือ พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ตายที่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต-ขาออก เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 เวลา 15.00 น. โดยถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง จากอาวุธปืนเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้น ซึ่งกระสุนเข้าที่ศีรษะด้านซ้ายบริเวณหางคิ้ว ผ่านทะลุกะโหลกและทำลายเนื้อเยื่อสมอง เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000051584
ศาลอาญาชี้พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงตายจากกระสุนปืนความเร็วสูงของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่หน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ
วันนี้ (30 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ในคดีหมายเลขดำ อช.4/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นคำร้องให้ไต่สวนสาเหตุการตายของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เพื่อให้ศาลทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จากเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ (ดอนเมือง) เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553
โดยวันนี้ทั้งพนักงานอัยการและญาติผู้ตาย ไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลแต่อย่างใด
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใดและใครเป็นผู้ทำให้ตาย ทั้งนี้ ผู้ร้องมีนายธวัชชัย สาละ บิดาผู้ตายเบิกความว่า ผู้ตายเป็นบุตรของตนเอง ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายรับราชการทหาร ส่วนพยานนั้นมี ร.อ.ธนรัชน์ มณีวงศ์, จ.ส.อ.นพดล ตนเตชะ, จ.ส.อ.โกศล นิลบุตร, ส.อ.อนุภัทร์ ขอมปรางค์ และนายพงษ์ระวี ชนะชัย (ขณะเกิดเหตุรับราชเป็นพลทหาร) เบิกความสอดคล้องกันว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 ร.อ.ธนรัชต์ มณีวงศ์ หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็ว ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็วด้วยรถจักรยานยนต์ เดินทางไปที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เพื่อเป็นกำลังเสริมให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ตั้งแนวสกัดในบริเวณนั้น ในชุดเคลื่อนที่เร็วดังกล่าว มีพลทหาร พงษ์ระวี ชนะชัย ขับขี่จักรยานยนต์ ส่วนผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรวมอยู่ด้วย เมื่อเดินทางด้วยจักรยานยนต์มาถึงแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณถนนวิภาวดี-รังสิต ขาออกช่องทางหลัก และเป็นแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ทหาร กลุ่มจักรยานยนต์ของพยานขับเรียงตามกันมาและเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงใกล้แนวสกัดของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ห่างประมาณ 50 เมตร โดยมีจักรยานยนต์ที่ ร.อ.ธนรัชต์นั่งมาเป็นคันแรก ส่วนพลทหารพงษ์ ระวี ชนะชัย ขี่รถจักรยานยนต์มีผู้ตายนั่งซ้อนท้ายตามมาเป็นคันที่ 5 เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 5 นัด พยานทั้งหมดจึงล้มจักรยานยนต์ลงและวิ่งเข้าหาที่กำบังตามยุทธวิธีทางทหารที่ได้ฝึกมา จากนั้นผู้ตายล้มตกลงจากจักรยานยนต์ จึงทราบว่าผู้ตายถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ต่อมา ร.อ.ธนรัชต์จึงสั่งให้ทหารนำเปลมารับผู้ตายเพื่อไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็ทราบว่าผู้ตายเสียชีวิตแล้ว
นอกจากนี้ยังมี ส.ต.ท.สุกิจ หวานไกล, ส.ต.อ.วินัย กองแก้ว และ ส.ต.อ.ณรงค์ ทองพูล ซึ่งอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งแนวสกัดกั้นกลุ่ม นปช.เบิกความสอดคล้องกันว่า ในวันเกิดเหตุได้ปฏิบัติหน้าที่และหันหน้าไปทางกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เมื่อเวลา 15.00 น. เห็นทหารวางกำลังอยู่บริเวณตอม่อทางขึ้นทางด่วนโทลล์เวย์ด้านฝั่งซ้ายและขวา แต่ละจุดมีทหารถืออาวุธปืนยาว 2 นาย และมีทหารกระจายกำลังอยู่บริเวณใกล้เคียง ต่อมามีจักรยานยนต์ 5-6 คันขับขี่เข้ามาตามถนนวิภาวดี-รังสิตขาออกช่องทางหลัก รจักรยานยนต์ทุกคันเปิดไฟหน้าสว่างจ้า เมื่อเข้าใกล้แนวสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจห่างประมาณ 50 เมตร พยานกับพวกเข้าใจว่าเป็นจักรยานยนต์ของกลุ่ม นปช. มีคนตะโกนให้หยุดและเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารยิงปืนไปที่กลุ่มจักรยานยนต์หลายนัด จากนั้นจักรยานยนต์กลุ่มดังกล่าวล้มลง และมีคนตะโกนว่ามีทหารถูกยิง
อีกทั้งนายนิโคลัส นอสสติสส์ ผู้สื่อข่าวอิสระ เบิกความว่า ในวันดังกล่าวพยานได้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อถ่ายภาพทำข่าวกลุ่ม นปช.ที่เคลื่อนไปบริเวณตลาดไท เมื่อมาถึงบริเวณอนุสรณ์สถาน ถ.วิภาวดี-รังสิตขาออก พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแนวสกัดกั้นกลุ่ม นปช.ส่วนทางคู่ขนานมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแนวสกัดเรียงหน้ากระดานเป็นแนวเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนกระจายกำลังกันจำนวนมาก โดยถืออาวุธปืนลูกซองยาว มีเจ้าหน้าที่ทหารหลายนาย ถืออาวุธปืนเอ็ม 16 และบางนายถืออาวุธปืนเอชเค 33 โดยเมื่อผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.เคลื่อนมาถึงและพยายามฝ่าแนวสกัด ก็ไม่สามารถผ่านไปได้ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงใช้ก้อนหิน หนังสติ๊ก ยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ส่วนทหารและตำรวจยิงกระสุนปืนยางใส่ผู้ชุมนุม มีเจ้าหน้าที่ทหารบางคนใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 และใช้อาวุธปืนเอชเค 33 ยิงขึ้นฟ้า ทั้งนี้เมื่อเวลา 15.30 น.ได้ยินเสียงจากกลุ่มทหารและตำรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารจึงใช้อาวุธปืนลูกซองยิงหลายนัด จักรยานยนต์ที่ทหารขับมาล้มลง พยานรีบวิ่งไปที่ผู้ตายที่ถูกยิงล้มลงและถ่ายภาพไว้ นอกจากนี้ยังมีนายจตุรงค์ สิรินภัทราวรรณ์ ช่างภาพโทรทัศน์สปริงนิวส์ เบิกความสอดคล้องกัน และแม้ว่าขณะเกิดเหตุไม่มีพยานของผู้ร้องยืนยันว่าผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นใคร แต่ผู้ร้องยังมี พ.ท.นพ.เสกสรร ชายทวีป แพทย์ผู้ชันสูตรศพผู้ตาย เบิกความว่า ได้ชันสูตรพลิกศพผู้ตาย พบว่าศีรษะผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบระหว่างหน้าขมับหางคิ้วขวา ขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร ยาว 6 เซนติเมตรและบาดแผลบริเวณหัวตาซ้าย ขนาดกว้าง 0.7 เซนติเมตร ยาว 1.5 เซนติเมตร และจากการผ่าศีรษะผู้ตาย ปรากฏว่าใต้หนังศีรษะพบรอยกระสุนและรอยฟกช้ำเป็นบริเวณกว้าง เนื้อสมองซีกซ้ายถูกทำลายอย่างรุนแรง และพบเศษโลหะ 6-7 ชิ้น ฝังอยู่ภายในกะโหลกและเนื้อสมอง และพบว่า วิถีกระสุน เข้าจากทิศทางซ้ายไปขวา ระหว่างหน้าขมับซ้ายและหางคิ้วซ้าย
นอกจากนี้ พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ ซึ่งรับราชการอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เบิกความว่า ได้รับมอบหมายให้ตรวจพิสูจน์จักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยษ กจ 683 ที่ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายขณะเกิดเหตุ และตรวจพิสูจน์เศษกระสุนปืนที่ผ่าออกจากศีรษะผู้ตายรวมทั้งตรวจหมวกทหารที่ผู้ตายสวมขณะเกิดเหตุ ผลการตรวจรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ปรากฎว่า บริเวณเบาะนั่งด้านซ้ายที่คนขับมีรอยกระสุนปืนทะลุไปทางด้านขวา และผลการตรวจพิสูจน์เศษกระสุนปืนที่ผ่าออกจากศีรษะผู้ตาย พบว่า เป็นกระสุนขนาด .223 นิ้ว หรือขนาด 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นกระสุนปืนความเร็วสูงที่ใช้กับอาวุธปืนเล็กยาวแบบเอ็ม 16 หรือเอชเค 33 เชื่อว่าพยานเบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้ยังมีเอกสารการตรวจวิถีกระสุนที่ยิงมาที่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายนั่งอยู่ พบว่ามาจากคนยืนยิง ไม่ใช่ยิงมาจากที่สูง
ดังนั้น พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมานั้น ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังเป็นประการอื่นได้ นั้นคือ ผู้ตายถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ด้วยกระสุนปืนขนาด .223 นิ้ว หรือขนาด 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งยิงจากจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้ตายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
จึงมีคำสั่งว่าผู้ตาย คือ พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ตายที่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต-ขาออก เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 เวลา 15.00 น. โดยถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง จากอาวุธปืนเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้น ซึ่งกระสุนเข้าที่ศีรษะด้านซ้ายบริเวณหางคิ้ว ผ่านทะลุกะโหลกและทำลายเนื้อเยื่อสมอง เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000051584