ไพรัตน์ ลิ้มศิริเศรษฐกุล สุดยอดลูกกตัญญูทิ้งงานเงินแสน ดูแลแม่ที่ป่วย

ถึงแม้ว่ากิจการของเขากำลังจะไปได้สวย ถึงแม้ชีวิตด้านการงานกำลังเจริญรุ่งเรือง มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ และกำลังจะเติบโตออกผลในอีกไม่ช้า... แต่แล้วเมื่อเขารู้ว่าแม่บังเกิดเกล้าของเขาล้มป่วย เขาก็ไม่ลังเลที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เพื่อดูแลคนที่รักที่สุดในชีวิตของเขา...

            โดยค่ำคืนวานนี้ (7 พฤษภาคม) รายการตีสิบ ได้พาคุณไพรัตน์ ลิ้มศิริเศรษฐกุล อายุ 64 ปี นักธุรกิจที่ยอมทิ้งหน้าที่การงาน เพื่อมาดูแลคุณแม่ที่ล้มป่วย..

            เท้าความไปก่อนหน้านี้สัก 5 ปี ก่อนที่คุณแม่จะป่วย ตอนที่คุณแม่อายุ 90 ปี ยังแข็งแรงดี ไปไหนมาไหนกับตนด้วยตลอด ยังช่วยตักน้ำเต้าหู้เลี้ยงพระอยู่เลย ในใจตนก็คิดว่าแม่แข็งแรงแบบนี้น่าจะอยู่เกิน 100 ปีแน่ ๆ แต่แล้วข่าวร้ายก็มาเยือนเมื่อแม่เริ่มมีอาการป่วย เริ่มต้นด้วยโรคสมองตีบ ต่อมาก็เป็นสมองโป่ง หัวใจรั่ว ซึ่งอาการสมองโป่งทำให้ซีกขวาของแม่ทั้งซีกขยับไม่ได้กลายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว...

            คุณไพรัตน์ เล่าต่อว่า ในช่วงแรกตนก็ให้พยาบาลมาดูแล ซึ่งพยาบาลก็ดูแลได้ดี แต่ในใจกลับนึกว่าเช็ดแรงไป เช็ดไม่สะอาด ขนาดภรรยา (คุณฟองกมล ลิ้มศิริเศรษฐกุล) มาช่วย ก็ยังไม่ถูกใจตนเลย (หัวเราะ) ตนเลยขอพยาบาลทำเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

            "แม่มีลูก 10 คน ผมเป็นคนที่ 4 สมัยก่อนแม่ลำบากมาก ยังเลี้ยงเราได้เลย พอถึงจุดหนึ่งที่ท่านต้องมาป่วยแบบนี้ ทำไมเราจะดูแลท่านไม่ได้... พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ เป็นเนื้อนาบุญของลูก ซึ่งพระอรหันต์ประจำตัวเรามีอยู่แล้ว ทำไมเราไม่ดูพระอรหันต์ของเราเอง เมื่อก่อนแม่ทำทุกอย่างให้ลูกด้วยความรักและความอบอุ่น ทำไมเวลาเขาป่วยเราถึงไม่ให้ความอบอุ่นเขาด้วยล่ะ เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเป็นหน้าที่ของหมอ แต่เรื่องของจิตใจเราต้องดูแล" คุณไพรัตน์ กล่าว

            หากพูดถึงเรื่องหน้าที่การงาน คุณไพรัตน์ กล่าวว่า ตอนนั้นตนทิ้งกิจการทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมี ตนทำงานเปิดธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ เปิดประมูลส่งของตามบริษัทใหญ่ ๆ หลายต่อหลายบริษัท เริ่มต้นกิจการตั้งแต่ปี 2524 ทำมาได้จนรุ่งเรือง มีเงินใช้ต่อเดือน 2 - 2.5 แสนบาท แต่พอแม่ล้มป่วยปุ๊บ ตนก็อยากจะมาอยู่ดูแลแม่ ตนไม่มีกะจิตกะใจทำงาน จะให้จ้างคนมาดูแลก็ไม่เอา

            ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ ก็มาช่วยเหลือในด้านปัจจัย แต่ก็สลับสับเปลี่ยนมาเยี่ยมเยียนบ้าง เพราะต่างคนต่างมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ส่วนตนเองนั้น ไม่อยากทำอะไรเลย อยากจะดูแลอย่างเดียว กิจการที่ทำอยู่ตอนแรกก็ให้ลูกน้องทำต่อ แต่ลูกน้องก็อยากเป็นเถ้าแก่ ก็เลยตัดสินใจปิดกิจการและทิ้งทุกอย่างเพื่อมาดูแลแม่อย่างเต็มตัว

            "ทำธุรกิจอาจจะได้เงินเป็นแสน แต่อยู่กับแม่ตนก็มี 2 แสน คือแสนสุขกับแสนสบาย เป็นความสุข ความอบอุ่นที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้นะ" คุณไพรัตน์ กล่าว

            ส่วนกิจวัตรประจำวันในช่วงแรก ๆ ก็มีติดขัดบ้าง แต่ก็หัดลักจำวิธีการต่าง ๆ จากพยาบาลบ้าง ตอนนี้เลยทำเป็นทุกอย่าง ตนเริ่มตื่นตั้งแต่ 05.15 น. เพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้แม่ ซึ่งวัน ๆ หนึ่ง เปลี่ยนหลายครั้งมาก ประมาณวันละ 10-12 ครั้ง เพราะตนกลัวแม่เป็นเชื้อรา กลัวเป็นแผลกดทับ แล้วอีกอย่างเวลามันเปียกแล้ว แม่ก็จะไม่นอน ต่อจากนั้นระหว่างวันก็จะมีการพลิกตัว มีการนวดมือนวดเท้า เช็ดแผล บริหารร่างกาย ให้แม่ดูซีดีธรรมะ เข็นรถเข็นออกไปชมวิวข้างนอก ฯลฯ ยาวไปถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลานอนของแม่ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนตี 2 ตนก็ต้องตื่นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้แม่ เพราะแม่จะปัสสาวะเวลานั้นทุกคืน ตนก็หลับ ๆ ตื่น ๆ บ้าง มีพักบ้าง แต่ก็อยู่ข้างเตียงแม่ตลอด และระหว่างที่อยู่กับแม่นั้น ตนก็พูดคุย หยอกล้อกับแม่ตลอดเวลา เพื่อให้เขารู้สึกอบอุ่น ให้เขารับรู้ถึงความใส่ใจ และให้เขาวางใจว่าเราจะดูแลเขาตลอด เขาจะได้สบายใจ

            สำหรับกิจวัตรที่ไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้ ก็คือการใส่บาตร ตั้งแต่แม่ป่วยมา 5 ปี แม่ไม่เคยขาดการใส่บาตรเลย ตอนแรก ๆ ก็พานั่งรถเข็นไปใส่บาตรหน้าบ้านได้ แต่ตอนนี้ตนต้องนิมนต์พระมาข้างเตียงให้แม่ใส่วันละ 18 รูป

            "ทุกวันนี้ผมมีความสุขที่ได้ดูแลแม่ ถึงแม้วันนี้แม่จะพูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่พยักหน้า ส่ายหน้าเท่านั้น แต่อย่างน้อยเราก็ยังเห็นแม่ยิ้ม ยังเห็นแม่อยู่กับเรา เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว เพราะฉะนั้นใครที่เบื่อพ่อแม่บ่น อย่าเบื่อเลย เพราะต่อไปอาจจะไม่ได้ยินเสียงเขาก็ได้"

            คุณไพรัตน์ กล่าวอีกว่า หากพูดถึงความกตัญญูของตนนั้น ตนมีตัวอย่างที่ดีนั่นก็คือคุณแม่ของตน แม่เคยพาตนไปเยี่ยมอาม่า อากง ที่เมืองจีน ตนได้ยินเขาชมแม่ตนว่า แม่ตนดูแลเขาดี มีของติดไม้ติดมือมาตลอด ตนได้ยินเขาชื่นชมแม่ตั้งแต่สมัยตนเด็ก ๆ แล้ว พอตอนที่อาม่า อากง ไม่สบาย แม่ตนก็ดูแลปรนนิบัติอย่างดีมากโดยตลอด อีกอย่างที่ทำให้ตนอยากดูแลแม่ ก็คือเมื่อก่อนตนเป็นคนเกเร ติดเหล้าจนมือสั่นมา 9 ปี กินเบียร์วันละ 8-9 ขวด เหล้าวันละกลมวันละแบน แม่กับพ่อนั่งรอหน้าทีวีตอนตีหนึ่งตีสอง ต้องฟังคนเขาด่าผมว่าไอ้ขี้เมา ซึ่งมันไม่ควรมีประโยคนี้ให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ อยากจะเลิกก็ยังเลิกไม่ได้ จนในที่สุดก็พยายามหักดิบกับตัวเอง โดยกินน้ำเปล่าแทนเวลาอยากเหล้า ประมาณ 2 สัปดาห์ ตนก็เลิกขาด เพราะไม่อยากทำให้พ่อกับแม่เสียใจ

            "แต่ก่อนผมก็ไม่เข้าใจ บ้านเราไม่มีจะกินกันแล้ว แต่พอแม่ตักบาตรทีไร ทำไมใส่หมูเห็ดเป็ดไก่ให้พระเยอะจัง ส่วนลูก ๆ ต้องมาอด เมื่อถามแม่ แม่บอกว่าที่เราไม่มีกิน เพราะเราไม่ได้ทำไว้ในอดีต แต่ตอนนี้แม่ทำไว้ให้ลูก ๆ ทุกคนในอนาคต ถ้าเราอดทนเราจะจนไม่นาน ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจหรอก ว่าแม่หมายความว่าอย่างไร แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว กิจการของผมประสบความสำเร็จ ชีวิตของผมมีแต่ความสุข คำสอนของแม่มันเป็นจริงทุกอย่าง"

            สุดท้ายนี้ คุณไพรัตน์ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ตนกับแม่อาจจะเป็นแม่ลูกกันมาหลายชาติ ตนรักแม่มาก ต่อไปข้างหน้าไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ขอแค่ทุกวันนี้ ตนได้ดูแลแม่ อย่างที่แม่เคยดูแลตน เรามีแม่อยู่คนเดียว ตอนที่เขาดูแลตัวเองไม่ได้ ถ้าเราไม่ดูแลเขา แล้วเราจะดูแลใคร...

            "ความหวังของผู้เป็นพ่อเป็นแม่...

            ยามแก่เฒ่า หวังให้เจ้าเฝ้ารับใช้
            ยามป่วยไข้ หวังเจ้าเฝ้าหวังรักษา
            เมื่อถึงคราวต้องตายวายชีวา หวังลูกช่วยปิดตาเมื่อสิ้นใจ" ...ข้อความดี ๆ จากคุณไพรัตน์ สุดยอดลูกกตัญญู


http://fb.kapook.com/hilight-85723.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่