สงสารตัวเองและลูกในท้องมาก ตอนนี้ตั้งครรภฟ์ได้33weeks แต่ยังต้องมานั่งคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาเพียงลำพัง
เรื่องราวมีอยู่ว่า เราแต่งงานกับสามีมา4 ปี เค้าอายุมากกว่า9 ปี แต่ไม่มีงานทำเพราะที่บ้านพอมีฐานะแม่สามีเป็นซิงเกิ้ลมัม
เลี้ยงดูลูกมาด้วยกำลังกายและกำลังเงินแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเวลาดูแลลูกด้วยตัวเอง ปล่อยให้พี่สาวซึ่งก็คือป้าของสามีเป็นคนเลี้ยงลูก
2 คนในจำนวนลูกทั้งหมด4 คน สามีเราจึงกลายเป็นคนมีปมคิดว่าแม่ไม่รักและใช้ชีวิตอย่างอ่อนแอมาตลอด และก็ไม่ยอมช่วยกิจการใดๆของแม่เลย
เราตัดสินใจแต่งเพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว เค้าเป็นคนดีมาก ไม่มีเรื่องอื่นมาให้ระคายใจตลอดเวลาที่คบกัน แม้จะหาเงินไม่เป็น แต่เค้าก็ใช้เงินไม่เป็น
เราก็มาอาศัยอยู่ที่บ้านเค้าตั้งแต่ก่อนแต่งจนแต่งงานได้2ปีืื ด้วยความที่เราเป็นคนทำงานและเค้าก็เป็นคนประหยัด พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเราก็ตัดสินใจออกรถ
เป็นรถคันเล็กที่เราคิดว่าเดือนละ7000กว่าๆเราผ่อนได้สบายๆ เพราะเราไม่เสียค่าเช่าบ้าน เราเป็นคนไม่ซื้อเสื้อผ้าขุดที่ไปทำงานมีไม่ถึง10ชุด
เรื่องอาหารการกินเราก็ชอบทำเอง เพียงแต่ว่าเราต้องลดการไปเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุดลงบ้าง แต่ยังไงเราก็คงอยู่ได้สบายๆ
แต่.....หลังจากที่ซื้อรถได้แค่ 20 วันเศษ
พี่สาวเราเกิดล้มป่วยด้วยภาวะน้ำขังในสมองอย่างกระทันหัน ที่แย่ไปกว่านั้นพี่คนนี้กำลังว่างงาน และกลับไปอยู่บ้านกับพ่อได้แค่5วันเท่านั้น จากที่เราคิดว่าต่อไปนี้
พ่อกับลูกสาวเรา(ลืมบอกว่าเรามีลูกสาวตั้งแต่ยังวัยรุ่นวัยกำลังโต1คน) จะมีคนดูแลสักทีหลังจากที่แม่เสียไปก่อนหน้านั้น1ปี
พ่อตัดสินใจพาพี่สาวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจังหวัด 1 คืนค่ารักษาเกือบ40000บาท เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าพี่ป่วยเป็นอะไร
จึงจำเป็นต้องรับการวินิจฉัยโรคจากโรงพยาบาลที่มีคุณภาพที่สุดก่อน จากนั้นจึงทำเรื่องย้ายไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดในวันรุ่งขึ้น
วงเงินในบัตรเครดิตที่เราเฝ้ารักษามานาน สุดท้ายเราก็รักษาไม่ได้ที่โรงพยาบาลแห่งแรกนี้
ประมาณ1 สัปดาห์หลังจากนั้นพี่สาวเราก็อยู่ในช่วงพักฟื้นจากการผ่าตัด โดยที่พ่อซึ่งตอนนั้นอายุ72 ปี กับลูกสาวเราอายุ13 ปี ต้องเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและโรงพยาบาลทุกๆวัน เย็นวันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านก็มาบอกพ่อว่ามีบริษัททวงหนี้โทรมาถามหาพี่สาวเรา แจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบว่าพี่สาวเราเป็นหนี้ จำนวน 9 หมื่นบาท
พ่อก็โทหาเราเป็นคนแรก เราจึงทำจดหมายขอประนอมหนี้กับแบงก์ชาติ รวมถึงร้องเรียนการทวงหนี้ที่ไม่มีจรรยาบรรณ เพราะเค้าบอกว่าอย่าว่าแต่ป่วยเลยต่อให้ตาย
ก็ต้องใช้หนี้ ด้วยความสงสารพ่อเราจึงผ่อนหนี้ให้ไปเป็นรายเดือน แต่แทนที่จะจบแค่นั้นหนี้อื่นๆก็ตามมาไม่หยุดหย่อน สิริรวมเกือบ 3 แสน ซึ่งเราก็อาศัยหยิบยืมจากเจ้านายด้วยดอกเบี้ยมหาโหด จากที่เคยใช้เงินสบายๆเราก็เริ่มมีปัญหาเรื่องเงินนี่ยังดีที่ว่าค่ารักษาโรงพยาบาลที่2 แสนกว่าประกันสังคมจ่ายให้ 7 หมื่น พอมีปัญหาเรื่องเงินก็มีปัญหาครอบครัวตามมา เราเริ่มทะเลาะกับสามี เริ่มกดดันให้เค้าหาเงินมาใช้จ่ายบ้าง สุดท้ายเราก็ตัดสินใจแยกทางกับเค้าเพราะความเครียด
แต่แยกทางได้แค่เดือนกว่าๆ ด้วยความที่เราสองคนผูกพันกันมากจึงกลับมาคืนดีกันเมื่อ 8 เดือนที่ผ่านมา
ใช่แล้วค่ะการกลับมาคบกันใหม่คราวนี้ เราได้ให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ เราจึงคิดใหม่ทำใหม่โดยการมาเปิดบริษัททัวร์เอง โดยร่วมทุนกับเพื่อน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า พ่อเราก็ดีแสนดีหาเงินมาลงทุนให้และก็หาเงินมาใช้หนี้เจ้านายเก่าของเราด้วย บ้านแฟนเราก็ช่วยมา 1 แสนบาท ทุกอย่างเหมือนจะดีแต่....
เราเลือกคนร่วมทุนผิดคน เพื่อนเราเล่นตุกติกกับธุรกิจน้อยๆ ที่ยังไม่ค่อยแข็งแรงของเรา เราตัดสินใจแยกทางเดินกันเองทีนี้สามีไปช่วยเพราะท้องเริ่มโต
แต่พอหลังสงกรานต์มาเรามีอาการปวดร้าวบริเวณสะโพกและขาหนีบไปทำงานไม่ได้ ทำให้สภาพคล่องของบริษัทไม่มี เราจึงขอให้แฟนไปขอความช่วยเหลือจากแม่
แต่เค้าก็โยเย ไม่ยอมทำ จะให้เราไปให้พ่อกู้เงินชาวบ้านเขา ทั้งที่แม่เค้าก็มีเงิน เค้าบอกว่าแม่เค้าต้องใช้เงินเยอะเพราะน้องสะใภ้เค้าใกล้จะคลอดเหมือนกัน
เราถามว่าแล้วลูกในท้องไม่ใช่หลานเค้าหรอ ก็ทะเลาะกัน เราซื้อของให้ลูกจนจะครบแล้ว แม่สามีก็ให้มาแค่5-6 พัน ทุกวันนี้เครียดมากอยากออกไปอยู่คนเดียวแต่ติดตัวเล็กในท้องอีกเดือนกว่าๆ ก็จะคลอดแล้ว หลังจากคลอดเราก็คงหาเงินได้น้อยเพราะต้องพักฟื้นแต่ภาระโดยเฉพาะค่ารถก็ยังตามมาติดๆ เราจะทำไงกับชีวิตเราดีคะ เราจะบอกสามียังไงให้เค้าช่วยเรา ที่ผ่านมาเค้าก็ช่วยเรามาเยอะแต่ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่อยากรบกวนแม่เค้า
ตั้งท้อง 33 สัปดาห์ แต่ปัญหาเข้ามามากมาย หนักทั้งใจ หนักทั้งกาย
เรื่องราวมีอยู่ว่า เราแต่งงานกับสามีมา4 ปี เค้าอายุมากกว่า9 ปี แต่ไม่มีงานทำเพราะที่บ้านพอมีฐานะแม่สามีเป็นซิงเกิ้ลมัม
เลี้ยงดูลูกมาด้วยกำลังกายและกำลังเงินแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเวลาดูแลลูกด้วยตัวเอง ปล่อยให้พี่สาวซึ่งก็คือป้าของสามีเป็นคนเลี้ยงลูก
2 คนในจำนวนลูกทั้งหมด4 คน สามีเราจึงกลายเป็นคนมีปมคิดว่าแม่ไม่รักและใช้ชีวิตอย่างอ่อนแอมาตลอด และก็ไม่ยอมช่วยกิจการใดๆของแม่เลย
เราตัดสินใจแต่งเพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว เค้าเป็นคนดีมาก ไม่มีเรื่องอื่นมาให้ระคายใจตลอดเวลาที่คบกัน แม้จะหาเงินไม่เป็น แต่เค้าก็ใช้เงินไม่เป็น
เราก็มาอาศัยอยู่ที่บ้านเค้าตั้งแต่ก่อนแต่งจนแต่งงานได้2ปีืื ด้วยความที่เราเป็นคนทำงานและเค้าก็เป็นคนประหยัด พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเราก็ตัดสินใจออกรถ
เป็นรถคันเล็กที่เราคิดว่าเดือนละ7000กว่าๆเราผ่อนได้สบายๆ เพราะเราไม่เสียค่าเช่าบ้าน เราเป็นคนไม่ซื้อเสื้อผ้าขุดที่ไปทำงานมีไม่ถึง10ชุด
เรื่องอาหารการกินเราก็ชอบทำเอง เพียงแต่ว่าเราต้องลดการไปเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุดลงบ้าง แต่ยังไงเราก็คงอยู่ได้สบายๆ
แต่.....หลังจากที่ซื้อรถได้แค่ 20 วันเศษ
พี่สาวเราเกิดล้มป่วยด้วยภาวะน้ำขังในสมองอย่างกระทันหัน ที่แย่ไปกว่านั้นพี่คนนี้กำลังว่างงาน และกลับไปอยู่บ้านกับพ่อได้แค่5วันเท่านั้น จากที่เราคิดว่าต่อไปนี้
พ่อกับลูกสาวเรา(ลืมบอกว่าเรามีลูกสาวตั้งแต่ยังวัยรุ่นวัยกำลังโต1คน) จะมีคนดูแลสักทีหลังจากที่แม่เสียไปก่อนหน้านั้น1ปี
พ่อตัดสินใจพาพี่สาวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจังหวัด 1 คืนค่ารักษาเกือบ40000บาท เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าพี่ป่วยเป็นอะไร
จึงจำเป็นต้องรับการวินิจฉัยโรคจากโรงพยาบาลที่มีคุณภาพที่สุดก่อน จากนั้นจึงทำเรื่องย้ายไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดในวันรุ่งขึ้น
วงเงินในบัตรเครดิตที่เราเฝ้ารักษามานาน สุดท้ายเราก็รักษาไม่ได้ที่โรงพยาบาลแห่งแรกนี้
ประมาณ1 สัปดาห์หลังจากนั้นพี่สาวเราก็อยู่ในช่วงพักฟื้นจากการผ่าตัด โดยที่พ่อซึ่งตอนนั้นอายุ72 ปี กับลูกสาวเราอายุ13 ปี ต้องเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและโรงพยาบาลทุกๆวัน เย็นวันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านก็มาบอกพ่อว่ามีบริษัททวงหนี้โทรมาถามหาพี่สาวเรา แจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบว่าพี่สาวเราเป็นหนี้ จำนวน 9 หมื่นบาท
พ่อก็โทหาเราเป็นคนแรก เราจึงทำจดหมายขอประนอมหนี้กับแบงก์ชาติ รวมถึงร้องเรียนการทวงหนี้ที่ไม่มีจรรยาบรรณ เพราะเค้าบอกว่าอย่าว่าแต่ป่วยเลยต่อให้ตาย
ก็ต้องใช้หนี้ ด้วยความสงสารพ่อเราจึงผ่อนหนี้ให้ไปเป็นรายเดือน แต่แทนที่จะจบแค่นั้นหนี้อื่นๆก็ตามมาไม่หยุดหย่อน สิริรวมเกือบ 3 แสน ซึ่งเราก็อาศัยหยิบยืมจากเจ้านายด้วยดอกเบี้ยมหาโหด จากที่เคยใช้เงินสบายๆเราก็เริ่มมีปัญหาเรื่องเงินนี่ยังดีที่ว่าค่ารักษาโรงพยาบาลที่2 แสนกว่าประกันสังคมจ่ายให้ 7 หมื่น พอมีปัญหาเรื่องเงินก็มีปัญหาครอบครัวตามมา เราเริ่มทะเลาะกับสามี เริ่มกดดันให้เค้าหาเงินมาใช้จ่ายบ้าง สุดท้ายเราก็ตัดสินใจแยกทางกับเค้าเพราะความเครียด
แต่แยกทางได้แค่เดือนกว่าๆ ด้วยความที่เราสองคนผูกพันกันมากจึงกลับมาคืนดีกันเมื่อ 8 เดือนที่ผ่านมา
ใช่แล้วค่ะการกลับมาคบกันใหม่คราวนี้ เราได้ให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ เราจึงคิดใหม่ทำใหม่โดยการมาเปิดบริษัททัวร์เอง โดยร่วมทุนกับเพื่อน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า พ่อเราก็ดีแสนดีหาเงินมาลงทุนให้และก็หาเงินมาใช้หนี้เจ้านายเก่าของเราด้วย บ้านแฟนเราก็ช่วยมา 1 แสนบาท ทุกอย่างเหมือนจะดีแต่....
เราเลือกคนร่วมทุนผิดคน เพื่อนเราเล่นตุกติกกับธุรกิจน้อยๆ ที่ยังไม่ค่อยแข็งแรงของเรา เราตัดสินใจแยกทางเดินกันเองทีนี้สามีไปช่วยเพราะท้องเริ่มโต
แต่พอหลังสงกรานต์มาเรามีอาการปวดร้าวบริเวณสะโพกและขาหนีบไปทำงานไม่ได้ ทำให้สภาพคล่องของบริษัทไม่มี เราจึงขอให้แฟนไปขอความช่วยเหลือจากแม่
แต่เค้าก็โยเย ไม่ยอมทำ จะให้เราไปให้พ่อกู้เงินชาวบ้านเขา ทั้งที่แม่เค้าก็มีเงิน เค้าบอกว่าแม่เค้าต้องใช้เงินเยอะเพราะน้องสะใภ้เค้าใกล้จะคลอดเหมือนกัน
เราถามว่าแล้วลูกในท้องไม่ใช่หลานเค้าหรอ ก็ทะเลาะกัน เราซื้อของให้ลูกจนจะครบแล้ว แม่สามีก็ให้มาแค่5-6 พัน ทุกวันนี้เครียดมากอยากออกไปอยู่คนเดียวแต่ติดตัวเล็กในท้องอีกเดือนกว่าๆ ก็จะคลอดแล้ว หลังจากคลอดเราก็คงหาเงินได้น้อยเพราะต้องพักฟื้นแต่ภาระโดยเฉพาะค่ารถก็ยังตามมาติดๆ เราจะทำไงกับชีวิตเราดีคะ เราจะบอกสามียังไงให้เค้าช่วยเรา ที่ผ่านมาเค้าก็ช่วยเรามาเยอะแต่ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่อยากรบกวนแม่เค้า