การนั่งสมาธิไม่มีในพุทธศาสนา ถ้ามีขอให้อ้างอิงด้วยพระไตรปิฎก

การฝึกสมาธิมีข้อเสียอย่างไร?
สิ่งไดมีคุณอนันต์ย่อมมีโทษมหันต์ แม้แต่อากาศที่เราหายใจเข้าไป หรืออาหารที่เรากิน ก็ยังมีโทษ มีดีก็ต้องมีเสีย จึงข้อให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูตามความเป็นจริง เราไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี เพียงแต่นำเสนอในสิ่งที่เป็นจริงเพื่อการศึกษาเรียนรู้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราได้ยินคำสรรเสริญผลดีของการฝึกสมาธิมากมาย ทำให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน การงานบรรลุผล ได้ฌานอภิญญา อ่านใจคนได้ ระลึกชาติได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น จึงมีการส่งเสริมการทำสมาธิโดยทั่วไปทั้งในวัด โรงเรียน และสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ หลายคนคิดว่า สมาธิเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดับทุกข์ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ สมาธิใช้หลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น เป็นคำสอนของพราหมณ์มาก่อน

1) สมาธิดับทุกข์ไม่ได้ – พระพุทธเจ้าได้ปฐมฌานตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เมื่อออกบวชได้ไปเรียนวิธีการทำสมาธิกับฤๅษีพราหมณ์ 2 ท่านคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบส จนได้สมาธิขั้นสูงคือ ฌาน 7-8 ในที่สุด ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่ทางดับทุกข์ จึงได้ลาอาจารย์ทั้ง 2 มาวิปัสสนาจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

2) พาตัวเองไปติดตาขายของมาร – ถ้าเราได้สมาธิขั้นสูงเป็นฌานสมาบัติแล้ว โอกาสพาตนเข้าไปสู่การวิปัสสนานั้นยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราได้ทำจนเป็นนิสัยเสียแล้ว เป็นอุปนิสัยที่ละเอียดหาทางแก้ไขได้ยากมาก ในที่สุดก็ไปติดกับตาข่ายมารหรือติดความสงบ ฌานอภิญญาคือตาข่ายดักพรหม เป็นได้แค่พรหมเท่านั้น ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เหมือนกับปลาที่เข้าไปติดตาข่าย ลอบ ไซ ข้อง ของชาวประมง ไม่สามารถพาตัวเองออกมาได้ต้องมีคนอื่นช่วยพาออกมา ฉันใดฉันนั้น พระโมคัลลามีพระพุทธเจ้าดึงออกมาจากตาข่ายถึง 8-9 ครั้ง จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถือเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ

3) เปิดโอกาสให้เปรตอสูรกายทำร้ายตนเอง – เจ้ากรรมนายเวรบางครั้งมาในรูปของเปรตอสูรกาย บางครั้งมาในรูปแบบของเทวปุตตมาร ปกติพวกนี้แฝงตัวอยู่รอบๆ เราทุกคน ส่วนมากเป็นพวกที่คอยจ้องล้างแค้น เพราะเราเคยไปทำร้ายเขามาก่อนในอดีต จะคอยมาขัดขวางไม่ให้เราทำความดีได้ถึงที่สุดในชีวิตที่เกิดมาเป็นคน ในระหว่างที่เรากำลังทำสมาธิ จิตของเราจะเลื่อนจากฟุ้งซ่านไปสูความสงบ จนมีจุดๆ หนึ่งที่จิตไปตรงกันกับพวกเปรตอสูรกายที่จ้องคอยเล่นงานเราอยู่ พวกนี้จึงได้โอกาสแทรกแซงจิตเราทันที ถ้าเราไม่ได้ทำสมาธิ พวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้ ต่อจากนั้นพวกเขาก็จะครอบงำจิตใจเราตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย พวกนี้จะคอยเนรมิตให้เรารู้เห็นได้ยินอะไรต่างๆ นาๆ รวมทั้ง นรก สวรรค์ อ่านจิตใจทำนายทายทักคนอื่นได้ ถ้าคุณชอบอะไรพวกนั้นก็จะเนรมิตสิ่งนั้นให้คุณเห็น บางทีอ้างว่าเป็นเทพ เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ฯ ซึ่งพวกที่นั่งสมาธิบอกว่านิมิตเห็น ความจริงผู้นั่งสมาธิไม่ได้เห็นอะไรเลยเป็นพวกเปรตอสูรกายเหล่านั้นนิมิตให้เห็น แต่เมื่อไม่มีปัญญาพอที่จะแยกแยะว่าที่เห็นนั้นเป็นจริงหรือไม่ เมื่อแยกไม่ได้รู้ไม่จริงทำให้ผู้ปฏิบัติหลงตัวเองว่าสำเร็จขั้นโน้นขั้นนี้ ตัวผู้ฝึกสมาธิจึงเหมือนซากเปลือกหอยที่ปูเข้าไปอาศัย ปูจะพาเปลือกหอยไปที่ไหนก็ได้โดยที่หอยไม่มีโอกาสบังคับตัวเองได้ บางคนหนักเข้าไปอีกบอกว่าตัวเองพูดภาษาเทพได้ ภูมิใจนักหนาคิดว่าตัวเองเก่งวิเศษ หลงตนว่าได้ฌานสูงกว่าคนอื่น แต่ถ้าวันไหนเปรตอสูรกายไม่ผ่านเข้าร่างตนเองก็ไม่รู้อะไรเลย บางคนว่าเทพมาผ่านร่าง บางทีเป็นเอามากๆ บอกว่าพระพุทธเจ้าเข้ามาผ่านร่าง บางคนไม่เฉลียวใจบ้างเลยทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง พระพุทธเจ้าจะมาผ่านร่างผู้หญิงได้อย่างไร ท่านมีตัวมีตนที่ไหน ท่านนิพานไปแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว ภาพที่เห็นเป็นภาพเนรมิตไม่ใช่ของจริง หลายคนหลงไปสักการะบูชาเปรต ส่วนภาษาที่ว่าเป็นภาษาเทพนั้นก็เป็นภาษาฮินดูที่คนอินเดียพูดกันอยู่ทั่วไป เมื่อคนนั่งสมาธิไม่มีความรู้ว่า พวกเทพเทวดาทั้งหลายไม่ได้มาผ่านร่างหรือเข้าทรงคน มีแต่เปรตอสูรกายเท่านั้นที่เข้าทรงคน เทพ เทวดา อยู่ในสภาวะทิพย์มีที่อยู่ทิพย์ กินของใช้ทิพย์ ท่านไม่ได้มายุ่งหรือมาเกี่ยวอะไรกับคน ท่านไม่ได้ลงมากินของเซ่นสังเวยตามที่เราเข้าใจกัน พวกที่มากินของบวงสรวงเซ่นสังเวย เป็นเปรตอสุรกาย เป็นพิธีกรรมของพราหมณ์

ญาติธรรม YadtiTham "facebook"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่