สวัสดีครับ เป็นครั้งแรกที่เขียนกะทู้ตั้งแต่สมัครเข้าพันธุ์ทิพย์มา ปกติได้แต่มาอ่านและดูเหล่าพี่ๆ น้องๆ ที่คอยพิชิตยอดดอยต่างๆ จึงทำให้นึกถึงอดีตในทันที โดยส่วนตัวเราและครอบครัวชื่นชอบการเที่ยวแบบนี้อยู่แล้ว พอมีเด็กเข้ามา เน้นว่าเด็กจริง ๆ ไม่ได้ติดเรทนะครับอิอิ ก็ห่างหายจากการเที่ยวไปหลายปี พอสบโอกาสก็เริ่มทำการบ้านอย่างจริงจัง (ก็ได้ความอนุเคราะห์จากพี่ ๆ น้อง ๆ ในเว็บนี้นั่นแหล่ะ) จัดเที่ยวจริงๆมันซะเลย ทริปนี้เลือก ม่อนจอง เพราะม่อนจองเป็นสถานที่ที่เดินไม่ไกลมาก อีกทั้งยังมีทัศนียภาพที่สวยงาม และที่สำคัญเคยผ่านฝีเท้ามาบ้างแล้วทำให้เรามั่นใจว่าการพาเด็กไปในครั้งนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เนื่องจากมีเด็กไปด้วยจึงมีการทำการบ้านมาเยอะหน่อย เริ่มตั้งแต่ สภาพอากาศ การเดินทาง อาหารการกิน น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่พักแรม ฯลฯ เอาเป็นว่าเมื่อจัดทุกอย่างพร้อมทุกอย่างแล้วก็เริ่มออกเดินทางได้เลย
ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 5 คน มีผู้ใหญ่ 4 คนเด็ก 1 คน เราเลือกที่จะเดินทางตอนกลางคืนเพราะว่ารถไม่เยอะ ไม่ร้อนและสามารถให้ทุกคนได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ในรถ เราใช้เส้นทางการเดินทางจาก กรุงเทพฯ - ผ่านอยุธยา(เส้น32) - สิงห์บุรี - ตัดเข้าเส้น 1 นครสวรรค์ - กำแพงเพชร - ตาก ที่อำเภอเถินแยกเข้า 106 - อำเภอลี้ - แยกเข้า 108 ผ่านอำเภอ ฮอด - วิ่งไปเรื่อย ๆ แยกเข้าเส้น 1099 ผ่านอมก๋อย ให้ไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ (40 กม.จากอ.อมก๋อย)
จากเส้นทางนี้เราใช้เวลาเดินทางจาก กทม.(23.00 น.) ถึงตลาดฮอดตอนเช้ามืด(6.00 น.) และแวะซื้อของสดเพื่อไปทำกินกันข้างบน 2 คืน ทานข้าวเช้าและเดินทางต่อไปถึงหน่วยมูเซอเวลา (10.00น.)
เช้าวันที่ 1หน่วยมูเซอ พอถึงหน่วยมูเซอซึ่งเราได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เราได้พี่แดงเจ้าหน้าที่ใจดีคอยช่วยเหลือแนะนำเราตลอดทริป ตั้งแต่เรื่องเที่ยว เรื่องกิน ยันเรื่องห้องน้ำกันเลยทีเดียว เพราะม่อนจองไม่สามารถหาสิ่งอำนวยความสะดวกอันใดได้ มีแต่เรากับป่าเขาที่ต้องช่วยเหลือพึ่งพากันเท่านั้น
จากหน่วยมูเซอเราต้องนั่งรถ 4WD เพื่อไปส่งเราถึงทางขึ้นดอยอีก 16-17 กม. ใช้เวลาเดินทางถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งทางช่วงนี้โหดร้ายมาก มือเราไม่สามารถถือกล้องได้เลยการถ่ายภาพจึงถือเป็นการAdventureอย่างหนึ่งทีเดียว ส่วนเด็กน้อยที่ติดสอยมาด้วยนั้นไม่สามารถตัดใจไปนั่งหน้าได้ คงเพราะความอยากสนุกในวัยเด็ก (หลายท่านคงจำได้ การนั่งหลังกระบะในตอนเด็กมันฟินแท้) แต่เพื่อความปลอดภัยเลยรัดเป้และมัดเชือกไว้กับกรงของกระบะประหนึ่งว่ามันคือ car seat ดี ๆ นี่เอง ทำให้การผจญภัยในเบื้องต้นผ่านมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ประมาณเที่ยงวันเราถึงทางขึ้นม่อนจอง กราบสิ่งศักสิทธิ์เพื่อขอขมาล่วงหน้าเอาไว้ และเดินขึ้นกันแบบชิว ๆ อีกประมาณ 4 กม. จุดหมายปลายทางของเราในคืนนี้จะอยู่บริเวณ สนามกอล์ฟช้าง ซึ่งตรงแถวนั้นจะมีหุบลึกลงไปมีน้ำท่าไว้กินอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มากพอที่จะอาบเพราะเป็นแค่ตาน้ำ จริงๆแล้วพอไปถึงโน่นความคิดอยากอาบน้ำก็หายไปเองนั่นแหล่ะ เนื่องจากอากาศข้างบนหนาวมากถึงมากที่สุด เราจะใช้จุดนี้เป็นbase camp เวลาเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือตก ก็กลับมานอนข้างล่างกัน เราเคยสงสัยว่าทำไมไม่กางที่สนามกอล์ฟช้างเลย คำตอบนั้นเราได้สัมผัสด้วยตัวเองในตอนที่ไปดูดาวตอนกลางคืน ลมที่แรง อากาศที่หนาวเย็นมันปะทะเอาไออุ่นจากเราตลอดเวลา การยืนอยู่ตรงนี้1ชั่วโมงมันคงเป็น 1 ชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเป็นแน่
เราเริ่มออกเดินชิวไปเรื่อยสักครู่เดียวก็ครึ่งทาง เห็นMascot ตัวแรกของม่อนจองมันเป็นต้นไม้คล้ายม้านิลมังกรในตำนานแถวตรงหินช่อนั่นแหล่ะ จุดนี้เราพักนานหน่อยเพื่อกินข้าวและสัมผัสกับธรรมชาติ (ที่จริงเหนื่อยอ่ะ เมื่อยอ่ะ เมื่อไรจะถึงอ่ะ)
เดินมาได้อีกครึ่งทางก็เจอสนามกอล์ฟช้าง เราใช้เวลาเดินทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดนี้ประมาณ 5 ชั่วโมง ที่สนามกอล์ฟช้างจะมีหุบซึ่งค่อนข้างชันเราเดินมาหาที่พัก ณ. หุบนี้กัน ถ้าหน้าฝนให้ระวังดี ๆ เพราะทางจะลื่นมาก พอมาถึงแค้มป์เราเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาถึง เราเริ่มมองหาแหล่งน้ำ โอ้ววมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์จริงๆ ด้วย เราเริ่มหาทำเลดีๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบเพื่อปักเต็นท์รับไออุ่นจากที่นอนคืนนี้กัน
หลังจากการเดินทางอันยาวนานจากกรุงเทพฯ รวมเวลาตอนนี้ก็ 18 ชั่วโมง ไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่พอมาถึงจุดหมายจริง ๆ มันไม่ได้เหนื่อยอย่างที่คิด มันมีแต่ความสุข ความตื่นเต้น แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่ใจอุ่นดี เรารีบหาน้ำ และ อาหารเพื่อฉลองกับความสำเร็จเล็ก ๆ ในวันแรกของเรา คืนนี้ ดาวลอยอุ่น ๆ คงต้องฝากพี่แดงเอาไว้ก่อน ขอพักผ่อนเอาแรงรอพบกับพี่สิงห์ในวันรุ่งขึ้นดีกว่า ราตรีสวัสดิ์คืนแรกในม่อนจอง
เช้าวันที่ 2 เราตื่นไปดูพระอาทิตย์กันแต่เช้า ถึงจะผิดหวังเพราะหมอกลงจัดมาก แต่ก็ทำให้เจ้าเด็กน้อยได้เห็นแม่คะนิ้งครั้งแรก ดูหน้านางทำให้รู้ว่าฟินมากแค่ไหน เราต่างก็คิดว่าช่วงบ่ายอากาศต้องดีกว่านี้น่า เรายังมีความหวังอยู่ที่พี่สิงห์ ตอนนี้ขอกลับไปทำอาหารเลี้ยงปากท้อง และจะทุบหม้อ หอบมื้อกลางวันไปชิวบนยอดพี่สิงห์กัน
ช่วงสายเรากลับขึ้นไปอีกครั้งเพื่อจะเดินไปให้ถึงจุดหมาย แสงอาทิตย์เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เมฆหมอกต่าง ๆ ค่อยกระจัดกระจายและหายไปในที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ไม่ทำให้กลุ่มเราผิดหวังจริง ๆ ทั้งวิวแบบพานอรามา ยอดหัวสิงห์ กุหลาบพันปี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เราได้สัมผัสกับมันอย่างเต็มที่ในช่วงสายนี้ พี่แดงบอกกับเราว่าถ้าจะให้ถึงที่สุดมันต้องเจอกับม้าเทวดาแห่งม่อนจอง ตอนนี้เราคิดว่าเรากำลังมีโชคมันต้องโผล่มาสิน่า แต่น่าเสียดายที่เจ้าม้าเทวดาคงค่อนข้างจะขี้อาย เราจึงขอฝากเอาไว้ในทริปหน้า
เราคิดถูกแล้วที่มานอน 2 คืน ถ้าวันนี้เราต้องเดินกลับลงไปก็คงพลาดบรรยากาศที่สุดจะบรรยายในช่วงเย็นนี้ แสงของดวงอาทิตย์สะท้อนกับกลุ่มเมฆเกิดสีที่น่าอัศจรรย์ ทำให้เรานึกว่าพระเจ้าสามารถใช้โหมด Saturation ใน Photoshop ได้ด้วยหรือเนี่ย เราเพลินกับการถ่ายรูปและชมความงามของแสงอาทิตย์จนลับขอบฟ้าไปพลันนึกในใจว่า มื้อเย็นนี้ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย -*-
เรานอนหนาวกันที่นี่เป็นคืนสุดท้าย ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้พบวันนี้ไม่อาจหาจากที่ไหนได้อีกแล้ว แต่ละดอย แต่ละภู แต่ละม่อน ความทรงจำและความประทับใจที่ได้ไปแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทริปที่มากขึ้น ๆ จนทำให้ค่ำคืนนี้อบอุ่นใจไปด้วยไออุ่นจากครอบครัวและเพื่อน อบอุ่นกายจากกองไฟเล็ก ๆ และดาวลอย คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์อีกครั้งหนึ่ง
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม ผมพึ่งเคยเขียนเป็นครั้งแรกไม่รู้ว่าจะให้ข้อมูลท่านที่ยังไม่เคยไปได้มากน้อยแค่ไหน ผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยณ.ที่นี้เลย ยังไงถ้าสงสัยเรื่องการเดินทางสอบถามได้นะครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ
จัดเด็กขึ้นม่อนจอง ^^
ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 5 คน มีผู้ใหญ่ 4 คนเด็ก 1 คน เราเลือกที่จะเดินทางตอนกลางคืนเพราะว่ารถไม่เยอะ ไม่ร้อนและสามารถให้ทุกคนได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ในรถ เราใช้เส้นทางการเดินทางจาก กรุงเทพฯ - ผ่านอยุธยา(เส้น32) - สิงห์บุรี - ตัดเข้าเส้น 1 นครสวรรค์ - กำแพงเพชร - ตาก ที่อำเภอเถินแยกเข้า 106 - อำเภอลี้ - แยกเข้า 108 ผ่านอำเภอ ฮอด - วิ่งไปเรื่อย ๆ แยกเข้าเส้น 1099 ผ่านอมก๋อย ให้ไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ (40 กม.จากอ.อมก๋อย)
จากเส้นทางนี้เราใช้เวลาเดินทางจาก กทม.(23.00 น.) ถึงตลาดฮอดตอนเช้ามืด(6.00 น.) และแวะซื้อของสดเพื่อไปทำกินกันข้างบน 2 คืน ทานข้าวเช้าและเดินทางต่อไปถึงหน่วยมูเซอเวลา (10.00น.)
เช้าวันที่ 1หน่วยมูเซอ พอถึงหน่วยมูเซอซึ่งเราได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เราได้พี่แดงเจ้าหน้าที่ใจดีคอยช่วยเหลือแนะนำเราตลอดทริป ตั้งแต่เรื่องเที่ยว เรื่องกิน ยันเรื่องห้องน้ำกันเลยทีเดียว เพราะม่อนจองไม่สามารถหาสิ่งอำนวยความสะดวกอันใดได้ มีแต่เรากับป่าเขาที่ต้องช่วยเหลือพึ่งพากันเท่านั้น
จากหน่วยมูเซอเราต้องนั่งรถ 4WD เพื่อไปส่งเราถึงทางขึ้นดอยอีก 16-17 กม. ใช้เวลาเดินทางถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งทางช่วงนี้โหดร้ายมาก มือเราไม่สามารถถือกล้องได้เลยการถ่ายภาพจึงถือเป็นการAdventureอย่างหนึ่งทีเดียว ส่วนเด็กน้อยที่ติดสอยมาด้วยนั้นไม่สามารถตัดใจไปนั่งหน้าได้ คงเพราะความอยากสนุกในวัยเด็ก (หลายท่านคงจำได้ การนั่งหลังกระบะในตอนเด็กมันฟินแท้) แต่เพื่อความปลอดภัยเลยรัดเป้และมัดเชือกไว้กับกรงของกระบะประหนึ่งว่ามันคือ car seat ดี ๆ นี่เอง ทำให้การผจญภัยในเบื้องต้นผ่านมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ประมาณเที่ยงวันเราถึงทางขึ้นม่อนจอง กราบสิ่งศักสิทธิ์เพื่อขอขมาล่วงหน้าเอาไว้ และเดินขึ้นกันแบบชิว ๆ อีกประมาณ 4 กม. จุดหมายปลายทางของเราในคืนนี้จะอยู่บริเวณ สนามกอล์ฟช้าง ซึ่งตรงแถวนั้นจะมีหุบลึกลงไปมีน้ำท่าไว้กินอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มากพอที่จะอาบเพราะเป็นแค่ตาน้ำ จริงๆแล้วพอไปถึงโน่นความคิดอยากอาบน้ำก็หายไปเองนั่นแหล่ะ เนื่องจากอากาศข้างบนหนาวมากถึงมากที่สุด เราจะใช้จุดนี้เป็นbase camp เวลาเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือตก ก็กลับมานอนข้างล่างกัน เราเคยสงสัยว่าทำไมไม่กางที่สนามกอล์ฟช้างเลย คำตอบนั้นเราได้สัมผัสด้วยตัวเองในตอนที่ไปดูดาวตอนกลางคืน ลมที่แรง อากาศที่หนาวเย็นมันปะทะเอาไออุ่นจากเราตลอดเวลา การยืนอยู่ตรงนี้1ชั่วโมงมันคงเป็น 1 ชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเป็นแน่
เราเริ่มออกเดินชิวไปเรื่อยสักครู่เดียวก็ครึ่งทาง เห็นMascot ตัวแรกของม่อนจองมันเป็นต้นไม้คล้ายม้านิลมังกรในตำนานแถวตรงหินช่อนั่นแหล่ะ จุดนี้เราพักนานหน่อยเพื่อกินข้าวและสัมผัสกับธรรมชาติ (ที่จริงเหนื่อยอ่ะ เมื่อยอ่ะ เมื่อไรจะถึงอ่ะ)
เดินมาได้อีกครึ่งทางก็เจอสนามกอล์ฟช้าง เราใช้เวลาเดินทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดนี้ประมาณ 5 ชั่วโมง ที่สนามกอล์ฟช้างจะมีหุบซึ่งค่อนข้างชันเราเดินมาหาที่พัก ณ. หุบนี้กัน ถ้าหน้าฝนให้ระวังดี ๆ เพราะทางจะลื่นมาก พอมาถึงแค้มป์เราเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาถึง เราเริ่มมองหาแหล่งน้ำ โอ้ววมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์จริงๆ ด้วย เราเริ่มหาทำเลดีๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบเพื่อปักเต็นท์รับไออุ่นจากที่นอนคืนนี้กัน
หลังจากการเดินทางอันยาวนานจากกรุงเทพฯ รวมเวลาตอนนี้ก็ 18 ชั่วโมง ไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่พอมาถึงจุดหมายจริง ๆ มันไม่ได้เหนื่อยอย่างที่คิด มันมีแต่ความสุข ความตื่นเต้น แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่ใจอุ่นดี เรารีบหาน้ำ และ อาหารเพื่อฉลองกับความสำเร็จเล็ก ๆ ในวันแรกของเรา คืนนี้ ดาวลอยอุ่น ๆ คงต้องฝากพี่แดงเอาไว้ก่อน ขอพักผ่อนเอาแรงรอพบกับพี่สิงห์ในวันรุ่งขึ้นดีกว่า ราตรีสวัสดิ์คืนแรกในม่อนจอง
เช้าวันที่ 2 เราตื่นไปดูพระอาทิตย์กันแต่เช้า ถึงจะผิดหวังเพราะหมอกลงจัดมาก แต่ก็ทำให้เจ้าเด็กน้อยได้เห็นแม่คะนิ้งครั้งแรก ดูหน้านางทำให้รู้ว่าฟินมากแค่ไหน เราต่างก็คิดว่าช่วงบ่ายอากาศต้องดีกว่านี้น่า เรายังมีความหวังอยู่ที่พี่สิงห์ ตอนนี้ขอกลับไปทำอาหารเลี้ยงปากท้อง และจะทุบหม้อ หอบมื้อกลางวันไปชิวบนยอดพี่สิงห์กัน
ช่วงสายเรากลับขึ้นไปอีกครั้งเพื่อจะเดินไปให้ถึงจุดหมาย แสงอาทิตย์เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เมฆหมอกต่าง ๆ ค่อยกระจัดกระจายและหายไปในที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ไม่ทำให้กลุ่มเราผิดหวังจริง ๆ ทั้งวิวแบบพานอรามา ยอดหัวสิงห์ กุหลาบพันปี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เราได้สัมผัสกับมันอย่างเต็มที่ในช่วงสายนี้ พี่แดงบอกกับเราว่าถ้าจะให้ถึงที่สุดมันต้องเจอกับม้าเทวดาแห่งม่อนจอง ตอนนี้เราคิดว่าเรากำลังมีโชคมันต้องโผล่มาสิน่า แต่น่าเสียดายที่เจ้าม้าเทวดาคงค่อนข้างจะขี้อาย เราจึงขอฝากเอาไว้ในทริปหน้า
เราคิดถูกแล้วที่มานอน 2 คืน ถ้าวันนี้เราต้องเดินกลับลงไปก็คงพลาดบรรยากาศที่สุดจะบรรยายในช่วงเย็นนี้ แสงของดวงอาทิตย์สะท้อนกับกลุ่มเมฆเกิดสีที่น่าอัศจรรย์ ทำให้เรานึกว่าพระเจ้าสามารถใช้โหมด Saturation ใน Photoshop ได้ด้วยหรือเนี่ย เราเพลินกับการถ่ายรูปและชมความงามของแสงอาทิตย์จนลับขอบฟ้าไปพลันนึกในใจว่า มื้อเย็นนี้ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย -*-
เรานอนหนาวกันที่นี่เป็นคืนสุดท้าย ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้พบวันนี้ไม่อาจหาจากที่ไหนได้อีกแล้ว แต่ละดอย แต่ละภู แต่ละม่อน ความทรงจำและความประทับใจที่ได้ไปแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทริปที่มากขึ้น ๆ จนทำให้ค่ำคืนนี้อบอุ่นใจไปด้วยไออุ่นจากครอบครัวและเพื่อน อบอุ่นกายจากกองไฟเล็ก ๆ และดาวลอย คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์อีกครั้งหนึ่ง
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม ผมพึ่งเคยเขียนเป็นครั้งแรกไม่รู้ว่าจะให้ข้อมูลท่านที่ยังไม่เคยไปได้มากน้อยแค่ไหน ผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยณ.ที่นี้เลย ยังไงถ้าสงสัยเรื่องการเดินทางสอบถามได้นะครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ