ม่อนจอง ดินแดนแห่งสวรรค์ที่รอผู้มาเยือน EP 1

ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศครั้งไปพิชิตยอดดอยแห่งทุ่งหญ้าสีทองดินแดนที่เรียกกันว่า ดอยม่อนจอง ชึ่งยอดดอยแห่งนี้ตั้งอยู่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่นั้นเอง
แม้ว่าดอยม่อนจองจะมีระดับความโหดในการเดินเท้าไปพิชิตไม่มากนัก แต่ความสวยงามของยอดดอยนั้นผมยกให้ระดับ 5 ดาวเลยไม่แพ้ยอดดอยไหนๆเลยทีเดียว และส่วนตัวผมก็เชื่อว่าสำหรับนักเดินป่าใครหลายๆคนก็ต้องมีดอยม่อนจองสถานที่แห่งนี้แหละ คือดอยในดวงใจที่ต้องไปพิชิตยอดดอยแห่งนี้สักครั้งในชีวิตให้ได้  เอาละครับสำหรับคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ผมจะเล่าประสบการณ์การขึ้นไปพิชิตดอยม่อนจอง พร้อมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ความรู้สึกที่ได้ไป หากว่าท่านสนใจสถานที่แห่งนี้ ผมก็จะมารีวิวดอยม่อนจองเพื่อเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับสำหรับนักเดินป่าหลายๆคนนะครับ

      
การจองเพื่อเดินพิชิตยอด ดอยม่อนจอง
 ก่อนที่จะเริ่มจองไปดอยม่อนจองนะครับ ก็ต้องบอกก่อนว่ามันจะมีทางขึ้นได้ 2 เส้นทางให้เราเดิน  นั้นก็คือเส้นทางเดินที่หมู่บ้านห้วยปูลิง(สายใหม่) และ เส้นทางเดินหมู่บ้านมูเชอ (สายเก่า) ทั้งสองเส้นทางสามารถเดินขึ้นยอดดอยม่อนจองได้ครับ ส่วนตัวผมและทีมกรุ๊ปเลือกที่จะไปที่บ้านห้วยปูลิง นี้คือเพจที่จะประสานงานเจ้าหน้าที่เพื่อเดินขึ้นยอดดอย สามารถเข้าไปสอบถามเพจพี่เขาได้นะครับ มีที่เดียวที่รับจองคิวถ้าหากเลือกจะไปหมู่บ้านห้วยปูลิง
ขอแปะลิ้งนะครับ  https://www.facebook.com/profile.php?id=100063718474044 
แต่สำหรับใครที่เลือกไม่ถูกว่าจะทางไหนดี ผมจะบอกว่าความแตกต่างสองที่นี้ก็คือ ถ้าเดินจากห้วยปูลิงเส้นทางการเดินจะสั้นกว่าหมู่บ้านมูเชอนั้นเอง
ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นป่าสายใหม่ จากเดิมจะต้องขึ้นบ้านมูเซอเท่านั้น อันนี้แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลยครับว่าต้องการลุยแบบยาวๆ หรือ สั้นๆแต่ก็ถึงที่หมายเหมือนกัน 
 เพี้ยนฮัลโหล
             วันแรกของการเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังอำเภออมก๋อย
ผมขับรถยนต์จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังอำเภออมก๋อยด้วยระยะทาง 247 กิโลเมตร เส้นทางถนนเป็นลาดยางตลอดทางไม่ต้องกลัวเรื่องขนาดรถครับไปได้หมดทุกชนิด อาจจะมีบางช่วงที่ขึ้นเขาและมีถนนเป็นหลุมเป็นบ่อบ้างบางช่วง แต่เส้นทางไปอมก๋อยตอนนี้ก็ดีกว่าสมัยก่อนเยอะที่เคยเป็นแต่ถนนลูกรังชะเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่จะไปถึงหมู่บ้านห้วยปูลิงหรือหมู่บ้านมูเซอก็ตามเราต้องไปที่ลงทะเบียนชำระค่าใช้จ่ายที่ หน่วยพิทักษ์ป่าปางตึง เขตรัษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ซึ่งสามารถหาในGoogle mapได้เลยครับ เน้นว่าอย่าลืมหากว่าเราลืมจะต้องขับรถย้อนกลับไปหลายกิโลเลยทีเดียว เพื่อไปลงทะเบียนก่อนขึ้นดอยม่อนจองจะเสียเวลาเอาครับ

 พอผมลงทะเบียนเสร็จก็ไปเดินทางไปต่อที่หมู่บ้านห้วยปูลิงเพื่อไปพักโฮมสเตย์ที่นั้นเลย ระหว่างทางเจอวิวสวยๆจนอดใจไม่ได้เป็นอันต้องลงแวะไปถ่ายตลอด บรรยากาศวิวข้างทางคือฟินเลยทีเดียว


   ผมเดินทางมาถึงทางเข้าของหมู่บ้านห้วยปูลิงตอนก็เป็นช่วงหัวค่ำแล้ว ก็ต้องบอกก่อนครับทางเข้าหมู่บ้านนี้ก็ต้องวัดใจกันหน่อยครับ ถ้าใครคิดว่ามือไม่แข็งขับรถจริงๆหรือช่วงนั้นมีฝนตกหนักชนิดน้ำไหลตามถนน แนะนำประสานให้ที่พักโฮมสเตย์เอารถมารับตรงทางเข้าหมู่บ้านได้ครับ ไม่ต้องเสี่ยงขับรถขึ้นไป ซึ่งวันนั้นผมเลือกที่จะเอารถขึ้นไป จะมีจังหวะได้เสี่ยวๆเหมือนกันครับแต่ก็รอดปลอดภัยกันมาได้ จนมาถึงบ้านโฮมสเตย์ของหมู่บ้านผมและเพื่อนๆก็พากันทานข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน ทำธุระส่วนตัวแล้วก็หลับเพื่อพักผ่อนกัน เพื่อเก็บแรงไปพิชิตยอดดอยม่อนจองวันพรุ่งนี้ ตอนนั้นบรรยากาศภายในหมู่บ้านเงียบสงบมากๆ ซึ่งเหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ แถมบวกอากาศที่หนาวทำให้ความรู้สึกฟินมากครับสำหรับการได้มาพักผ่อนสถานที่แห่งนี้  
 
           วันที่สอง ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นเตรียมพร้อมจะขึ้นดอยม่อนจอง 
  ผมตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับเสียงไก่ที่โห่ขันดังทั่วหมู่บ้าน ผมรู้สึกว่าวันเวลานานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงนี้ มันเป็นบรรยากาศที่ห่างหายไปนานมากที่ไม่ค่อยเจอโมเม้นแบบนี้ พอผมตื่นเสร็จก็ล้างหน้าแปรงฟันทำธุระส่วนตัวตามปกติ กินอาหารเช้าจากที่พักโฮมสเตย์ที่ได้จัดเตรียมไว้ เช้านี้คือเมนูข้าวต้มไข่ลวกที่เป็นเมนูยอดฮิตของที่พักหลายๆที่  ทั้งนี้ที่พักโฮมสเตย์ยังมีกาแฟเครื่องดื่มให้สั่งหรือใครจะกินพิชช่าดอยก็ต้องสั่งเขาล่วงหน้าไว้ 1 วันนะครับอันนี้ต้องโทรจองก่อนจะมา  กินข้าวไรกันเสร็จก็ถึงเวลาเตรียมของที่จะขึ้นดอยม่อนจอง สำหรับใครที่คิดว่าแบกของไม่ไหวก็จ้างลูกหาบเอาครับ เหมือนว่าจะคิดกิโลกรัมละ 40 บาท (รวมทั้งขาไปขากลับ) ครั้งนี้ตัวผมเองลองแบกของเองน้ำหนักก็จะอยู่ประมาณ 16 กิโลกรัม  ชึ่งก็พอแล้วสำหรับการเดินขึ้นครั้งนี้  ก็ต้องบอกก่อนว่าเอาที่ตัวเองแบกไหวนะครับเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเที่ยวแบบลำบาก จะไม่สนุกเอา 


   สักประมาณ 8 โมงรถโฟวิลล์ก็จะมารับเราขึ้นไปยังจุดเริ่มเดินด้วยเท้าขึ้นดอยม่อนจอง ถนนทางเดินรถถือว่าโหดมาก ผมคิดในใจพี่เขาขับขึ้นมาได้ยังไง ทั้งสูงทั้งชันและขรุขระตลอดทาง โยกตัวจนสนั่นหวั่นไหวราวกับเราอยู่ในเครื่องปั่นยังไงอย่างนั้นเลย แต่ก็สนุกมากครับ ถ้าจะเป็นสายลุยไม่หวั่นไหวอยู่แล้วใช่ไหมครับ 555


ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ไม่รู้แต่ที่รู้ในตอนนั้นผมที่นั้งหน้ารถจะอ้วกแล้ว ไม่ได้แฮงเหล้าแต่แฮงรถนั้นละครับ ถึงจุดเริ่มเดินก็ถ่ายรูปหมู่กันชะหน่อยก่อนขึ้นเพื่อเก็บไว้เทียบตอนขากลับอีกทีว่าหน้าตาสภาพร่างกายแค่ละคนจะเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนตอนขากลับ ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็พร้อมที่จะลุยเดินทางกัน!! เรส สะ โก 

 สำหรับทางขึ้นจะมีชันเป็นระยะบ้างให้ได้ดันดอยกัน แต่ก็ถือว่าระยะทางเดินไม่ยาวมากครับ มีทั้งทางเรียบให้เดินสลับกันไป มีเหนื่อยกันบ้างแต่ก็พักให้หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อ เพื่อนในกรุ๊ปก็พูดคุยตลกๆกันไปตลอดทางจึงทำให้ทริปนี้สนุก ชึ่งจะบอกว่าใครไม่มาถือว่าพลาดมาก พลาดที่โดนนินทาจากเพื่อนๆ เฮ้ย!!ไม่ใช่อันนี้ล้อเล่นครับ
  วิวสำหรับทางเดินเท้าจะเต็มไปด้วยต้นไม้สูงๆให้ได้เดินแบบเย็นสบาย ซึ่งจะมาร้อนทีก็ก่อนที่จะถึง ภูหินช่อ นั้นล่ะครับมุมถ่ายยอดฮิตก่อนจะถึงยอดดอยม่อนจอง แต่เขากั้นไว้ไม่ให้ขึ้นไปถ่ายสาเหตุก็น่าจะเรื่องความปลอดภัยครับแอบเสียดายเหมือนกัน




0


พอเราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงเนินที่ถือว่าชันที่สุดของการเดินขึ้นยอดดอยม่อนจองแห่งนี้ นั้นก็คือเนินฮิบฮอบหรือว่าดอยหมาหอบนั้นเอง ระดับความชันถือว่าชันมากเลยทีเดียว ผมกะระดับสายตาความชันก็น่าจะประมาณ 60-70 องศาอะไรประมาณนั้นครับ ระยะมางของเนินแม้จะไม่ยาวมากนักแต่ก็เอาพละกำลังพวกเราถดถอยได้เหมือนกันครับ เรียกได้ว่าเหนื่อนสุดก็เนินนี้ละครับ 


พอพ้นเนินฮิบฮอบหรือดอยหมาฮอบไปแล้ว จากนี้ไปก็ไม่มีไรต้องให้เหนื่อยอีกแล้ว เดินไปเรื่อยๆไม่ไกลเราก็จะผ่านลานกอล์ฟช้าง ที่เป็นดอยหัวโล้นที่มีหญ้าปกคลุมมองไปก็เหมือนสนามกอล์ฟยังไงยังนั้นซึ่งก็สวยจริงครับ นี้ก็ถือได้ว่าเรามาดอยม่อนจองแห่งนี้สำเร็จแล้ว พวกผมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆในการเดิน เมื่อมาถึงจุดนี้อันดับแรกผมต้องไปที่จุดกางเต้นท์เราก่อนเพื่อสำหรับที่จะพักในค่ำคืนนี้  ก่อนที่ผมจะเดินทางไปจุดสูงสุดของดอยม่อนจองนั่นก็คือ ดอยผาหัวสิง นั้นเอง ถ้าไม่ไปก็เหมือนมาไม่ถึงนะครับ

  ผมเริ่มเดินไปยอดดอยหัวสิงห์จุดสูงสุดของดอยม่อนจองตอนบ่ายสาม บอกเลยว่าร้อนพอได้ครับแต่ไม่ถือว่าร้อนจนแสบไหม้ ผมต้องเอาเสื้อกันหนาวไปด้วย หากพระอาทิตย์เริ่มตกอากาศมันน่าจะลดอุณหภูมิลงวูบ พกเอาไว้เผื่อกันหนาวก็ดีครับ ระยะทางจากจุดลานกอล์ฟช้างถึงจุดยอดดอยหัวสิงก็ไกลอยู่นะครับ สำหรับทางเดินจะสลับขึ้นลงผ่านแต่ละเนินถือว่าไม่ได้เหนื่อยสักเท่าไหร่ เดินไปเรื่อยๆชิวๆครับ 





จนในที่สุดพวกผมก็สามารถขึ้นไปยังดอยหัวสิงห์ได้ ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถ้าจำไม่ผิดนะครับ บนยอดดอยหัวสิงจะเห็นวิวที่สวยงามที่เป็นเนินดอยต่างๆสลับชับช้อนและยังเห็นลำน้ำแม่ตื่นด้วยนะครับวิวข้างบนสวยงามมากครับ 

 


    พระอาทิตย์เริ่มกำลังตกลงเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มหนาวลงวูบอย่างที่คิดจริงๆด้วย บวกกับลมเย็นที่พัดแรง ทำให้ผมต้องกลับไปที่ลานกอล์ฟช้างเพื่อกลับไปลานกางเต้นท์ก่อนที่จะหมดแสงพระอาทิตย์ของวันนี้  บอกได้ว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นบรรยากาศที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้เลย เพราะแสงพระอาทิตย์ที่ตกดินที่นี้สวยงามมาก แสงสีโทนส้มอันอบอุ่นประกอบกับลมหนาว มันช่างเป็นการเดินป่าที่สุดแสนจะวิเศษกันเลยทีเดียวเดินไปก็อดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้จริงๆครับ







                    เพี้ยนปูเสื่อรอ(มีต่อคลิ๊กดู EP 2 ได้เลยครับ) ม่อนจอง ดินแดนแห่งสวรรค์ที่รอผู้มาเยือน EP 2
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่