วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกัมพูชาที่ยื่นคำขอต่อศาลโลกในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อการตีความ แต่เพื่อให้ศาลโลกตัดสินประเด็นเรื่องเขตแดน อันเป็นประเด็นที่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินไว้ในคำวินิจฉัยปี 2505
ในการแถลงคดีด้วยวาจาต่อศาลโลกล่าสุด ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดเผยธาตุแท้ และแสดงเจตนาที่แท้จริงออกมาให้เห็นแล้ว นั่นคือ ต้องการจะให้ศาลโลกให้การรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เพื่อจะกล่าวอ้างแนวเส้นเขตแดนตามที่อยู่ในแผนที่ดังกล่าวด้วย
1) กัมพูชาอ้างว่า ขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505
แต่จริงๆ แล้ว เป็นการพยายามจะให้ศาลโลกพิพากษาเพิ่มเติมเกินกว่าคำพิพากษาเดิม ไม่ใช่การตีความคำพิพากษาเดิม
2) กัมพูชาอ้างว่า คำพิพากษาเดิม ระบุถึงเส้นเขตแดนระหว่างประเทศตามแผนที่ 1:200,000 อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ คำพิพากษาเดิมนั้นศาลโลกปฏิเสธที่จะชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนและความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
3) กัมพูชาอ้างว่า ไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิม อ้างว่าไทยจะต้องถอนทหารออกไปตามแนวเส้นเขตแดนที่ปรากฏบน “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือแผนที่ 1:200,000 แต่ความจริง ศาลโลกได้เคยปฏิเสธอย่างชัดแจ้งไปแล้วในคดีเดิมเมื่อปี 2505 โดยไม่พิจารณาว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือไม่
4) รูปการปรากฏชัดเจนว่า เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เกิดจากการที่กัมพูชาต้องการจะเข้ามามีอำนาจในพื้นที่ซึ่งล้ำเกินขอบเขตเดิมที่ไทยเคยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกไปแล้ว โดยก่อนหน้านั้น ฝ่ายกัมพูชาก็ได้ยอมรับว่าไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเคยมีถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2505 ว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว, การเสด็จยังปราสาทของเจ้าสีหนุในวันที่ 5 มกราคม 2506 ตลอดจนพฤติกรรมของกัมพูชาที่แสดงว่าพอใจกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยแล้วอีกหลายกรณี เป็นต้น
เมื่อกัมพูชาทำดื้อตาใส ทำมึน จะเข้ามายึดเอาแผ่นดินไทย ล้ำเกินกว่าขอบเขตบริเวณรอบปราสาทที่ฝ่ายไทยเคยล้อมรั้วไว้ให้เมื่อปี 2505 ก็จึงเกิดปัญหาการปะทะกันขึ้นมา
5) คำพิพากษาเดิม ชัดเจน ไม่มีอะไรให้ต้องตีความ ไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาแผนที่ 1:200,000 เพราะไทยได้ปฏิบัติตามไปจนหมดสิ้นแล้ว
หรือถ้าศาลโลกจะตีความคำพิพากษาเดิมจริงๆ ก็จะต้องตีความในแนวทางว่า คำพิพากษาศาลโลก ในปี 2505 มิได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1” เท่านั้น!
6) ลำพังการต่อสู้คดีกันในศาล ว่ากันซึ่งๆ หน้า ทีมกฎหมายตัวแทนฝ่ายไทยน่าจะเอาอยู่
แต่น่ากลัวก็ตรงที่ต้อง “ห่วงหน้าพะวงหลัง” คอยระแวงว่าจะมีคนแทงข้างหลัง
ศึกนอกไม่พอ ยังต้องระวัง “หนอนบ่อนไส้” จากภายใน
7) ต้องยอมรับว่า “เข้าตา” มากๆ สำหรับท่าทีและพฤติกรรมของนักการเมืองจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อาศัยเงินภาษีคนไทย ขึ้นเครื่องบินไปไกลถึงกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์...
อาศัยตำแหน่งเสนาบดีจากราชอาณาจักรไทย เข้าไปนั่งในห้องพิจารณาคดีของศาลโลก ก่อนจะโร่เข้าไปกราบไหว้ พินอบพิเทาต่อตัวแทนในการต่อสู้คดีของรัฐบาลฮุนเซน...
ก่อนหน้านี้ นักการเมืองในรัฐบาลยิ่งลักษณ์หลายคนก็ได้แสดงท่าทีอย่างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะการออกมาโยนผ้าขาว บอกว่าไทยมีแต่จะแพ้กับเสมอตัวเท่านั้น
นายสุรพงษ์ เคยบอกว่าจะไม่ไปร่วมรับฟังที่ศาลโลกด้วยซ้ำ อ้างว่าแม่ไม่ใช่เมียฝรั่ง ไม่เก่งภาษาต่างประเทศ
พลอากาศเอกสุกำพล ตอบรับคำเชิญของฝ่ายกัมพูชา โร่ไปกินข้าวกับเขมรที่บริเวณประสาทพระวิหาร
นายจารุพงศ์ ออกมากำราบให้คนไทยยอมรับคำตัดสินของศาลโลก แถมโบ้ยความรับผิดชอบไปให้รัฐบาลก่อนหน้าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ฯลฯ
เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่บ่งบอกถึงจิตสำนึกที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม ยังไม่นับพฤติกรรมของคนในระบอบทักษิณที่อีกหลายกรณีที่เคยอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชาอย่างออกนอกหน้า เช่น กรณีให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายเดียว หรือกรณีที่ทักษิณ ชินวัตร เคยได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ฮุนเซน เป็นต้น
ทั้งหมดยิ่งเพิ่มความไม่สบายใจแก่คนไทยที่ไม่ใช่ขี้ข้าทักษิณ และไม่อยากอยู่ใต้อุ้งตีนของเขมร
8) นึกถึงข้อเขียนของคุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง “คนขายชาติ พ.ศ.2556” เล่าถึงเบื้องหลังที่ทำให้ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก เมื่อปี 2505 ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีไส้ศึก โดยมีสายลับฝรั่งเศสล้วงตับไทยเอาไปให้เขมรสู้คดีในศาลโลก เกิดเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล มีข้าราชการไทยถูกจับได้ว่าเป็นสายลับในยุคนั้น ถึง 6 คน มีทั้งคนที่อยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และตำรวจ
อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองเตือนไว้ว่า “ ...ปี 2505 ไทยเสียปราสาทพระวิหารจากคดีจารกรรมฝรั่งเศสที่มีจารชนเป็นคนไทยขายชาติ ในปี 2556 เราไม่ทราบว่าไทยจะมีคนไทยขายชาติ ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนเพิ่มเติมอีกหรือไม่อย่างไร
วันนี้ ฝรั่งเศสและกัมพูชาไม่จำเป็นต้องสร้างจารชน (Secret Agents) เช่นในอดีต สิ่งที่ฝรั่งเศสและกัมพูชาน่าจะได้ไว้แล้ว เราเรียกว่า "สายลับอิทธิพล" (Agent of Influence) ที่ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนตัวเหมือนเช่นจารชน แต่เป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงสังคม และอาจมีรูปและข่าวออกในหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง บางคนอาจเป็นรัฐมนตรีหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลในการกำหนด เปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับ ฝ่ายตรงข้าม หรือแอบไปตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามโดยที่ประชาชนไม่รู้”
เหลี่ยมเขมร กับเสนาบดีขี้ข้า... เป็นอันตรายต่อราชอาณาจักรไทยอย่างยิ่ง
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/6266
ปล.ที่หน้ากลัวก็คือ เสนาบดีชรี้ข้านี่แหล่ะครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ
เหลี่ยมเขมร กับเสนาบดีขี้ข้า
ในการแถลงคดีด้วยวาจาต่อศาลโลกล่าสุด ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดเผยธาตุแท้ และแสดงเจตนาที่แท้จริงออกมาให้เห็นแล้ว นั่นคือ ต้องการจะให้ศาลโลกให้การรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เพื่อจะกล่าวอ้างแนวเส้นเขตแดนตามที่อยู่ในแผนที่ดังกล่าวด้วย
1) กัมพูชาอ้างว่า ขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505
แต่จริงๆ แล้ว เป็นการพยายามจะให้ศาลโลกพิพากษาเพิ่มเติมเกินกว่าคำพิพากษาเดิม ไม่ใช่การตีความคำพิพากษาเดิม
2) กัมพูชาอ้างว่า คำพิพากษาเดิม ระบุถึงเส้นเขตแดนระหว่างประเทศตามแผนที่ 1:200,000 อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ คำพิพากษาเดิมนั้นศาลโลกปฏิเสธที่จะชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนและความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
3) กัมพูชาอ้างว่า ไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิม อ้างว่าไทยจะต้องถอนทหารออกไปตามแนวเส้นเขตแดนที่ปรากฏบน “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือแผนที่ 1:200,000 แต่ความจริง ศาลโลกได้เคยปฏิเสธอย่างชัดแจ้งไปแล้วในคดีเดิมเมื่อปี 2505 โดยไม่พิจารณาว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือไม่
4) รูปการปรากฏชัดเจนว่า เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เกิดจากการที่กัมพูชาต้องการจะเข้ามามีอำนาจในพื้นที่ซึ่งล้ำเกินขอบเขตเดิมที่ไทยเคยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกไปแล้ว โดยก่อนหน้านั้น ฝ่ายกัมพูชาก็ได้ยอมรับว่าไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเคยมีถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2505 ว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว, การเสด็จยังปราสาทของเจ้าสีหนุในวันที่ 5 มกราคม 2506 ตลอดจนพฤติกรรมของกัมพูชาที่แสดงว่าพอใจกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยแล้วอีกหลายกรณี เป็นต้น
เมื่อกัมพูชาทำดื้อตาใส ทำมึน จะเข้ามายึดเอาแผ่นดินไทย ล้ำเกินกว่าขอบเขตบริเวณรอบปราสาทที่ฝ่ายไทยเคยล้อมรั้วไว้ให้เมื่อปี 2505 ก็จึงเกิดปัญหาการปะทะกันขึ้นมา
5) คำพิพากษาเดิม ชัดเจน ไม่มีอะไรให้ต้องตีความ ไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาแผนที่ 1:200,000 เพราะไทยได้ปฏิบัติตามไปจนหมดสิ้นแล้ว
หรือถ้าศาลโลกจะตีความคำพิพากษาเดิมจริงๆ ก็จะต้องตีความในแนวทางว่า คำพิพากษาศาลโลก ในปี 2505 มิได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1” เท่านั้น!
6) ลำพังการต่อสู้คดีกันในศาล ว่ากันซึ่งๆ หน้า ทีมกฎหมายตัวแทนฝ่ายไทยน่าจะเอาอยู่
แต่น่ากลัวก็ตรงที่ต้อง “ห่วงหน้าพะวงหลัง” คอยระแวงว่าจะมีคนแทงข้างหลัง
ศึกนอกไม่พอ ยังต้องระวัง “หนอนบ่อนไส้” จากภายใน
7) ต้องยอมรับว่า “เข้าตา” มากๆ สำหรับท่าทีและพฤติกรรมของนักการเมืองจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อาศัยเงินภาษีคนไทย ขึ้นเครื่องบินไปไกลถึงกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์...
อาศัยตำแหน่งเสนาบดีจากราชอาณาจักรไทย เข้าไปนั่งในห้องพิจารณาคดีของศาลโลก ก่อนจะโร่เข้าไปกราบไหว้ พินอบพิเทาต่อตัวแทนในการต่อสู้คดีของรัฐบาลฮุนเซน...
ก่อนหน้านี้ นักการเมืองในรัฐบาลยิ่งลักษณ์หลายคนก็ได้แสดงท่าทีอย่างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะการออกมาโยนผ้าขาว บอกว่าไทยมีแต่จะแพ้กับเสมอตัวเท่านั้น
นายสุรพงษ์ เคยบอกว่าจะไม่ไปร่วมรับฟังที่ศาลโลกด้วยซ้ำ อ้างว่าแม่ไม่ใช่เมียฝรั่ง ไม่เก่งภาษาต่างประเทศ
พลอากาศเอกสุกำพล ตอบรับคำเชิญของฝ่ายกัมพูชา โร่ไปกินข้าวกับเขมรที่บริเวณประสาทพระวิหาร
นายจารุพงศ์ ออกมากำราบให้คนไทยยอมรับคำตัดสินของศาลโลก แถมโบ้ยความรับผิดชอบไปให้รัฐบาลก่อนหน้าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ฯลฯ
เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่บ่งบอกถึงจิตสำนึกที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม ยังไม่นับพฤติกรรมของคนในระบอบทักษิณที่อีกหลายกรณีที่เคยอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชาอย่างออกนอกหน้า เช่น กรณีให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายเดียว หรือกรณีที่ทักษิณ ชินวัตร เคยได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ฮุนเซน เป็นต้น
ทั้งหมดยิ่งเพิ่มความไม่สบายใจแก่คนไทยที่ไม่ใช่ขี้ข้าทักษิณ และไม่อยากอยู่ใต้อุ้งตีนของเขมร
8) นึกถึงข้อเขียนของคุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง “คนขายชาติ พ.ศ.2556” เล่าถึงเบื้องหลังที่ทำให้ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก เมื่อปี 2505 ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีไส้ศึก โดยมีสายลับฝรั่งเศสล้วงตับไทยเอาไปให้เขมรสู้คดีในศาลโลก เกิดเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล มีข้าราชการไทยถูกจับได้ว่าเป็นสายลับในยุคนั้น ถึง 6 คน มีทั้งคนที่อยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และตำรวจ
อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองเตือนไว้ว่า “ ...ปี 2505 ไทยเสียปราสาทพระวิหารจากคดีจารกรรมฝรั่งเศสที่มีจารชนเป็นคนไทยขายชาติ ในปี 2556 เราไม่ทราบว่าไทยจะมีคนไทยขายชาติ ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนเพิ่มเติมอีกหรือไม่อย่างไร
วันนี้ ฝรั่งเศสและกัมพูชาไม่จำเป็นต้องสร้างจารชน (Secret Agents) เช่นในอดีต สิ่งที่ฝรั่งเศสและกัมพูชาน่าจะได้ไว้แล้ว เราเรียกว่า "สายลับอิทธิพล" (Agent of Influence) ที่ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนตัวเหมือนเช่นจารชน แต่เป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงสังคม และอาจมีรูปและข่าวออกในหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง บางคนอาจเป็นรัฐมนตรีหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลในการกำหนด เปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับ ฝ่ายตรงข้าม หรือแอบไปตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามโดยที่ประชาชนไม่รู้”
เหลี่ยมเขมร กับเสนาบดีขี้ข้า... เป็นอันตรายต่อราชอาณาจักรไทยอย่างยิ่ง
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6266
ปล.ที่หน้ากลัวก็คือ เสนาบดีชรี้ข้านี่แหล่ะครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ