เพียงครึ่งใจ (บทที่ 23)
“พวกเคเอ็มเอ็นไม่มากันเหรอ”
“เห็นว่ามีประชุมข้างนอกครับ ผู้ใหญ่ทางเขามา เลยไม่เข้า” สันติรายงาน
“ใคร?” คราวนี้แววเสียงของคนที่มักจะนิ่ง แสดงความขุ่นเคืองเล็กน้อย “แล้วทำไมไม่มีคนของเราไป ไม่มีใครบอก”
“เขามาคุยกับเจ้าอื่นครับ แต่ไม่ทราบว่าใคร”
“ไม่มีใครตาม ไม่สืบกันเลยเหรอ เรื่องของคู่แข่ง เขาคุยกับใคร”
อนรรฆเป็นหนึ่งในน้อยคนนักที่ยังเชื่อในวิธี…รู้เขา รู้เรา
อาจไม่รู้ได้หมด แต่รู้เท่าที่จะรู้ได้
“กับริชาร์ด”
การเดาของเขาทำให้ลูกน้องมีสีหน้าตกใจ
“ก็เป็นไปได้นะ แต่พี่นนท์รู้ได้ยังไงครับ”
“คนที่แข่งกับเราเอาเอาเป็นเอาตายมันจะมีกี่รายเชียว”
ว่าแล้วผู้เป็นนายก็เดินหายกลับเข้าไปในห้องทำงาน หยิบโทรศัพท์ออกมา ใจ…อยากโทรฯ หา เพียงแต่ว่า การสนทนาเมื่อคืนเข้ามาย้ำเตือน
นิหล่ารังเกียจเขาขนาดนี้…เชียวหรือ
หากความรู้สึกหลายอย่างบอกว่า…ไม่ใช่
ใจ…มีให้เขามานานแล้ว…ไม่ใช่ให้ริชาร์ด หรือใครอื่น
แต่อะไรที่ทำให้ ต้อง…ห้าม
เพราะใคร…เพราะอะไร
วันนี้เขาแทบไม่เป็นอันทำอะไรทั้งวัน การทำงานก็เพื่อให้เวลาผ่านๆ ไปเท่านั้น
ร่างสูงเดินเข้าออกออฟฟิศวันละหลายครั้ง ขอเพียงให้เดินผ่านห้องประชุมที่เคเอ็มเอ็นใช้เท่านั้น
และเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ อนรรฆก็เลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการติดตามทั้งพี่และทั้งผู้เป็นอาไปโน่นมานี่ ไม่อยู่นิ่ง เพื่อที่จะไม่ต้องคิดถึง
“มาแปลก…” คุณหญิงดิลกาต้องมองลอดแว่นพิจารณา
เพราะหลานชายยอมตามไปพบ ‘น้องทราย’ อีกครั้ง
หรือแม้แต่ศันสนีย์และทัศนีย์ก็ยังสงสัย เพราะอนรรฆใช้เวลาเกือบครึ่งวันแวะมาที่บ้าน
คงมีเพียงธาริตที่มีทีท่าไม่พอใจ
“มาทำไม”
เพราะเวลามา อีกฝ่ายก็มักสอบถามถึงเงินที่เขาใช้ไป ถึงผลตอบแทนของการลงทุน
ทว่าการที่อนรรฆคราวนี้ ทำให้ธาริตรู้ข้อมูลใหม่ เพราะอังคณาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจราวอวด
“หุ้นที่นนท์ซื้อทิ้งไว้มีแต่จะขึ้นเอาๆ ปันผลจากบริษัทที่คุณอาไปเป็นกรรมการก็จ่ายดีเหลือเกิน”
ทรัพย์สินของอังคณามีแต่ร่อยหรอ แต่ทรัพย์สินของอนรรฆกลับมีแต่เพิ่มขึ้น ทั้งจากกองมรดก การลงทุน แล้วยังเงินเดือนในฐานะผู้บริหารบริษัทน้ำมัน
“อีลูกโง่สองคนไม่มีปัญญาจับไอ้นนท์ให้อยู่” ธาริตสบถกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง และมักจะค่อนอังคณาในคราวเดียวกันด้วย “แทนที่จะช่วยกันดู ให้โอ๋หรืออ้อได้กับนนท์ กลับตามใจน้อง”
ธาริตกลัว…เมื่อเงินของอังคณาหมด ทีนี้เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป
“มาแล้วเหรอ”
“ค่ะ” การรับคำ เรียบ เบา หากไม่มองเขาเลย
“แล้วคนอื่นๆ ไปไหน” อนรรฆถามเมื่อไม่เห็นเพื่อนร่วมงานอีกสองคนของอีกฝ่าย
“มีประชุมข้างนอกค่ะ”
“กับบริษัทฝรั่งเศสเหรอ”
คำถามมีเคล้าหาเรื่องเล็กน้อย และแม้แต่ชื่อของบริษัทนั่น เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมเอ่ย ทำให้หญิงสาวพลันแหงนหน้ามอง ดวงตาประสานราวจะหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ทว่าสายตาคมเข้มคู่นั้น…นิ่ง
“ผมต้องระแวงเพราะนั่นคือคู่แข่งของผม ยังดีที่คุณไม่ได้ไปเองนะ ผมค่อยอุ่นใจ” ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะ แล้วอนรรฆจึงถามเมื่อเหลือบเห็นผ้าพันเหนือข้อมือเล็กนั่น “นั่นแขนไปทำอะไรมา ไปหาหมอหรือยัง”
“ไม่ต้องหรอก แค่ขัดๆ”
“นิหล่า” เสียงเรียกเบาระคนความรู้สึก ทำให้คนถูกเรียกแหงนมอง “วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ หรือทำให้พี่ของคุณเข้าใจผิด ถ้าผมทำผิดผมขอโทษ ผมแค่เป็นห่วง…หลายเรื่อง เลยใจร้อน”
คำพูดที่เรียบเรียงยอมรับตรงๆ และการขอโทษด้วยถ้อยคำชัดเจนจริงใจ ทำให้อีกฝ่ายชะงัก แหงนหน้ามองเขา
สายตาคมเข้มแวววับจับจิต ทำให้หญิงสาวต้องลอบถอนหายใจกลืนความรู้สึกขมขื่นที่ปลาบขึ้นมาในอก
ก็เพราะแบบนี้ อองเมียทตูถึงเทียบเขาไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว
การพูดจา…ต่าง
ใจก็…ต่าง
“ผมจะพยายามให้มากที่สุดที่จะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีก บางทีอาจมีเผลอบ้างก็เพราะความเป็นห่วง ถือว่าผมเป็นห่วงในฐานะคนที่ร่วมงานกันก็ได้ แต่ถ้าไม่อยากให้ผมเผลอ ก็อย่าทำให้ผมเป็นห่วงได้ไหม”
คนถูกถามก้มหน้าลง ไม่มองเขา เธอพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบ หากก็สังเกตถึงความเงียบเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ย
“ผมไม่กวนแล้ว ตามสบายนะ”
และเมื่อเงยหน้าขึ้น นิหล่าก็ไม่เห็นร่างสูงเจนตานั่นแล้ว จนกระทั่งตอนเที่ยงที่มีเสียงทุ้มถามอีกครั้งจากหน้าประตูห้อง
“ไม่ลงไปกินข้าวเหรอ”
นิหล่าแหงนมอง แล้วจึงบอก “ฝากเขาซื้อค่ะ”
“ช่วงนี้งานคงยุ่งซินะ แต่พอกลับมาจากอเมริกาแล้วก็คงดีขึ้น เพราะหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของคอนโรเสียส่วนใหญ่”
“ยังไงก็ต้องช่วยกัน”
คำบอกด้วยท่าทางจริงจังทำให้เขาคลายรอยยิ้ม
เป็นยิ้มที่สดใสด้วยดวงตาเป็นประกาย ที่เจ้าตัวพยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ให้มิดชิดที่สุด
“บ่ายนี้ผมจะคุยกับสันติเรื่องที่พวกคุณจะไปอเมริกา แล้วก็เรื่องแผนงานสำหรับถ้าประมูลได้ ถ้าคุณว่างและอยากจะเข้าประชุมด้วยก็เชิญที่ห้องทำงานของผม”
“ได้ค่ะ” นิหล่าพยักหน้ารับโดยง่าย
ก็มันเป็นเรื่องงานไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่า เสียงใสแจ้วถามก่อนที่เขาจะหันเดินออกไป
“วันนี้ยายเมียดทำอะไรมาให้คะ”
“ยังไม่รู้เลย โนชเพิ่งเอาขึ้นมาให้เมื่อกี้ ถ้าไม่รังเกียจมาทานด้วยกันก็ได้นะ เมียดทำกับข้าวมาให้เยอะ เหลือเฟือ”
“ไม่เป็นไร มี…”
“ครับ” เขาไม่คะยั้นคะยอ แต่กลับยอมรับง่ายๆ “เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนบ่าย”
และนิหล่าก็ตั้งหน้าตั้งแต่รอให้ถึงตอนบ่าย รีบ…กินข้าว
รีบเคลียร์งานของตน
จนกระทั่งเขาเดินกลับมาอีกทีตอนเกือบบ่ายสอง
“ว่างไหม ผมจะขอคุยเร็วหน่อย เพราะเย็นนี้ผมต้องบิน”
“ว่างค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำสั้นๆ อย่างง่ายๆ
“เชิญที่ห้องทำงานผม”
“ค่ะ” เพราะลืมตัวถึงอาการที่แขนของตน นิหล่าจึงรีบคว้าสมุดจดและปากกาเพื่อตามเขาไป
อาการเจ็บที่แขนมีเพียงนิดเดียว ครู่เดียว แต่ทนไหว เพราะในใจเธอมัวแต่คิด…
เขาต้องเดินทางอีกแล้ว มีงานหลายที่ หลายโครงการ หลายประเทศ เพียงแต่ไม่ใช่ที่เมียร์ม่าร์
ลองๆ คิดดู เขาไม่ได้ไปพม่าอีกเลยตั้งแต่เมื่อเจอกันกับเธอครั้งโน้น…เจอกันอีกครั้งในรอบสามปี
“คราวนี้ไปไหนคะ”
คำถามจากคนที่มักไม่ค่อยถาม ทำให้เขาหันมามองอย่างฉงนก่อนตอบ
“แอลจีเรีย”
คำตอบทำให้คนฟังหายใจไม่ทั่วท้อง อีกแล้ว…ที่เสี่ยงๆ น่ะ ชอบไปเหลือเกิน
“กลับมาวันไหนคะ”
“ปลายอาทิตย์หน้า อาจจะกลับมาไม่ทันเจอกันก่อนที่คุณจะไปอเมริกา ถ้าคุณอยากแวะไปเยี่ยมเมียดระหว่างที่ผมไม่อยู่ก็เชิญได้เลย ตามสบาย”
คนที่เดินตามรับรู้ แล้วลอบถอนหายใจ ทั้งเพราะ…การเชิญของเขา อีกแล้ว…ให้ไปเวลาที่เจ้าของบ้านไม่อยู่
และเพราะว่า ถ้าเขากลับมาหลังจากที่เธอบินไปสหรัฐอเมริกาแล้ว เรา…คงไม่ได้เจอกันอีกหลายอาทิตย์กว่า เพราะจากอเมริกา เธอก็จะบินไปฝรั่งเศสตามคำเชิญของริชาร์ด
อนรรฆยังไม่รู้เรื่องฝรั่งเศส และเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอก ก็เคเอ็มเอ็นมีสิทธิ์ที่จะพิจารณาหุ้นส่วนรายอื่นในโครงการอื่นไม่ใช่หรือ
และแม้ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่ในตอนนี้นิหล่าได้แต่เพียงแอบๆ ลอบพิจารณา…เขา
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ตั้งหน้าตั้งตาพิเคราะห์อ่านแฟ้มเอกสารตรงหน้า สลับกับการดูจอคอมพิวเตอร์ คิ้วเข้มขมวดจริงจัง เขาเขียน…จด ขีด พิมพ์ วาด ไม่แหงนหน้ามองเธอเลย
ไม่สนใจใครหรืออะไร แม้โทรศัพท์มือถือของตนกรีดร้อง เขาก็แค่เหลือบมองหมายเลขที่เรียกเข้า ก่อนจะปิดเสียงแล้วหันกลับไปทำงานต่อ
หากเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีใครอื่นอยู่ด้วย เจ้าของห้องจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ทำไมสันติถึงช้านัก เดี๋ยวผมโทรฯ ตามดีกว่า” ว่าแล้วอนรรฆก็ติดต่อสายหาลูกน้องคนสนิท คุยกันสองสามคำจึงวางสาย “สันติติดสายอยู่ เดี๋ยวระหว่างที่รอ ผมจะอธิบายภาพรวมให้ก่อน จะได้ไม่เสียเวลา”
เขาหยิบเอกสารปึกหนึ่งแล้วเดินมาที่โต๊ะกลมที่มักใช้สำหรับประชุม โดยบัดนี้มีหญิงสาวพม่าผู้เป็นหุ้นส่วนของเขานั่งรออยู่
เอกสารชุดหนึ่งถูกยื่นให้กับหญิงสาวที่รับไปเปิดอ่านด้วยความสนใจ หากการเปิดนั้นช้า เพราะแขนขวาที่ตัวเองถนัดยังฟกช้ำ เคล็ดยอกจากแรงกระแทกเมื่อหลายวันก่อน
จะเขียน จะวางแขนก็แสนลำบาก
“ไม่ยอมไปหาหมอ แต่ว่ามียาทาไหม”
“ทาก่อนนอน จะได้ไม่เหม็นที่ออฟฟิศของคอนโร” การตอบนั้นตามความจริง ไม่ใช่การประชดประชันแต่อย่างใด “เกรงใจคนอื่น”
อนรรฆเพียงพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก หยิบหลอดยาออกมา แล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้อีกตัวของโต๊ะกลมเล็ก ขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างเล็กที่นั่งอยู่
มือใหญ่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมไปแตะแขนนวลผ่องที่มีผ้าพันรอบด้วยท่วงท่าอ่อนโยน แล้วยกขึ้นอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ แกะผ้าพันออก
รอยฟกช้ำสีม่วงคล้ำจ้ำใหญ่ ทำให้คนที่เห็นครั้งแรกต้องถอนหายใจ หากเจ้าของแผลเพียงแต่สูดลมหายใจเข้าลึกเพราะอาการเจ็บตึงๆ ที่ยังหลงเหลือแม้จะผ่านมาสามสี่วันแล้วก็ตาม
เวลา…ผ่อนและคลายความเจ็บ แต่ไม่ลบความทรงจำว่าใครทำให้เจ็บ
(ต่อ)
เพียงครึ่งใจ (บทที่ 23) โดย มานัส
“พวกเคเอ็มเอ็นไม่มากันเหรอ”
“เห็นว่ามีประชุมข้างนอกครับ ผู้ใหญ่ทางเขามา เลยไม่เข้า” สันติรายงาน
“ใคร?” คราวนี้แววเสียงของคนที่มักจะนิ่ง แสดงความขุ่นเคืองเล็กน้อย “แล้วทำไมไม่มีคนของเราไป ไม่มีใครบอก”
“เขามาคุยกับเจ้าอื่นครับ แต่ไม่ทราบว่าใคร”
“ไม่มีใครตาม ไม่สืบกันเลยเหรอ เรื่องของคู่แข่ง เขาคุยกับใคร”
อนรรฆเป็นหนึ่งในน้อยคนนักที่ยังเชื่อในวิธี…รู้เขา รู้เรา
อาจไม่รู้ได้หมด แต่รู้เท่าที่จะรู้ได้
“กับริชาร์ด”
การเดาของเขาทำให้ลูกน้องมีสีหน้าตกใจ
“ก็เป็นไปได้นะ แต่พี่นนท์รู้ได้ยังไงครับ”
“คนที่แข่งกับเราเอาเอาเป็นเอาตายมันจะมีกี่รายเชียว”
ว่าแล้วผู้เป็นนายก็เดินหายกลับเข้าไปในห้องทำงาน หยิบโทรศัพท์ออกมา ใจ…อยากโทรฯ หา เพียงแต่ว่า การสนทนาเมื่อคืนเข้ามาย้ำเตือน
นิหล่ารังเกียจเขาขนาดนี้…เชียวหรือ
หากความรู้สึกหลายอย่างบอกว่า…ไม่ใช่
ใจ…มีให้เขามานานแล้ว…ไม่ใช่ให้ริชาร์ด หรือใครอื่น
แต่อะไรที่ทำให้ ต้อง…ห้าม
เพราะใคร…เพราะอะไร
วันนี้เขาแทบไม่เป็นอันทำอะไรทั้งวัน การทำงานก็เพื่อให้เวลาผ่านๆ ไปเท่านั้น
ร่างสูงเดินเข้าออกออฟฟิศวันละหลายครั้ง ขอเพียงให้เดินผ่านห้องประชุมที่เคเอ็มเอ็นใช้เท่านั้น
และเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ อนรรฆก็เลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการติดตามทั้งพี่และทั้งผู้เป็นอาไปโน่นมานี่ ไม่อยู่นิ่ง เพื่อที่จะไม่ต้องคิดถึง
“มาแปลก…” คุณหญิงดิลกาต้องมองลอดแว่นพิจารณา
เพราะหลานชายยอมตามไปพบ ‘น้องทราย’ อีกครั้ง
หรือแม้แต่ศันสนีย์และทัศนีย์ก็ยังสงสัย เพราะอนรรฆใช้เวลาเกือบครึ่งวันแวะมาที่บ้าน
คงมีเพียงธาริตที่มีทีท่าไม่พอใจ
“มาทำไม”
เพราะเวลามา อีกฝ่ายก็มักสอบถามถึงเงินที่เขาใช้ไป ถึงผลตอบแทนของการลงทุน
ทว่าการที่อนรรฆคราวนี้ ทำให้ธาริตรู้ข้อมูลใหม่ เพราะอังคณาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจราวอวด
“หุ้นที่นนท์ซื้อทิ้งไว้มีแต่จะขึ้นเอาๆ ปันผลจากบริษัทที่คุณอาไปเป็นกรรมการก็จ่ายดีเหลือเกิน”
ทรัพย์สินของอังคณามีแต่ร่อยหรอ แต่ทรัพย์สินของอนรรฆกลับมีแต่เพิ่มขึ้น ทั้งจากกองมรดก การลงทุน แล้วยังเงินเดือนในฐานะผู้บริหารบริษัทน้ำมัน
“อีลูกโง่สองคนไม่มีปัญญาจับไอ้นนท์ให้อยู่” ธาริตสบถกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง และมักจะค่อนอังคณาในคราวเดียวกันด้วย “แทนที่จะช่วยกันดู ให้โอ๋หรืออ้อได้กับนนท์ กลับตามใจน้อง”
ธาริตกลัว…เมื่อเงินของอังคณาหมด ทีนี้เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป
“มาแล้วเหรอ”
“ค่ะ” การรับคำ เรียบ เบา หากไม่มองเขาเลย
“แล้วคนอื่นๆ ไปไหน” อนรรฆถามเมื่อไม่เห็นเพื่อนร่วมงานอีกสองคนของอีกฝ่าย
“มีประชุมข้างนอกค่ะ”
“กับบริษัทฝรั่งเศสเหรอ”
คำถามมีเคล้าหาเรื่องเล็กน้อย และแม้แต่ชื่อของบริษัทนั่น เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมเอ่ย ทำให้หญิงสาวพลันแหงนหน้ามอง ดวงตาประสานราวจะหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ทว่าสายตาคมเข้มคู่นั้น…นิ่ง
“ผมต้องระแวงเพราะนั่นคือคู่แข่งของผม ยังดีที่คุณไม่ได้ไปเองนะ ผมค่อยอุ่นใจ” ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะ แล้วอนรรฆจึงถามเมื่อเหลือบเห็นผ้าพันเหนือข้อมือเล็กนั่น “นั่นแขนไปทำอะไรมา ไปหาหมอหรือยัง”
“ไม่ต้องหรอก แค่ขัดๆ”
“นิหล่า” เสียงเรียกเบาระคนความรู้สึก ทำให้คนถูกเรียกแหงนมอง “วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ หรือทำให้พี่ของคุณเข้าใจผิด ถ้าผมทำผิดผมขอโทษ ผมแค่เป็นห่วง…หลายเรื่อง เลยใจร้อน”
คำพูดที่เรียบเรียงยอมรับตรงๆ และการขอโทษด้วยถ้อยคำชัดเจนจริงใจ ทำให้อีกฝ่ายชะงัก แหงนหน้ามองเขา
สายตาคมเข้มแวววับจับจิต ทำให้หญิงสาวต้องลอบถอนหายใจกลืนความรู้สึกขมขื่นที่ปลาบขึ้นมาในอก
ก็เพราะแบบนี้ อองเมียทตูถึงเทียบเขาไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว
การพูดจา…ต่าง
ใจก็…ต่าง
“ผมจะพยายามให้มากที่สุดที่จะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีก บางทีอาจมีเผลอบ้างก็เพราะความเป็นห่วง ถือว่าผมเป็นห่วงในฐานะคนที่ร่วมงานกันก็ได้ แต่ถ้าไม่อยากให้ผมเผลอ ก็อย่าทำให้ผมเป็นห่วงได้ไหม”
คนถูกถามก้มหน้าลง ไม่มองเขา เธอพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบ หากก็สังเกตถึงความเงียบเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ย
“ผมไม่กวนแล้ว ตามสบายนะ”
และเมื่อเงยหน้าขึ้น นิหล่าก็ไม่เห็นร่างสูงเจนตานั่นแล้ว จนกระทั่งตอนเที่ยงที่มีเสียงทุ้มถามอีกครั้งจากหน้าประตูห้อง
“ไม่ลงไปกินข้าวเหรอ”
นิหล่าแหงนมอง แล้วจึงบอก “ฝากเขาซื้อค่ะ”
“ช่วงนี้งานคงยุ่งซินะ แต่พอกลับมาจากอเมริกาแล้วก็คงดีขึ้น เพราะหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของคอนโรเสียส่วนใหญ่”
“ยังไงก็ต้องช่วยกัน”
คำบอกด้วยท่าทางจริงจังทำให้เขาคลายรอยยิ้ม
เป็นยิ้มที่สดใสด้วยดวงตาเป็นประกาย ที่เจ้าตัวพยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ให้มิดชิดที่สุด
“บ่ายนี้ผมจะคุยกับสันติเรื่องที่พวกคุณจะไปอเมริกา แล้วก็เรื่องแผนงานสำหรับถ้าประมูลได้ ถ้าคุณว่างและอยากจะเข้าประชุมด้วยก็เชิญที่ห้องทำงานของผม”
“ได้ค่ะ” นิหล่าพยักหน้ารับโดยง่าย
ก็มันเป็นเรื่องงานไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่า เสียงใสแจ้วถามก่อนที่เขาจะหันเดินออกไป
“วันนี้ยายเมียดทำอะไรมาให้คะ”
“ยังไม่รู้เลย โนชเพิ่งเอาขึ้นมาให้เมื่อกี้ ถ้าไม่รังเกียจมาทานด้วยกันก็ได้นะ เมียดทำกับข้าวมาให้เยอะ เหลือเฟือ”
“ไม่เป็นไร มี…”
“ครับ” เขาไม่คะยั้นคะยอ แต่กลับยอมรับง่ายๆ “เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนบ่าย”
และนิหล่าก็ตั้งหน้าตั้งแต่รอให้ถึงตอนบ่าย รีบ…กินข้าว
รีบเคลียร์งานของตน
จนกระทั่งเขาเดินกลับมาอีกทีตอนเกือบบ่ายสอง
“ว่างไหม ผมจะขอคุยเร็วหน่อย เพราะเย็นนี้ผมต้องบิน”
“ว่างค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำสั้นๆ อย่างง่ายๆ
“เชิญที่ห้องทำงานผม”
“ค่ะ” เพราะลืมตัวถึงอาการที่แขนของตน นิหล่าจึงรีบคว้าสมุดจดและปากกาเพื่อตามเขาไป
อาการเจ็บที่แขนมีเพียงนิดเดียว ครู่เดียว แต่ทนไหว เพราะในใจเธอมัวแต่คิด…
เขาต้องเดินทางอีกแล้ว มีงานหลายที่ หลายโครงการ หลายประเทศ เพียงแต่ไม่ใช่ที่เมียร์ม่าร์
ลองๆ คิดดู เขาไม่ได้ไปพม่าอีกเลยตั้งแต่เมื่อเจอกันกับเธอครั้งโน้น…เจอกันอีกครั้งในรอบสามปี
“คราวนี้ไปไหนคะ”
คำถามจากคนที่มักไม่ค่อยถาม ทำให้เขาหันมามองอย่างฉงนก่อนตอบ
“แอลจีเรีย”
คำตอบทำให้คนฟังหายใจไม่ทั่วท้อง อีกแล้ว…ที่เสี่ยงๆ น่ะ ชอบไปเหลือเกิน
“กลับมาวันไหนคะ”
“ปลายอาทิตย์หน้า อาจจะกลับมาไม่ทันเจอกันก่อนที่คุณจะไปอเมริกา ถ้าคุณอยากแวะไปเยี่ยมเมียดระหว่างที่ผมไม่อยู่ก็เชิญได้เลย ตามสบาย”
คนที่เดินตามรับรู้ แล้วลอบถอนหายใจ ทั้งเพราะ…การเชิญของเขา อีกแล้ว…ให้ไปเวลาที่เจ้าของบ้านไม่อยู่
และเพราะว่า ถ้าเขากลับมาหลังจากที่เธอบินไปสหรัฐอเมริกาแล้ว เรา…คงไม่ได้เจอกันอีกหลายอาทิตย์กว่า เพราะจากอเมริกา เธอก็จะบินไปฝรั่งเศสตามคำเชิญของริชาร์ด
อนรรฆยังไม่รู้เรื่องฝรั่งเศส และเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอก ก็เคเอ็มเอ็นมีสิทธิ์ที่จะพิจารณาหุ้นส่วนรายอื่นในโครงการอื่นไม่ใช่หรือ
และแม้ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่ในตอนนี้นิหล่าได้แต่เพียงแอบๆ ลอบพิจารณา…เขา
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ตั้งหน้าตั้งตาพิเคราะห์อ่านแฟ้มเอกสารตรงหน้า สลับกับการดูจอคอมพิวเตอร์ คิ้วเข้มขมวดจริงจัง เขาเขียน…จด ขีด พิมพ์ วาด ไม่แหงนหน้ามองเธอเลย
ไม่สนใจใครหรืออะไร แม้โทรศัพท์มือถือของตนกรีดร้อง เขาก็แค่เหลือบมองหมายเลขที่เรียกเข้า ก่อนจะปิดเสียงแล้วหันกลับไปทำงานต่อ
หากเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีใครอื่นอยู่ด้วย เจ้าของห้องจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ทำไมสันติถึงช้านัก เดี๋ยวผมโทรฯ ตามดีกว่า” ว่าแล้วอนรรฆก็ติดต่อสายหาลูกน้องคนสนิท คุยกันสองสามคำจึงวางสาย “สันติติดสายอยู่ เดี๋ยวระหว่างที่รอ ผมจะอธิบายภาพรวมให้ก่อน จะได้ไม่เสียเวลา”
เขาหยิบเอกสารปึกหนึ่งแล้วเดินมาที่โต๊ะกลมที่มักใช้สำหรับประชุม โดยบัดนี้มีหญิงสาวพม่าผู้เป็นหุ้นส่วนของเขานั่งรออยู่
เอกสารชุดหนึ่งถูกยื่นให้กับหญิงสาวที่รับไปเปิดอ่านด้วยความสนใจ หากการเปิดนั้นช้า เพราะแขนขวาที่ตัวเองถนัดยังฟกช้ำ เคล็ดยอกจากแรงกระแทกเมื่อหลายวันก่อน
จะเขียน จะวางแขนก็แสนลำบาก
“ไม่ยอมไปหาหมอ แต่ว่ามียาทาไหม”
“ทาก่อนนอน จะได้ไม่เหม็นที่ออฟฟิศของคอนโร” การตอบนั้นตามความจริง ไม่ใช่การประชดประชันแต่อย่างใด “เกรงใจคนอื่น”
อนรรฆเพียงพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก หยิบหลอดยาออกมา แล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้อีกตัวของโต๊ะกลมเล็ก ขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างเล็กที่นั่งอยู่
มือใหญ่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมไปแตะแขนนวลผ่องที่มีผ้าพันรอบด้วยท่วงท่าอ่อนโยน แล้วยกขึ้นอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ แกะผ้าพันออก
รอยฟกช้ำสีม่วงคล้ำจ้ำใหญ่ ทำให้คนที่เห็นครั้งแรกต้องถอนหายใจ หากเจ้าของแผลเพียงแต่สูดลมหายใจเข้าลึกเพราะอาการเจ็บตึงๆ ที่ยังหลงเหลือแม้จะผ่านมาสามสี่วันแล้วก็ตาม
เวลา…ผ่อนและคลายความเจ็บ แต่ไม่ลบความทรงจำว่าใครทำให้เจ็บ
(ต่อ)