บทความพิเศษ ศัลยา ประชาชาติ
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทย แม้จะมีจังหวะให้ลุ้นระทึก มีจังหวะกระดานแดงให้เห็นอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนยิ่งนานวัน ตลาดหุ้นไทยก็ยิ่งมี "เสน่ห์" ดึงดูดทั้ง "แมลงเม่า" และ "นักลงทุน" หน้าใหม่ๆ ให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางรวยแบบตื่นเต้นและท้าทายมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ นักเรียนนักศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมปลายจนถึงปริญญาตรี ปริญญาโท ให้ความสนใจศึกษาและลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นในทุกๆ ปี
ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นผลมาจากค่านิยมที่พร้อมจะเดินตามแนวทางของ "วัยรุ่นพันล้าน" หรืออีกด้านหนึ่งเป็นเพราะความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยที่สร้างผลตอบแทนมหาศาลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เด็กรุ่นใหม่มองว่าตลาดหุ้นกลายเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน และดูเหมือนจะได้เงินง่าย+เร็ว
ประกอบกับหลักคิดที่เปลี่ยนไป ซึ่งคนยุคปัจจุบันต่างรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องอดทนทำงานเก็บเงิน หรือเป็นลูกจ้างพนักงานประจำ ก็สามารถเลือกทำธุรกิจรูปแบบอื่นเพื่อรวยและสำเร็จได้
จึงไม่แปลกที่จะเห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพากันจับกลุ่มติวและคุยเรื่องหุ้นเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับที่ในสถาบันระดับอุดมศึกษาจะพบว่ามีการเปิดบรรยายเรื่องหุ้นมากขึ้น
แถมได้รับความสนใจคับคั่ง
จากการสำรวจผ่านโครงการของตลาดหลักทรัพย์ฯ Young Financial Star Competition หรือ YFS ที่เปิดรับนักศึกษาชั้นปี 3 ขึ้นไป จนถึงระดับปริญญาโท อายุไม่เกิน 25 ปี ไม่จำกัดคณะวิชาและสถาบัน เข้าร่วมอบรมเป็นนักลงทุนมือใหม่
น่าสนใจว่าโครงการนี้เริ่มมากว่า 10 ปีแล้ว แต่แนวโน้มมีวัยรุ่น คนรุ่นใหม่สมัครเรียนเพิ่มทุกปี
ปีล่าสุดมีนักศึกษาให้ความสนใจ 5,688 คน ซึ่งหลักสูตรนี้ผู้เรียนสามารถไปเป็นนักลงทุนได้ หรือจะเลือกประกอบอาชีพเป็นผู้แนะนำการลงทุนได้เมื่อสอบใบอนุญาตผ่าน
มีตัวอย่างหนึ่งจากคนรุ่นใหม่วัย 23 ปี ระดับแชมป์บนเวทีดาวรุ่งนักลงทุนรุ่นใหม่ "พรคง ปัญญางาม" นักศึกษาปริญญาโทชั้นปีที่ 1 หลักสูตรควบปริญญาตรีและโททางบัญชีและบริหารธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท SET Star Investment Planner ที่สุดแห่งนักวางแผนการลงทุน บนเวทีแข่งขัน Young Financial Star Competition 2012
"พรคง" มองว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้สร้างรายได้มากเพื่อจะเกษียณได้เร็ว โดยการเกษียณนี้เขาย้ำว่า ต้องเป็นการหยุดทำงานเลย
เขาเล่าต่อว่า ใช้เวลาศึกษาเรื่องหุ้นก่อนหน้าลงสนามจริงไม่นานนัก เพราะเห็นว่าการลงมือจริงจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น
"ผมเริ่มเล่นตั้งแต่อายุ 21 ใช้เวลาศึกษา 1 เดือน หลังจากนั้นก็เริ่มลงมือเล่นจริงด้วยเงินหลักหมื่นของตัวเอง"
ขณะที่ "ธีรชาติ ภู่ธำรงวัฒน์" อายุ 22 ปี นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอีกคนที่เข้าวงการตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีความสนใจตั้งแต่เด็กตามผู้ปกครอง รวมทั้งส่วนตัวชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอยู่แล้ว
ธีรชาติ เริ่มต้นบริหารจัดการเงินออมผ่านการซื้อกองทุน เมื่ออายุ 15 ปี กระทั่งอายุ 18 ปี จึงเข้าสู่วงการซื้อขายหุ้น ด้วยเหตุผลที่เขามองว่าผลตอบแทนสูงกว่า
"ผมให้คุณพ่อเปิดพอร์ตให้ ผลตอบแทนที่ได้ราว 40-50 เปอร์เซ็นต์เป็นที่น่าพอใจ โดยจะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ราคาไม่สูงมาก แต่การเล่นหุ้นก็มีความเสี่ยงอยู่ด้วยเช่นกัน จึงต้องศึกษาให้เยอะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีความสนใจในตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี จะได้ไม่ต้องคอยติดตามข้อมูลบริษัท แต่ถ้าพร้อมศึกษาก็แนะนำการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่า"
เด็กหนุ่มวัย 22 ปี อธิบายมั่นใจ
การเตรียมพร้อมของคนรุ่นใหม่ในยุควัยรุ่นพันล้าน นอกจากจำนวนไม่น้อยผ่านคอร์สติวเข้มเรียนเรื่องหุ้นแล้ว อีกด้านที่เห็นได้ชัด คือ นักลงทุนมือใหม่ เลือกใช้วิธีศึกษาเองผ่านหนังสือประเภทธุรกิจร้านหนังสือทั้ง "บีทูเอส" และ "ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์" ยืนยันถึงยอดขายหนังสือจำพวกเทคนิคเล่นหุ้นเป็นกลุ่มหนังสือที่มียอดขายเติบโตมากขึ้น
นายศรีนวล ก้อนศิลา ผู้ช่วยผู้อำนวยการซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ ด้านการตลาดและสินค้า ระบุว่า หนังสือด้านบริหารธุรกิจติดอันดับ 4 และใน 50 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในหมวดนี้ เป็นหนังสือด้านหุ้น และการลงทุนธุรกิจขนาดเล็ก
ทางซีเอ็ดฯ ยังมองแนวโน้มยอดขายของหนังสือการลงทุนหุ้นยังมีแนวโน้มดีมาก และเชื่อว่าจะมีหนังสือใหม่ทยอยส่งออกมาวางตลาด และน่าจะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในบรรดาหนังสือแนะนำการเล่นหุ้นที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้บริการนั่นคือ หนังสือแนะนำการลงทุนของ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" นักลงทุนที่มีภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่เต็มตัว
"ภาววิทย์" มองปรากฏการณ์ของวัยรุ่นที่สนใจลงทุนซื้อขายหุ้นว่า จำนวนไม่น้อยมองว่าได้เงินง่ายและเร็ว บางคนอายุยังไม่ถึงระเบียบกำหนดก็จะให้พ่อแม่เปิดพอร์ตให้ และหลายคนศึกษาผ่านหนังสือ บ้างก็เข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษาพร้อมกับลงมือทำไปด้วยกันจะทำให้เข้าใจมากขึ้น
เมื่อเทียบความสำเร็จของผู้เล่นหุ้นระดับเด็กกับผู้ใหญ่ "ภาววิทย์" ระบุว่า ผู้ใหญ่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าเด็ก แต่การเริ่มลงทุนตั้งแต่เด็กเป็นเรื่องดี เพราะมีโอกาสแก้ตัวได้
"ผมสนับสนุนให้เริ่มตั้งแต่เด็กเพราะเด็กมีโอกาสแก้ตัวได้ มีตัวอย่างเคสคุณลุงคนหนึ่งที่เพิ่งเกษียณแล้วนำเงินที่เก็บมาเล่นหุ้นผ่านไป 6 เดือน เงินเก็บของคุณลุงก็ลดลงไปเกือบครึ่ง ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ แต่ถ้ายังเด็กอยู่ก็มีโอกาสล้มได้หลายครั้งพร้อมกับประสบการณ์ที่มากขึ้น แต่ถ้าเป็นคนแก่หากขาดทุนก็มีความเสี่ยงและฟื้นตัวได้ยากกว่าเด็ก"
"ภาววิทย์" แนะนำมือใหม่ที่สนใจลงทุนด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยว่า ควรศึกษาหาข้อมูลและเปิดใจยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงข้อบกพร่อง พร้อมกับย้ำว่า นี่คือช่องทางสร้างตัวที่ดีและรวดเร็ว
"ผมบอกเลยว่า ถ้าใครอยู่ในการลงทุนนี้เกิน 10 ปี ต้องรวยแน่"
เป็นคำฟันธงจากนักเขียนหนังสือด้านการลงทุนและเทคนิคหุ้นระดับเบสต์เซลเลอร์ ก็ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเข้าสู่วงการนี้มากขึ้น จนกลายเป็นปรากฏการณ์ของวัยรุ่นที่กระโจนเข้าสู่เส้นทางที่ท้าทายของตลาดหุ้นมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับความคาดหวังว่า เมืองไทยอาจมีวัยรุ่นพันล้าน เพิ่มมากขึ้นได้อีกในอนาคตอันใกล้นี้
เจาะเทรนด์นักเลงหุ้นรุ่นเยาว์ เด็กไทยฮิตเปิดพอร์ต เข้าคอร์ส "วัยรุ่นพันล้าน"
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทย แม้จะมีจังหวะให้ลุ้นระทึก มีจังหวะกระดานแดงให้เห็นอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนยิ่งนานวัน ตลาดหุ้นไทยก็ยิ่งมี "เสน่ห์" ดึงดูดทั้ง "แมลงเม่า" และ "นักลงทุน" หน้าใหม่ๆ ให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางรวยแบบตื่นเต้นและท้าทายมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ นักเรียนนักศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมปลายจนถึงปริญญาตรี ปริญญาโท ให้ความสนใจศึกษาและลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นในทุกๆ ปี
ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นผลมาจากค่านิยมที่พร้อมจะเดินตามแนวทางของ "วัยรุ่นพันล้าน" หรืออีกด้านหนึ่งเป็นเพราะความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยที่สร้างผลตอบแทนมหาศาลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เด็กรุ่นใหม่มองว่าตลาดหุ้นกลายเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน และดูเหมือนจะได้เงินง่าย+เร็ว
ประกอบกับหลักคิดที่เปลี่ยนไป ซึ่งคนยุคปัจจุบันต่างรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องอดทนทำงานเก็บเงิน หรือเป็นลูกจ้างพนักงานประจำ ก็สามารถเลือกทำธุรกิจรูปแบบอื่นเพื่อรวยและสำเร็จได้
จึงไม่แปลกที่จะเห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพากันจับกลุ่มติวและคุยเรื่องหุ้นเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับที่ในสถาบันระดับอุดมศึกษาจะพบว่ามีการเปิดบรรยายเรื่องหุ้นมากขึ้น
แถมได้รับความสนใจคับคั่ง
จากการสำรวจผ่านโครงการของตลาดหลักทรัพย์ฯ Young Financial Star Competition หรือ YFS ที่เปิดรับนักศึกษาชั้นปี 3 ขึ้นไป จนถึงระดับปริญญาโท อายุไม่เกิน 25 ปี ไม่จำกัดคณะวิชาและสถาบัน เข้าร่วมอบรมเป็นนักลงทุนมือใหม่
น่าสนใจว่าโครงการนี้เริ่มมากว่า 10 ปีแล้ว แต่แนวโน้มมีวัยรุ่น คนรุ่นใหม่สมัครเรียนเพิ่มทุกปี
ปีล่าสุดมีนักศึกษาให้ความสนใจ 5,688 คน ซึ่งหลักสูตรนี้ผู้เรียนสามารถไปเป็นนักลงทุนได้ หรือจะเลือกประกอบอาชีพเป็นผู้แนะนำการลงทุนได้เมื่อสอบใบอนุญาตผ่าน
มีตัวอย่างหนึ่งจากคนรุ่นใหม่วัย 23 ปี ระดับแชมป์บนเวทีดาวรุ่งนักลงทุนรุ่นใหม่ "พรคง ปัญญางาม" นักศึกษาปริญญาโทชั้นปีที่ 1 หลักสูตรควบปริญญาตรีและโททางบัญชีและบริหารธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท SET Star Investment Planner ที่สุดแห่งนักวางแผนการลงทุน บนเวทีแข่งขัน Young Financial Star Competition 2012
"พรคง" มองว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้สร้างรายได้มากเพื่อจะเกษียณได้เร็ว โดยการเกษียณนี้เขาย้ำว่า ต้องเป็นการหยุดทำงานเลย
เขาเล่าต่อว่า ใช้เวลาศึกษาเรื่องหุ้นก่อนหน้าลงสนามจริงไม่นานนัก เพราะเห็นว่าการลงมือจริงจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น
"ผมเริ่มเล่นตั้งแต่อายุ 21 ใช้เวลาศึกษา 1 เดือน หลังจากนั้นก็เริ่มลงมือเล่นจริงด้วยเงินหลักหมื่นของตัวเอง"
ขณะที่ "ธีรชาติ ภู่ธำรงวัฒน์" อายุ 22 ปี นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอีกคนที่เข้าวงการตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีความสนใจตั้งแต่เด็กตามผู้ปกครอง รวมทั้งส่วนตัวชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอยู่แล้ว
ธีรชาติ เริ่มต้นบริหารจัดการเงินออมผ่านการซื้อกองทุน เมื่ออายุ 15 ปี กระทั่งอายุ 18 ปี จึงเข้าสู่วงการซื้อขายหุ้น ด้วยเหตุผลที่เขามองว่าผลตอบแทนสูงกว่า
"ผมให้คุณพ่อเปิดพอร์ตให้ ผลตอบแทนที่ได้ราว 40-50 เปอร์เซ็นต์เป็นที่น่าพอใจ โดยจะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ราคาไม่สูงมาก แต่การเล่นหุ้นก็มีความเสี่ยงอยู่ด้วยเช่นกัน จึงต้องศึกษาให้เยอะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีความสนใจในตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี จะได้ไม่ต้องคอยติดตามข้อมูลบริษัท แต่ถ้าพร้อมศึกษาก็แนะนำการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่า"
เด็กหนุ่มวัย 22 ปี อธิบายมั่นใจ
การเตรียมพร้อมของคนรุ่นใหม่ในยุควัยรุ่นพันล้าน นอกจากจำนวนไม่น้อยผ่านคอร์สติวเข้มเรียนเรื่องหุ้นแล้ว อีกด้านที่เห็นได้ชัด คือ นักลงทุนมือใหม่ เลือกใช้วิธีศึกษาเองผ่านหนังสือประเภทธุรกิจร้านหนังสือทั้ง "บีทูเอส" และ "ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์" ยืนยันถึงยอดขายหนังสือจำพวกเทคนิคเล่นหุ้นเป็นกลุ่มหนังสือที่มียอดขายเติบโตมากขึ้น
นายศรีนวล ก้อนศิลา ผู้ช่วยผู้อำนวยการซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ ด้านการตลาดและสินค้า ระบุว่า หนังสือด้านบริหารธุรกิจติดอันดับ 4 และใน 50 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในหมวดนี้ เป็นหนังสือด้านหุ้น และการลงทุนธุรกิจขนาดเล็ก
ทางซีเอ็ดฯ ยังมองแนวโน้มยอดขายของหนังสือการลงทุนหุ้นยังมีแนวโน้มดีมาก และเชื่อว่าจะมีหนังสือใหม่ทยอยส่งออกมาวางตลาด และน่าจะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในบรรดาหนังสือแนะนำการเล่นหุ้นที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้บริการนั่นคือ หนังสือแนะนำการลงทุนของ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" นักลงทุนที่มีภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่เต็มตัว
"ภาววิทย์" มองปรากฏการณ์ของวัยรุ่นที่สนใจลงทุนซื้อขายหุ้นว่า จำนวนไม่น้อยมองว่าได้เงินง่ายและเร็ว บางคนอายุยังไม่ถึงระเบียบกำหนดก็จะให้พ่อแม่เปิดพอร์ตให้ และหลายคนศึกษาผ่านหนังสือ บ้างก็เข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษาพร้อมกับลงมือทำไปด้วยกันจะทำให้เข้าใจมากขึ้น
เมื่อเทียบความสำเร็จของผู้เล่นหุ้นระดับเด็กกับผู้ใหญ่ "ภาววิทย์" ระบุว่า ผู้ใหญ่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าเด็ก แต่การเริ่มลงทุนตั้งแต่เด็กเป็นเรื่องดี เพราะมีโอกาสแก้ตัวได้
"ผมสนับสนุนให้เริ่มตั้งแต่เด็กเพราะเด็กมีโอกาสแก้ตัวได้ มีตัวอย่างเคสคุณลุงคนหนึ่งที่เพิ่งเกษียณแล้วนำเงินที่เก็บมาเล่นหุ้นผ่านไป 6 เดือน เงินเก็บของคุณลุงก็ลดลงไปเกือบครึ่ง ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ แต่ถ้ายังเด็กอยู่ก็มีโอกาสล้มได้หลายครั้งพร้อมกับประสบการณ์ที่มากขึ้น แต่ถ้าเป็นคนแก่หากขาดทุนก็มีความเสี่ยงและฟื้นตัวได้ยากกว่าเด็ก"
"ภาววิทย์" แนะนำมือใหม่ที่สนใจลงทุนด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยว่า ควรศึกษาหาข้อมูลและเปิดใจยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงข้อบกพร่อง พร้อมกับย้ำว่า นี่คือช่องทางสร้างตัวที่ดีและรวดเร็ว
"ผมบอกเลยว่า ถ้าใครอยู่ในการลงทุนนี้เกิน 10 ปี ต้องรวยแน่"
เป็นคำฟันธงจากนักเขียนหนังสือด้านการลงทุนและเทคนิคหุ้นระดับเบสต์เซลเลอร์ ก็ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเข้าสู่วงการนี้มากขึ้น จนกลายเป็นปรากฏการณ์ของวัยรุ่นที่กระโจนเข้าสู่เส้นทางที่ท้าทายของตลาดหุ้นมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับความคาดหวังว่า เมืองไทยอาจมีวัยรุ่นพันล้าน เพิ่มมากขึ้นได้อีกในอนาคตอันใกล้นี้